บทที่ 46 หมูน้อยของใคร?
เจิ้งฉวนแค่ถามก็กินเวลาไปกว่าหนึ่งชั่วยาม เขาเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บ ไม่นานก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย ดังนั้นจึงเก็บบันทึกของจูจูไว้ ลังเลเล็กน้อยพลางพูดกับจูจูว่า “พรุ่งนี้เจ้ามาใหม่นะ”
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงประโยคสั้นๆ แต่จูจูรู้สึกได้ว่า เขาดูเหมือนจะไม่กีดกันนางแล้ว
โหยวเชียนเริ่นพาอิ๋นจื่อจางลุกขึ้นแล้วกล่าวลา เดินไปพลางก็สังเกตจูจูอย่างละเอียด มองยังไงก็ทั้งธรรมดาทั้งเซ่อ ที่หน้าอกยังอุ้มหมูเอาไว้หนึ่งตัว ยิ่งดูเซ่อเข้าใปใหญ่
หมูหนึ่งตัว? โหยวเชียนเริ่นรู้สึกแปลกๆ ในทันที จึงมองไปที่เจ้าหมูอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าที่ถ้ำของเจิ้งฉวนจะมีอะไรที่ดึงดูดเจ้าหมูน้อย มันอยู่ไม่นิ่งตลอดทางที่มา แล้วพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดของจูจูทุกวิถีทาง
เมื่อวานมันเพิ่งจะปล้นเอาเชื้อเพลิงไฟที่มีค่าของเจิ้งฉวนไปกว่าครึ่ง ไหนเลยที่จูจูจะกล้าปล่อยมันออกไปวิ่งเพ่นพ่าน นางทำได้เพียงกอดมันไว้ในอ้อมอกไม่ปล่อยแทน
สีหน้าของโหยวเชียนเริ่นดูเหมือนจะพบอะไรเข้าบางอย่าง ทำให้จูจูอกสั่นขวัญแขวน ถ้าหากว่าให้ใครรู้ความลับของเจ้าหมูน้อยเข้าล่ะก็ พวกเขาจะต้องแย่งมันไปแน่! แม้แต่คนที่รู้เรื่องจะเป็นอาจารย์ของ
อิ๋นจื่อจาง ผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดในภูเขาญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถต้านทานกับสิ่งที่เย้ายวนใจได้ขนาดนี้ หมูตัวหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนยาที่ไร้ประสิทธิภาพให้เป็นยาระดับสูงแบบนี้ ใครได้ไป อยากได้ยาอะไรก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก?
“นี่คืออะไรน่ะ?” ในที่สุดโหยวเชียนเริ่นก็ทนไม่ไหวพลางชี้ไปที่เจ้าหมูตัวนี้
“หมู หมูหนึ่งตัวไงเจ้าคะ” จูจูตอบอย่างขี้ขลาด
โหยวเชียนเริ่นค้อนปะหลับปะเหลือกพลางพูดอย่างโมโหว่า “ข้าไม่ได้ตาบอดนะ ข้าถามว่าเจ้าสิ่งนี้มันเปลี่ยนมาจากอะไร? ไม่มีหัวใจและไม่มีพลังชีวิต ดูเหมือนกับ…การแยกพลังชีวิต แต่ทำไมถึงเป็นแค่หมู?” น้ำเสียงของเขาดูไม่ค่อยแน่ใจ ที่จริงแล้วเซียนที่สามารถแยกพลังชีวิตได้นั้นต้องเป็นเซียนระดับสูงมากหรือปีศาจแปลงกาย และต่างก็หยิ่งยโสมาก ทำไมถึงยอมให้ตัวเองแปลงกายเป็นเจ้าสิ่งที่น่าตลกแบบนี้?
อิ๋นจื่อจางสงสัยอยู่ในใจ พลางถามว่า “ท่านอาจารย์ อะไรคือการแยกพลังชีวิต?”
โหยวเชียนเริ่นไม่ยอมละสายตาจากเจ้าหมูน้อย พลางตอบว่า “หลังจากฝึกพลังได้ระดับหยวนอิงสูงสุด ก็จะสามารถทดลองแยกพลังชีวิตให้ออกมาอยู่นอกกายได้ แม้กระทั่งแบ่งออกเป็นหลายส่วน ทุกๆส่วนสามารถใช้ร่างจริงเป็นต้นแบบเพื่อกำหนดรูปลักษณ์ภายนอก ร่างแปลงพวกนี้ก็สามารถฝึกพลังได้ และความเร็วยังไวมาก ยิ่งผู้ฝึกพลังมีพลังสูงมากขึ้น รูปลักษณ์ของพลังชีวิตก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปจนแทบไม่แตกต่างไปจากคนจริงๆ แค่ไม่มีหัวใจและไม่มีลมหายใจเหมือนสิ่งมีชีวิต”
“มีเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาว่าเซียนที่สามารถไปได้ถึงระดับต้าเฉิงนั้น ร่างแปลงของพวกเขาก็จะสามารถมีสติปัญญาและมีเลือดเนื้อของตัวเอง เหมือนกับเป็นพี่น้องฝาแฝด พลังยังสามารถแบ่งกันใช้ได้ หรือแม้กระทั่งรวบรวมพลังของร่างแปลงเอาไว้หลายๆ ร่างรวมกัน ลองคิดดูสิว่าเซียนระดับหยวนอิงสูงสุดจะน่ากลัวขนาดไหน! ถ้าหากรวมหลายพลัง หรือร่างแปลงหลายๆ ร่างร่วมมือกันต่อสู้ พลังจะน่ากลัวขนาดไหน!” โหยวเชียนเริ่นพูดไป ดวงตาก็เริ่มเป็นประกาย แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ “แต่ว่าข้าไม่เคยได้ยินว่าร่างแปลงจะเป็นหมูตัวหนึ่ง…หรือว่าร่างที่แท้จริงของมันจะเป็นปีศาจหมูแปลงกายระดับแปดขึ้นไป? แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่าในบรรดาปีศาจมีหมูที่ร้ายกาจอย่างนี้นะ”
โหยวเชียนเริ่นยื่นมือมาเพื่ออยากจะจับมันดูใกล้ๆ แต่เจ้าหมูน้อยแสดงออกชัดเจนว่ารู้สึกไม่ดี มันพยายามดิ้นรนออกไม่ยอมให้เขาจับตัว จูจูเองก็กลัวว่าโหยวเชียนเริ่นจะรู้ความลับของมันแล้วจะแย่งมันไป จึงจงใจปล่อยมือ แล้วเจ้าหมูน้อยก็รีบวิ่งไปหลบอยู่หลังของนางอย่างรวดเร็ว
พอดีที่โหยวเชียนเริ่นเองก็รู้สึกกังวลและสงสัยในตัวของเจ้าหมูน้อย จึงไม่คิดจะหาเรื่องมัน เห็นสถานการณ์แบบนี้เขาก็ยิ้มๆ พลางลดมือกลับไป และเปลี่ยนไปถามพวกเขาว่าไปเอาหมูแปลกๆ นี้มาจากไหน
อิ๋นจื่อจางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานทั้งหมดอย่างคร่าวๆ โหยวเชียนเริ่นคิดอยู่สักพักก็ยังหาใจความสำคัญของเรื่องไม่ได้
หุบเขาชั่งเซียนอยู่ด้านข้างของหุบเขาอิงปั้ง ถ้าหากในหุบเขามีปีศาจที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่รู้สึกถึง เขาเองก็ไม่ใช่ไม่เคยเข้าไปในหุบเขา ในนั้นนอกจากเต็มไปด้วยกลิ่นอายวิญญาณและคลื่นพลังแปลกๆ แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่พิเศษอะไร ปีศาจที่แข็งแกร่งก็คือหมาจิ้งจอกระดับห้า ความสามารถของมันคือภาพลวงตา ส่วนพลังในการต่อสู้นั้นถือว่าธรรมดามาก
ถึงแม้ว่าที่มาของเจ้าหมูน้อยจะไม่แน่ชัด แต่ว่าดูแล้วมันไม่ได้มีท่าทางคุมคามต่อภูเขาญาณศักดิ์สิทธิ์ ข้อสงสัยของโหยวเชียนเริ่นที่ยังไม่ได้ข้อสรุปจึงล้มเลิกไป เขาจึงกลับไปที่ถ้ำของตัวเองแล้วบำเพ็ญตบะต่อ
อิ๋นจื่อจางมากินอาหารกลางวันที่บ้านของจูจู และกำชับจูจูให้ระมัดระวังทุกๆ เรื่อง เรื่องของเจ้าหมูน้อยก็ให้นางหาโอกาสคุยกับเจิ้งฉวนเพียงลำพัง ห้ามให้คนภายนอกรู้เด็ดขาด แล้วก็กลับไปที่พักของตนเพื่อบำเพ็ญตบะต่อ
ทุกวันจูจูต้องไปทำงานที่ห้องปรุงยา วันนี้อิ๋นจื่อจางไม่ได้พูดถึงเรื่องท่องหนังสือ ทำให้นางผ่อนคลายและดีใจมาก นางจึงพาเจ้าหมูน้อยไปทำงานด้วย
แน่นอนว่า สื่งที่สำคัญที่สุดคือให้คนของห้องปรุงยา เอายาที่ไร้คุณภาพนั้นมาส่งให้นาง แม้แต่เหตุผลของการกระทำนี้นางก็คิดเอาไว้แล้ว นางต้องการเรียนวิชาปรุงยา อันดับแรกจึงอยากเรียนรู้ยาที่ไร้คุณภาพก่อน เพื่อศึกษาเหตุผลที่ทำให้ยาไร้ประสิทธิภาพ
เหตุผลนี้พอคนอื่นได้ยินต่างก็คิดว่าไร้สาระ ขยะพวกนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีคนศึกษามาก่อน แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครได้รับผลสรุปที่ชัดเจน
แต่ว่าจูจูเป็นศิษย์เอกของเจิ้งฉวน และเจิ้งฉวนเป็นปรมาจารย์ปรุงยาระดับหก หากนางทำอะไรที่ไม่เหมาะสมก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ นับประสาอะไรกับการที่นางแค่ต้องการจะเก็บขยะของที่นี่เล่า? ดังนั้นฝูกุยจึงสั่งให้ลูกศิษย์ที่สวมเครื่องแบบสีเทาสองคนนำยาที่ไร้ประสิทธิภาพพวกนี้ไปส่งให้ที่บ้านของจูจูทุกวัน
จูจูรู้สึกพอใจมาก และรู้สึกว่าเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นทำให้นางได้รับเรื่องดีๆ กลับมาหลายอย่าง นางตัดสินใจที่จะใช้ทั้งกายและใจทำให้ทุกอย่างออกมาด้วยดี
วันที่สอง จูจูพาเจ้าหมูน้อยไปพบเจิ้งฉวนตั้งแต่เช้า
สถานการณ์ของเจิ้งฉวนในวันนี้ดูดีกว่าเมื่อวานอยู่มาก ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันเพียงลำพังในห้องสมาธิ จูจูถือโอกาสนี้ในการบอกความสามารถพิเศษของเจ้าหมูน้อยให้เขาฟัง และยังนำยาที่มันคายออกมาก
เมื่อวานให้เขาดูด้วย หลังจากนั้นก็ขอคำชี้แนะจากอาจารย์ถึงที่มาของมัน
เจิ้งฉวนหยิบเอาเม็ดยาฟื้นฟูพลังไปดู พลางพูดว่า “เสียของจริงๆ ของดีๆ เอามาใช้ทำอะไรไร้สาระ ยาไร้สาระพวกนี้ทำให้เจ้าดีใจขนาดนั้นเลยหรือ? ที่มาของเจ้าหมูน้อยเจ้าไม่ต้องถามมาก แค่ใช้มันเป็น ‘ไฟวิญญาณ’ ก็พอแล้ว”
“ไฟวิญญาณ” จูจูกะพริบตา พลางรู้สึกว่าคำนี้คุ้นๆ
“จะเรียกว่า ‘หม้อมีชีวิต’ หรือ ‘หม้อที่แปลงรูปมาจากจิต’ ก็ได้ เจ้าก็ค่อยๆ คิดด้วยตัวเองก็แล้วกัน” เจิ้งฉวนจงใจพูดแค่ครึ่งเดียว เพื่อจะทดสอบว่าจูจูจำอะไรได้แค่ไหน
จูจูเอียงหัวพลางคิด ในหัวของนางมีสิ่งของที่เกี่ยวกับไฟวิญญาณมากมาย ยิ่งนางคิดออกมาเท่าไหร่ การแสดงออกของนางก็ยิ่งตกใจมากขึ้นเท่านั้น
“เจ้าหมูนี่เป็นไฟวิญญาณของใครสักคนงั้นเหรอเจ้าคะ?” นางถามเสียงแหบแห้ง
“เจ้ารู้ไปก็ไม่เป็นผลดีต่อเจ้าเลยสักนิดเดียว เรื่องของเจ้าหมูน้อยห้ามพูดกับใครทั้งนั้น รวมทั้งศิษย์พี่อิ๋นจื่อจางของเจ้าด้วย ไม่งั้น ไม่เพียงแต่เจ้าที่จะประสบกับหายนะ คนรอบข้างของเจ้าก็จะพลอยเดือดร้อนเพราะเจ้าไปด้วย มันจะกลายเป็นโศกนาฏกรรม!” ใบหน้าของเจิ้งฉวนแสดงออกถึงความจริงจัง
จูจูอุ้มเจ้าหมูน้อยแล้ว ค่อยๆ พยักหน้าอย่างช้าๆ