บทที่ 45 โต้ตอบ
หลังจากการที่อาศัยอยู่ที่หุบเขาอิงปั้งมาสามเดือน ถึงแม้ว่านางจะไม่ทันได้สังเกตอะไร แต่ก็รู้ว่าทุกๆ สามวันเจิ้งฉวนจะลงจากภูเขาไปค้างคืนที่อื่นหนึ่งคืน และคนอื่นๆ ที่พูดถึงหัวข้อนี้มักจะคลุมเครือ จนกระทั่งจูจูได้ยินลูกศิษย์สองสามคนแอบคุยกับถึงหัวข้อนี้ แค่เริ่มพูดก็ทำให้นางขนลุกขนพอง
จริงๆ แล้วอิ๋นจื่อจางรู้เรื่องมากกว่าจูจูเยอะ แต่ว่าเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากให้จูจูพูดถึงเรื่องนี้ เขาหน้านิ่งพลางพูดว่า “เจ้าจะยุ่งวุ่นวายไปทำไม สตรีรู้เรื่องพวกนี้น้อยๆ ยิ่งดี”
นี่มันเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของหญิงชายหรือ? จูจูสงสัยมาก อิ๋นจื่อจางหันหน้าไปทางอื่น เพื่อไม่ให้นางมองเห็นสีหน้าอึดอัดใจของตัวเอง
ถ้าหากว่าไม่ใช่จูจูโตมาหน้าตาอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยล่ะก็ เขาก็คงไม่วางใจให้นางอยู่ข้างๆ ท่านอาจารย์สอง เขามาถึงหุบเขาอิงปั้งแล้วถึงพบว่าอาจารย์สองมีความชอบที่ไม่สามารถให้คนอื่นรู้ได้ โชคดีที่ท่านอาจารย์ปฎิบัติต่อจูจูแบบตรงไปตรงมา ไม่มีความพิเศษอะไร
แต่ก็ถูกต้องแล้ว หากคิดกับจูจูแบบผิดทำนองคลองธรรมได้ รสนิยมคงแปลกสุดๆ! อิ๋นจื่อจางหัวเราะอย่างเงียบๆ ไม่คิดเรื่องที่ไร้สาระอีก
พวกเขาเดินมาถึงถ้ำของเจิ้งฉวน ก็พบฝูกุยและฝูเอ่อร์ไต้สองคนรักษาความปลอดภัยอยู่ที่หน้าประตูด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ลูกศิษย์ที่สวมเครื่องแบบสีเทาคนอื่นต่างถูกไล่ให้ไปไกลๆ
ทั้งสองส่งสายตาให้กัน ฝูเอ่อร์ไต้ค่อนข้างลำบากใจเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของทั้งสองและพูดเสียงเบาว่า “ท่านอาวุโสเจิ้งฉวนฝึกพลังจนเกิดปัญหานิดหน่อย ตอนนี้ท่านปรมาจารย์โหยวกำลังรักษาอาการบาดเจ็บให้เขา พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
“ท่านอาจารย์ก็อยู่หรือ? ท่านบำเพ็ญตบะเสร็จแล้วหรือ?”อิ๋นจื่อจางแปลกใจมาก ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์ โหยวเชียนเริ่นเคยบอกเขาว่า การฝึกบำเพ็ญตบะครั้งนี้จะใช้เวลาอย่างน้อยสองเดือนถึงจะออกมา ทำไมวันนี้ถึงออกมาแล้วล่ะ?
ฝูเอ่อร์ไต้ยิ้มแห้งๆ แสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากพูดมาก อิ๋นจื่อจางจึงคิดออกทันทีว่า อาจารย์อาจจะเป็นเหมือนตัวเขาเองก็ได้ เพราะว่ามีเรื่องสำคัญมากจึงจำเป็นต้องออกมาก่อน ดูแล้ว อาการบาดเจ็บของท่านอาจารย์สอง เจิ้งฉวนคงร้ายแรงไม่น้อยเลย
สำหรับภูเขาญาณศักดิ์สิทธิ์แล้วเจิ้งฉวนเป็นตัวแปรสำคัญของที่นี่ ฝูกุยและฝูเอ่อร์ไต้ไม่อยากแพร่กระจายข่าวเรื่องที่เขาได้รับบาดเจ็บออกไป เกรงว่าคงไม่อยากให้มีผลกระทบที่ใหญ่โตตามมา
ภายในถ้ำ โหยวเชียนเริ่นกำลังใช้ปราณวิญญาณรักษาอาการบาดเจ็บให้เจิ้งฉวน เขาสูญเสียพลังไปเยอะมากถึงจะทำให้อาการบาดเจ็บนั้นเบาบางลงไปชั่วขณะ เมื่อเห็นว่าเจิ้งฉวนตื่นขึ้นมาโดยไม่เป็นอะไรร้ายแรงมาก ก็อดไม่ได้ที่จะถลึงตาพลางพูดว่า “ก็รู้อยู่ว่าสถานการณ์ของตัวเองเป็นอย่างไร เมื่อคืนทำไมไม่ลงเขาไปเสีย? ลำบากข้าต้องออกมาจากการบำเพ็ญตบะก่อน ครั้งนี้เจ้าต้องชดใช้ให้ข้ายาเป็นยาจื่อหยวนสามเม็ด!”
เจิ้งฉวนตอบอย่างแข็งทื่อว่า “ข้าลืมไปแล้ว เจ้าให้ฝูกุยไปห้องเก็บของส่วนตัวข้า แล้วเอายา
จื่อหยวนให้ เจ้าก็กลับได้แล้ว”
โหยวเชียนเริ่นเป็นปรมาจารย์ระดับหยวนอิงที่ผ่าเผย ไหนเลยจะรับได้กับการถูกไล่ทันทีแบบนี้ เขาพูดอย่างโกรธๆ ว่า “เจ้าคิดว่าข้ามีค่าแค่ยาสามเม็ดหรือ? เจ้าดูสภาพของเจ้าตอนนี้สิ? จะตายแหล่ไม่ตายแหล่อยู่แล้ว ที่แท้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เจิ้งฉวนยังคงใบหน้าเรียบเฉย “ไม่มีอะไร เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ตายหรอก”
ถ้าหากโหยวเชียนเริ่นมองไม่เห็นอาการแปลกๆ ของเขาก็ถือว่ามีชีวิตอย่างไร้ประโยชน์มาหลายร้อยปี แต่ว่าความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองคนไม่ถึงขั้นนั้น มีหลายๆ เรื่องที่ไม่สามารถพูดได้ พอดีกับที่รู้สึกได้ว่าจูจูและอิ๋นจื่อจางอยู่ด้านนอกถ้ำ จึงส่งข้อความเสียงกำชับให้ฝูเอ่อร์ไต้เรียกพวกเขาทั้งสองเข้ามาเสียเลย
เมื่อทั้งสองมาอยู่ตรงหน้าอาจารย์ โหยวเชียนเริ่นมองไปที่อิ๋นจื่อจางด้วยใบหน้าพอใจ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสพลางทักทายด้วยความสนิทสนม เจิ้งฉวนนั้นกลับแทบจะไม่มองจูจู เขาเย็นชาแบบสุดๆ
อิ๋นจื่อจางใช้ข้อศอกกระทุ้งจูจู เป็นนัยให้นางรีบเอาบันทึกทั้งสามเดือนนี้ให้อาจารย์ดู วันนี้โชคดีที่อาจารย์โหยวเชียนเริ่นก็อยู่ด้วย เจิ้งฉวนรักหน้าของตัวเองมากคงไม่ทำให้จูจูรู้สึกลำบากใจในเวลานี้ เพียงแค่เขาชี้แนะไม่กี่คำ นั่นก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีของนางแล้ว
จูจูหยิบบันทึกนั้นออกมาอย่างไม่เต็มใจ สองมือยื่นไปที่ด้านหน้าของเจิ้งฉวน “ท่านอาจารย์ นี่เป็นปัญหาที่ข้าพบในคัมภีร์ที่อ่านมาตลอดสามเดือน ขอให้ท่านอาจารย์ชี้แนะด้วย”
แน่นอนว่าเจิ้งฉวนรับบันทึกเล่มนั้นไป เริ่มพลิกไปพลิกมา เพื่อดูเนื้อหาข้างในอย่างละเอียด และเกิดสนใจอย่างควบคุมไม่อยู่
“วิธีการปรุงยาข้อนี้ ตัดหญ้าหานหมู่ และเพิ่มใบวิญญาณเทียนซินและน้ำบริสุทธิ์เข้าไปทำไม?”
“หญ้าหานหมู่มีคุณสมบัติเย็น แต่วัตถุดิบในนั้นมีเยอะแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิธีการปรุงมียาอิ่นซือกั่วอยู่แล้วคุณสมบัติทั้งสองหักล้างกัน ใช้ใบวิญญาณเทียนซิน และน้ำบริสุทธิ์จะเหมาะสมกว่าและก็จะไม่เกิดปัญหานี้” จูจูตอบไปอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อพูดเสร็จ ถึงจะนึกได้ว่าทำไมตัวเองถึงเข้าใจเรื่องนี้?
“ยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวระดับหกทำไมถึงต้องใช้ไฟวิญญาณมากกว่าสามชนิดรวมกัน?”
“ยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวนั้นใช้วัตถุดิบประกอบไปด้วย เลือดสัตว์ กระดูกสัตว์และผลึกปีศาจ เป็นต้น คุณสมบัติของยานั้นรุนแรง ถ้าหากว่าใช้เชื้อเพลิงไฟอื่นๆ ปรุงยา จะง่ายต่อการกระตุ้นการหักล้างกันของวัตถุดิบและทำให้การปรุงยาล้มเหลว หากใช้ไฟวิญญาณหนึ่งชนิดปรุงยาถึงแม้ว่าปรับความรุนแรงของยาได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะจัดการกับการเปลี่ยนแปลงของคุณสมบัติของยาในขั้นตอนการปรุงได้ ต้องใช้สามชนิดขึ้นไปเพื่อช่วยปรับให้เหมาะสม ถึงจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด”
หนึ่งศิษย์และหนึ่งอาจารย์ต่างผลัดกับถามผลัดกันตอบ ท่าทางของเจิ้งฉวนที่เย็นชาในตอนแรกก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นแบบสุดๆ และโหยวเชียนเริ่นที่ฟังอยู่ข้างๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เชี่ยวชาญในเรื่องปรุงยา แต่ว่าการที่ฝึกพลังมาหลายปีก็ทำให้เขามีความรู้มากมาย แค่ฟังไม่นานก็รู้ว่าบันทึกที่จูจูจดมานั้นไม่มีระเบียบแบบแผนอะไร และคำถามที่เจิ้งฉวนถามนั้นก็ไม่ใช่คำถามที่เฉพาะทางหรือยากอะไร แต่จูจูก็กลับตอบได้อย่างคล่องแคล่ว ดูจากท่าทางของเจิ้งฉวนแล้ว นี่ไม่ใช่การที่คิดจะทดสอบลูกศิษย์ แต่เป็นการสนทนาถกเถียงกันเพื่อหาหลักฐานพิสูจน์หรือแม้กระทั่งขอคำชี้แนะต่างหาก!
นี่มันเรื่องอะไรกัน? จูจูเป็นแค่หญิงสาวธรรมดาที่ไม่มีพลังอะไร แต่ว่าแค่นางเข้ามาอยู่ในภูเขาญาณศักดิ์สิทธิ์ได้แค่สี่เดือนทำไมถึงได้มีความรู้เฉพาะทางได้มากขนาดนี้?
เด็กผู้หญิงคนนี้ดูแล้วทั้งเซ่อและโง่ แต่ว่าคำตอบของนางแต่ละคำไม่มีความลังเลใจสักนิด เจิ้งฉวนตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่แย้งนางสักคำ แม้กระทั่งบางครั้งยังแสดงท่าทาง “เป็นอย่างนี้นี่เอง” ออกมาด้วย โลกกำลังกลับตาลปัตรไปแล้วหรือไร?
เจิ้งฉวนไม่ใช่ผู้ปรุงยามือใหม่ เขาคือปรมาจารย์ปรุงยาระดับหก ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะตบะของเขามีจำกัดจนไม่สามารถขึ้นเป็นระดับเจี๋ยอิงได้ เกรงว่าเขาคงจะพัฒนาเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับเจ็ดแล้ว แล้วทำไมถึงมาถกปัญหาเรื่องการปรุงยากับเด็กหญิงบ้านนอกคนหนึ่งแบบนี้ได้ล่ะ?
“จริงๆ แล้ว จูจูคนนี้เป็นใครกันแน่?” โหยวเชียนเริ่นอดไม่ได้ที่จะถามอิ๋นจื่อจาง
อิ๋นจื่อจางส่ายหน้า พลางตอบเสียงเบาว่า “นางจำเรื่องราวในอดีตของตัวเองไม่ได้ขอรับ”
โหยวเชียนเริ่นนึกออกได้ในทันทีว่าวันนั้นเจิ้งฉวนเคยพูดไว้ว่าจะทำให้จูจูกลายเป็นอัจฉริยะ เหอะ! ที่แท้เจ้าปลิ้นปล้อนนี่รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าความเป็นมาของจูจูนั้นไม่ธรรมดา ถึงได้กล้าพูดอะไรที่บ้าบิ่นขนาดนี้ออกมา ที่แท้มันก็ขุดหลุมใหญ่เอาไว้รอให้เขากระโดดลงไปสินะ!
“ศิษย์เอ๋ย…เจ้าไม่อาจยอมแพ้เด็กคนนี้ได้นะ!” โหยวเชียนเริ่นเจอวิกฤตใหญ่แล้ว เขากำชับอิ๋นจื่อจางอย่างจริงจัง
อิ๋นจื่อจางมึนงง ไม่ได้ตอบอะไรออกมา ยิ่งรู้จักจูจูนานขึ้นก็ยิ่งรู้สึกว่านางลึกลับซับซ้อน เขายังเคยคิดอย่างเหลวไหลมาก่อนเลยว่า บางทีจูจูอาจจะเป็นเซียนที่แข็งแกร่ง แต่ว่าโดนเหตุไม่คาดฝันบางประการทำให้กลายเป็นแบบนี้
ถ้าหากวันหนึ่งนางสามารถฟื้นฟูพลังได้ นั่นจะเป็นอย่างไรนะ?
อิ๋นจื่อจางรู้สึกถึงความไม่สบายใจในทันที….