บทที่ 11 ถูกล่วงเกินแล้ว

บทที่ 11 ถูกล่วงเกินแล้ว

โหยวเชียนเริ่นโกรธมากแต่กลับยิ้มพลางพูดว่า “ดีมาก วันนี้ทุกท่านช่วยข้าเป็นพยาน ข้าจะรอดูว่าท่านจะทำยังไงให้คนไร้ประโยชน์นี้กลายเป็นอัจฉริยะ!”

เมื่อเสือสองตัวกำลังต่อสู้กัน ฝูอวี้และอาวุโสคนอื่นก็ได้แต่ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แกล้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้

โหยวเชียนเริ่นเป็นปรมาจารย์ระดับหยวนอิงเพียงหนึ่งเดียวของสำนัก แม้แต่เจ้าสำนักยังต้องฟังคำเขา เรื่องฐานะยิ่งไม่ต้องสงสัยเลย

เจิ้งฉวนเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักญาณศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าเรื่องตบะสู้โหยวเชียนเริ่นไม่ได้ แต่ถ้าพูดถึงการปรุงยานั้น ถือว่าเป็นสุดยอดปรมาจารย์ปรุงยาระดับหก ที่ยากจะพบสักคน แค่รอตบะอาคมสูงขึ้นอีกนิด เขาก็จะเลื่อนขั้นขึ้นไปอยู่ระดับเจ็ด ทุกๆ คนจึงอดไม่ได้ที่จะเทิดทูนเขาเป็นเหมือนบรรพบุรุษของตัวเอง ยาที่โหยวเชียนใช้ฝึกพลังนั้น ผู้ปรุงยาระดับธรรมดาปรุงออกมาไม่ได้ จึงทำได้แค่ต้องขอความช่วยเหลือจากเจิ้งฉวน ดังนั้นปกติเขาจึงต้องยอมลงให้กับเจิ้งฉวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ความเป็นมาของเจิ้งฉวนนั้นลึกลับ ทุกคนที่สำนักญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ยินเพียงเรื่องเล่าว่าเขาเป็นสุดยอดปรมาจารย์ปรุงยาที่เป็นที่รู้จักไปทั่วของแคว้นโอสถ แต่เพราะว่าไปล่วงเกินผู้ทรงอิทธิพลในแคว้นโอสถเข้าจึงได้รอนแรมมาที่นี่ เพราะกลัวถูกเอาคืน จึงทำได้เพียงมาแอบซ่อนตัวอยู่ที่สำนักญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เขาและโหยวเชียนเริ่นอาศัยอยู่ที่หุบเขาอิงปั้ง และโหยวเชียนเริ่นยังต้องพึ่งพิงเขา ถึงแม้ว่าโหยวเชียนเริ่นจะไม่ชอบขี้หน้าเขา แต่ก็ทำได้เพียงสงครามน้ำลาย ไม่มีทางลงมือฉีกหน้าเขาจริงๆ หรอก

เจ้าสำนักฝูอวี้ไม่ค่อยอยากรับจูจู แต่เจิ้งฉวนไม่ใช่ผู้ที่กำเนิดที่สำนักญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงไม่อยากยุ่งอะไรมาก จึงจัดให้อิ๋นจื่อจางและจูจูเป็นเข้ามากราบอาจารย์ตามพิธี

โหยวเชียนเริ่นได้รับลูกศิษย์ที่อัจฉริยะเข้ามา ทำให้เขาอดที่จะแสดงใบหน้ากระหยิ่มใจไม่ได้ ส่วนเจิ้งฉวนที่มองจูจูที่คุกเข่ากราบเขาอยู่ตรงหน้า ในดวงตานิ่งสงบของเขานั้นมีความซับซ้อนอันแปลกประหลาดซ่อนอยู่ในนั้นด้วย

อิ๋นจื่อจางได้ยินว่าปรมาจารย์ทั้งสองคนอาศัยอยู่ที่หุบเขาเดียวกันก็แอบดีใจอยู่เงียบๆ สวรรค์ช่วยข้าแท้ๆ วันหน้าเรียกจูจูให้ช่วยทำอะไรให้ก็สะดวกมาก

จูจูเองก็รู้สึกผ่อนคลายลง นางถือว่าเป็นคนของสำนักญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้แล้ว ในที่สุดนางก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่และมีคนคอยดูแลยามแก่เฒ่าแล้ว! ส่วนเรื่องที่ว่านางจะเป็นคนไร้ค่าหรืออัจฉริยะ สามารถฝึกพลังได้หรือไม่นั้น นางไม่ได้สนใจ นางเองก็ไม่ได้อยากเป็นอมตะเสียหน่อย จะลำบากไปทำไม?

ชีวิตคนมันสั้น ไม่ถึงหนึ่งร้อยปีก็มีเรื่องปวดหัวมากพออยู่แล้ว หากเป็นอมตะคงมีเรื่องปวดหัวมากมายทีเดียวไม่ใช่หรือ?

เมื่อกราบอาจารย์เสร็จแล้วจินว่านเลี่ยงก็พาพวกเขามาส่งที่หุบเขาเริ่มต้นเป็นการชั่วคราว และชี้บอกพวกเขาว่าควรไปรับเสื้อผ้าและเครื่องใช้ตรงไหนอย่างเอาใจใส่ เลือกห้องพักที่ดีที่สุดให้พวกเขาและอธิบายกฎอย่างง่ายๆให้ฟัง ถึงจะจากไป

อิ๋นจื่อจางไม่พูดอะไร พลางครุ่นคิดถึงวันข้างหน้า ถึงแม้ว่าจูจูจะเป็นคนไร้ค่าขึ้นมาจริงๆ แต่มีปรมาจารย์ปรุงยาที่เก่งขนาดนี้เป็นอาจารย์ วันข้างหน้าคงมีเรื่องขอให้นางช่วยมากมาย สงบเสงี่ยมตัวเองไว้ก่อนนั้นดีที่สุด

กฎของสำนักญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นแน่นอนว่าไม่เหมือนกับสำนักเซียนอื่นๆ ลูกศิษย์ทุกคนที่เข้ามาใหม่จะถูกจัดให้ไปเป็นศิษย์สายนอกก่อน เครื่องแบบจะเป็นสีเทาทั้งหมด เมื่ออยู่ที่หุบเขาเริ่มต้นครบหนึ่งเดือน เข้าใจกฎของที่นี่เป็นอย่างดีแล้ว หลังจากนั้นผู้นำหุบเขาทั้งห้าก็จะส่งคนมาเลือกศิษย์ และพาไปฝึกในหุบเขาของตัวเอง

หนึ่งปีหลังจากนั้น ศิษย์สายนอกทุกคนต้องเข้าร่วมการประลอง เพราะจะมีเพียงศิษย์ที่โดดเด่นสิบคนเท่านั้นที่จะกลายเป็นศิษย์สายใน ส่วนการที่จะสามารถกลายเป็นศิษย์เอกของผู้อาวุโสแต่ละคนได้นั้นก็ต้องพึ่งดวงของตัวเองแล้ว

สำหรับเรื่องนี้ อิ๋นจื่อจางและจูจูนั้น เรียกได้ว่าเหมือนเป็นการปีนขึ้นสวรรค์

ลูกศิษย์ใหม่จะได้รับเครื่องแบบสีเทาคนละสองชุดและได้รับแผ่นป้ายไม้ที่ใช้เป็นเครื่องยืนยันฐานะของตัวเอง และได้รับยาดึงรากวิญญาณขวดเล็กหนึ่งขวดกับยาล้างสิ่งโสมมหนึ่งเม็ด ต่อมายังสามารถเลือกคัมภีร์ลับที่จะใช้ฝึกได้ด้วยตัวเอง ถือได้ว่าไม่เลว

ยาดึงรากวิญญาณและยาล้างสิ่งโสมมนั้นสำหรับตลาดภายนอกราคาแค่สองสามหินวิญญาณ แต่ในโลกมนุษย์แล้วถือว่าเป็นของหายากมาก

จูจูหอบเอาขวดหยกที่บรรจุยาดึงรากวิญญาณ ยาล้างสิ่งโสมม และกล่องหยกใบเล็กเอาไว้ในอ้อมแขน ดวงตาเป็นประกายด้วยความดีใจ แต่อิ๋นจื่อจางรู้ดีว่าที่นางดีใจไม่ใช่สิ่งของที่อยู่ข้างใน แต่เป็นเพราะขวดหยก และ กล่องหยกมองดูแล้วมีราคาต่างหาก

ถ้าเกิดว่าคนของสำนักญาณศักดิ์สิทธิ์รู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็คงจะต้องแค้นจนกระอักเลือดแน่! เจ้าคนไม่รู้คุณค่าของสิ่งของ น่าขันเป็นถึงศิษย์เอกของผู้อาวุโสระดับเจี๋ยตัน น่าหัวเราะให้ฟันร่วง

จูจูหอบสองขวดที่มีคุณค่ามากเอาไว้ในอ้อมแขนอยู่นาน ในที่สุดก็ให้ความสนใจกับสิ่งของที่อยู่ข้างใน นางเปิดขวดออกดม ขมวดคิ้วพลางพูดว่า “เหม็นอะไรอย่างนี้!”

“จะเป็นไปได้ยังไง?”อิ๋นจื่อจางแปลกใจ รับเอาขวดที่อยู่บนมือของนางไปดม ยาดึงรากวิญญาณจะมีกลิ่นหอมที่สดใหม่ จะเหม็นได้อย่างไร? !

“มีแต่ของสกปรกเยอะแยะเลย แปลกแปลก…”จูจูบีบจมูกตัวเองพลางพูด

“ต้องโทษจมูกหมูของเจ้า จมูกหมูของเจ้าเป็นอะไร? กลิ่นหอมก็บอกว่าเป็นกลิ่นเหม็น!” อิ๋นจื่อจางหัวเราะพลางพูด เขาปิดฝาขวดให้เรียบร้อยแล้วส่งคืนนาง

กลิ่นของยานั่นมีอะไรผิดปกติจริงๆ นะ! แต่นางชินกับการไม่เถียงอิ๋นจื่อจางเสียแล้ว จึงไม่ได้เถียงและหันไปเปิดกล่องหยกเล็กๆ แทน

ในกล่องมียาวิเศษสีเขียวมรกตวางอยู่ เงางามไม่มีที่ติ เหมือนเป็นไข่มุกมรกตที่สวยงามมาก จูจูกะพริบตาพลางพูดว่า “ทำไมถึงไม่มีลวดลายล่ะ?” นางจำได้ว่าของพวกนี้ต้องมีลวดลาย แต่นางเคยเจอสิ่งของพวกนี้ตอนไหนกันนะ? จูจูคิดอย่างงุนงงสักพัก

ศิษย์ที่รับหน้าที่นำสิ่งของมาส่งพวกเขาก็อดไม่ได้พูดขึ้นว่า “เจ้าคิดว่านี่มันคืออะไร? ต้องมีลวดลายด้วยหรือ!”

อิ๋นจื่อจางเงยหน้าขึ้นมากวาดตาสำรวจเขาหนึ่งรอบ ศิษย์คนนี้ที่เดิมทีมีคำพูดอีกมากมายที่จะพูดเยาะเย้ยจูจูผู้ไม่มีความรู้ แต่เมื่อสบตาอิ๋นจื่อจางทันใดนั้นร่างกายของเขาก็เกิดอาการสั่นจากสายตาเฉียบคม ความหนาวเย็นเมื่อครู่ทำให้เขาไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

“ของก็รับแล้ว ไปเถอะ” อิ๋นจื่อจางดึงร่างของจูจูหันหลังไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ในหุบเขาเริ่มต้นนั้นลูกศิษย์ชายหญิงต้องแยกกันอยู่ ถึงแม้ว่าจินว่านเลี่ยงจะพยายามเลือกที่ที่ใกล้ๆกันให้แล้ว แต่ก็ยังถูกกั้นด้วยป่าเล็กๆ

ระหว่างทางจูจูก็ปรึกษากับอิ๋นจื่อจางว่า “ยาดึงรากวิญญาณกับยาล้างสิ่งโสมมข้าใช้ไม่ได้หรอก ให้เจ้าทั้งหมดเลยล่ะกัน เจ้าใช้เสร็จแล้วก็เอากล่องกับขวดมาให้ข้าตกลงไหม?”

คำพูดเพิ่งจะหลุดจากปาก ศีรษะก็ถูกเขกหนึ่งที “ไม่คิดถึงความก้าวหน้า เจ้าขวดและกล่องผุๆ พวกนี้จะมีค่าที่ไหนกัน? หากฝึกฝนสำเร็จล่ะก็ ของพวกนี้อยากมีเท่าไหร่ก็มีได้เท่านั้น เหอะ เมื่อครู่เจ้าพูดว่ายามันเหม็น ก็เลยคิดจะโยนมาให้ข้าใช่หรือไม่?!”

“ไม่ใช่ !ไม่ใช่! ไม่ใช่ว่าข้าไม่มีทางฝึกพลังได้ไม่ใช่หรือ? แต่เจ้าไม่อยากรับก็ช่างเถอะ…” จูจูลูบหัวตัวเอง หันเหความสนใจไปที่ผักป่า เห็ดป่า และพืชที่อยู่ในป่าเล็กๆ นี้

อิ๋นจื่อจางครุ่นคิด สิ่งที่จูจูพูดก็มีเหตุผล ของพวกนี้เก็บไว้ที่นางคงมีแต่คนโลภจ้องจะอยากได้ ในหุบเขาเริ่มต้นนี้มีจำนวนลูกศิษย์ใหม่เยอะมาก คงมีคนลงมือขโมยสิ่งของจากนางได้ไม่ยาก ร่างกายของนางก็อ่อนแอไหนเลยจะสู้ฝ่ายตรงข้ามได้ สู้เก็บไว้ที่เขาดีกว่า ถึงเวลาที่นางสามารถใช้ได้ค่อยให้นาง

แต่เขาเองเพิ่งจะปฎิเสธความคิดของจูจู จึงไม่อยากเสียหน้ากลับคำ ดังนั้นเขาจึงยื่นมืออกไปล้วงเอาขวดหยกและกล่องหยกออกมาจากหน้าอกของนางทันที

จูจูถูกการกระทำนั้นทำให้ตกใจร้อง “อ๊ะ” ไม่ทันรอให้อิ๋นจื่อจางมีปฎิกิริยากลับคืนมา ทันใดนั้นก็มีเสียงร้อง “อ๊า” ออกมาเสียงหลง เสียงนั้นแหลมสูงมาก มันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว…ทำให้อิ๋นจื่อจางตกใจจนสะดุ้ง