บทที่ 47 จากเจ้าหมูโง่กลายเป็นเจ้าหมูโง่แบบสุดๆ
มีเพียงผู้ที่สามารถเป็นปรมาจารย์ด้านการปรุงยาเท่านั้น ที่มีความสามารถทางด้านจิตวิญญาณดั้งเดิมมากกว่าคนอื่น และจะสามารถฝึกฝนความสามารถทางด้านนี้ได้มากกว่าคนอื่นถึงสองเท่า ทุกวันที่ฝึกปรุงยาก็จะสามารถฝึกจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนไปด้วยได้ ดังนั้นความสามารถเรื่องจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาจะมากกว่าคนอื่น ที่เรียกว่า ไฟวิญญาณ ก็เกี่ยวข้องกับที่โหยวเชียนเริ่นเคยพูดไว้เกี่ยวกับการแบ่งพลังชีวิต แต่ว่ามันเป็นเรื่องเฉพาะทางของอาจารย์ปรุงยาและเป็นเรื่องที่หาได้ยากมากๆ
จากทฤษฎีแล้ว ผู้ปรุงยาจะต้องไปถึงระดับหยวนอิงเริ่มต้น ถึงจะสามารถแบ่งจิตวิญญาณดั้งเดิมออกมาเป็นไฟวิญญาณ ไฟวิญญาณนั้นที่จริงแล้วเป็นการนำรากวิญญาณไฟของเซียน และไฟอย่างแท้จริง รวมทั้งไฟหลายๆ ชนิดมารวมกันกลายเป็นร่างกายเพื่อสร้างร่างกายใหม่
เมื่อไฟวิญญาณมีรูปร่าง ก็จะกลายเป็นหม้อยาที่มีชีวิต ไม่เพียงแต่สามารถดูดซับพลังของเชื้อเพลิงไฟหลายๆ อย่าง มันยังสามารถผลิตยาออกมาได้ รูปลักษณ์ภายนอกของไฟวิญญาณของผู้ปรุงยานั้นปกติแล้วจะเป็นเหมือนสัตว์เทพในตำนาน เช่น กิเลนไฟ มังกรไฟ หงส์ไฟ เป็นต้น แม้จะไม่มีรูปร่างลักษณะที่เหมือนกับผู้ปรุงยา แต่ก็ยังไม่เคยได้ยินว่ากลายเป็นหมูตัวหนึ่ง ดังนั้นครั้งแรกที่เจิ้งฉวนเห็นเจ้าหมูน้อยก็รู้สึกสงสัยมาก
แต่ว่าการที่จะสร้างไฟวิญญาณนั้น ไม่ใช่ว่าแค่มีตบะอาคมที่เพียงพอแล้วถึงจะทำได้ ยังต้องมีโอกาสวาสนาด้วย เช่นการการดูดซับและหลอมรวมแหล่งกำเนิดไฟต่างๆ และยังมีการรับรู้พิเศษ ข้อแรกยังสามารถทำได้ไม่ยาก แต่ข้อหลังกลับเป็นปราการอุปสรรคใหญ่ที่ขวางหน้าผู้ปรุงยามากมายเอาไว้ ผู้ที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีเลย
มีแค่การฝึกพลังจนสามารถแยกไฟวิญญาณได้ ถึงจะถือว่าได้ก้าวเข้ามาในวงการแถวหน้าของการปรุงยาอย่างแท้จริง
จูจูยิ่งคิดหนักขึ้น ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าหากว่าเจ้าหมูน้อยนี้เป็นไฟวิญญาณจริงๆ และนางเป็นเจ้าของที่มันยอมรับ นั่นเท่ากับว่านางอย่างก็เป็นถึงเซียนระดับหยวนอิง อยู่ในระดับเดียวกับโหยวเชียนเริ่นน่ะสิ? จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?
แต่ถ้าหากว่าเจ้าหมูน้อยไม่ใช่การแยกพลังชีวิตของนาง แล้วมันมาจากไหนล่ะ ทำไมมันถึงชอบอยู่ข้างกายนางขนาดนี้ แล้วยังเชื่อฟังคำพูดของนางด้วย? แล้วความรู้สึกที่ดูเหมือนจะสนิทและใกล้ชิดกับมันมากคืออะไรกัน?
จูจูคิดจนหัวจะแตก สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะฟังที่เจิ้งฉวนแนะนำ และไม่คิดอะไรอีก นางเก็บความลับข้อนี้เอาไว้ ค่อยๆ รับผลประโยชน์จากมันเงียบๆ ก็พอแล้ว
เมื่อคิดได้แล้ว จิตใจของจูจูก็กลับมาปกติอีกครั้ง
เมื่อเจิ้งฉวนเห็นว่านางไม่เป็นไร ก็หยิบกระดาษออกมาหนึ่งใบ ในนั้นมีรายการหนังสือมากมายให้นางไปอ่านที่ห้องสมุด ถ้าหากพบว่าจุดไหนมีปัญหาก็ให้คัดลอกมาเหมือนคราวก่อน ทุกวันช่วงเช้านางจะต้องมารายงานตัว ตอนบ่ายก็จะกลับไปที่ห้องปรุงยา
แค่ได้ยินว่าต้องอ่านหนังสือต่อไป ชั่วขณะนั้นนางก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยากทันที
ตกเย็นอิ๋นจื่อจางไม่ได้พูดถึงเรื่องของเจ้าหมูน้อยอีก พอรู้ว่าเจิ้งฉวนให้จูจูไปรายงานตัวทุกวัน ในใจก็รู้สึกวางใจไม่น้อย
เขาตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะบำเพ็ญตบะใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังกังวลว่าจูจูอยู่คนเดียวจะเกิดเรื่องอะไรอีก แต่เมื่อเจิ้งฉวนสนใจนาง ก็เท่ากับว่าความปลอดภัยของนางจะมีคนคอยรับประกันแล้ว
จูจูได้รับอนุญาตจากเจิ้งฉวน ให้สามารถนำยาจากห้องปรุงยาไปให้อิ๋นจื่อจางได้ ถึงแม้ว่าคุณภาพของมันจะไม่ดีเท่าที่เจ้าหมูน้อยคายออกมา แต่ก็เป็นระดับกลางแล้ว
อิ๋นจื่อจางรับอย่างใจกว้าง และยื่นมือไปเขกหัวของนางทีหนึ่ง ยิ้มพลางพูดว่า “เมื่อไหร่ที่เจ้าสามารถปรุงยาวิเศษให้ข้าได้ล่ะก็ ข้าจะไม่เรียกเจ้าว่าหมูโง่อีก”
“จริงหรือ?” จูจูตาเป็นประกาย
“อือ จะเรียกเจ้าว่าเจ้าหมูโง่สุดๆ แทน” อิ๋นจื่อจางแค่นเสียงฮึ
“คนเลว!” จูจูโกรธจนกัดฟันกรอด เดินทุละเข้าไปในห้องครัวและนำขิงมาแทนตัวอิ๋นจื่อจาง และตบตีมันหลายครั้งเพื่อระบายอารมณ์
อิ๋นจื่อจางเพิ่งจะบำเพ็ญตบะได้สองวัน ก็ได้ยินว่าเฉิงขุยเปิ่นถูกลูกศิษย์จับส่งไปหุบเขากังปี่เพื่อกำจัดพลังที่หน้าประตูของภูเขา ความโกรธของจูจูยังไม่ลดลง ฝูกุยก็เข้ามาเชิญเจิ้งฉวนให้ไปพบเจ้าสำนักตามคำเชิญ
ตอนนั้นจูจูกำลังสนทนาเรื่องวิธีการปรุงยากับเขา ความสนใจของเจิ้งฉวนถูกฝูกุยขัด ทำให้เขามองไปที่ฝูกุยอย่างไม่ค่อยพอใจ ฝูกุยจึงรีบพูดว่า “เป็นเรื่องเกี่ยวกับเฉิงขุยเปิ่น ท่านซูจิงแสดงความคิดเห็นที่ต่างไปเกี่ยวกับการลงโทษครั้งนี้ ดังนั้น…”
เจิ้งฉวนยิ้มเย็นพลางพูดว่า “ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ข้าจะจัดการกับลูกศิษย์ของตนแล้วต้องลำบากท่านซูจิงขนาดนี้?”
ฝูกุยนั้นมีสายเลือดเดียวกันกับเจ้าสำนัก แน่นอนว่าเขาไม่อยากให้ท่านอาวุโสในสำนักขัดแย้งกัน จึงรีบอธิบายว่า “ท่านซูจิงไม่ได้มีเจตนาร้าย แค่คิดว่าเฉิงขุยเปิ่นเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง ดังนั้นจึงหวังอยากให้ให้โอกาสเขา ให้เขาได้ปรับปรุงตัวเอง”
ถ้าหากว่าเฉิงขุยเปิ่นเป็นเพียงลูกศิษย์ที่มีพลังอยู่ในขั้นธรรมดาคนหนึ่ง เจ้าสำนักฝูอวี้จะไม่สนใจการตัดสินของเจิ้งฉวนเลยสักนิด ถึงแม้ซูจิงจะออกหน้าช่วย เขาก็ไม่สนใจ แต่ว่าเฉิงขุยเปิ่นอายุไม่ถึงห้าสิบแต่ก็เป็นถึงผู้ปรุงยาระดับหนึ่ง และยังใกล้จะได้เลื่อนเป็นระดับสองแล้ว คนแบบนี้นั้นถือว่ามีค่ามากกว่าศิษย์สายในที่เฉลียวฉลาดเสียอีก
อยู่ๆ เจิ้งฉวนก็จะให้กำจัดเขาทิ้ง ซูจิงก็ออกหน้าว่าเสียดายความเป็นอัจฉริยะ ฝูอวี้เป็นคนดูแลผลกระทบของภายในสำนัก ดังนั้นจึงให้คนไปเชิญเจิ้งฉวนมา
“ลูกศิษย์ที่ทรยศไร้ยางอายเช่นนี้ ยิ่งนานวันจะยิ่งก่อเรื่องเลวร้ายมากขึ้น เก็บไว้ไม่ได้” เจิ้งฉวนพูดอย่างเด็ดขาด
“เรื่องนี้ เรื่องนี้…” ฝูกุยออกอาการอ้ำอึ้ง
เจิ้งฉวนจึงพูดว่า “ถ้าเจ้าไม่กล้ากลับไปรายงาน งั้นข้าจะไปด้วยตัวเองแล้วกัน”
ตอนพลบค่ำ ฝูอวี้และเจิ้งฉวนต่างกลับมาจากหุบเขากังปี่ด้วยกัน ใบหน้าอ้วนๆ ของเจ้าสำนักนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ใบหน้าของเจิ้งฉวนกลับบึ้งตึงมาก
จูจูก็รู้ในทันทีว่าผลสรุปของเฉิงขุยเปิ่นนั้นเป็นอย่างไร
ตอนที่อยู่ในตำหนักเขาพูดทั้งน้ำตาว่าแค่อยากแกล้งให้จูจูไปส่งของแบบเสียเที่ยวสักครั้ง ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายนาง แร้งเทพห้ากรงเล็บอะไรเขาไม่รู้เรื่อง และเจิ้งฉวนเองก็ไม่ได้มีหลักฐานอยู่ในมือ ซูจิงก็ออกหน้าช่วยเขา และบอกว่าเฉิงขุยเปิ่นพาลูกศิษย์คนอื่นออกไปพบกับเหมืองหินวิญญาณขนาดเล็ก ความดีครั้งนี้จะช่วยลบล้างความผิดของเขาได้
สุดท้ายแล้วท่านผู้อาวุโสก็ตัดสินว่าให้เฉิงขุยเปิ่นโดนโบยสิบครั้ง และไล่ออกจากหุบเขาอิงปั้ง ซูจิงจึงทำท่าทางมีคุณธรรมพลางกล่าวว่าจะรับเฉิงขุยเปิ่นกลับเข้าหุบเขาของตัวเอง
เมื่อไม่สามารถจัดการคนเลวที่ทำร้ายนางได้ จูจูก็รู้สึกโกรธมาก แต่ว่าเขาจะหายไปจากหุบเขาอิงปั้งก็เป็นเรื่องที่ถือว่าดีไม่น้อย
ลูกศิษย์ที่หอปรุงยาได้ยินเรื่องนี้เข้า ก็เข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมคำตัดสินของเฉิงขุยเปิ่นถึงเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ผู้ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขา ต่างก็โกรธแค้น เพราะคิดว่าเจิ้งฉวนมีความลำเอียงให้กับลูกศิษย์ของตัวเอง ดังนั้นจึงซุบซิบนินทากันจนไปถึงเฉิงขุยเปิ่น
ปกติแล้วพวกเขาจะได้รับผลประโยชน์มากมายจากเฉิงขุยเปิ่น ตอนนี้หัวหน้ากลับเปลี่ยนเป็นจูจู พวกเขาคิดถึงอนาคตวันข้างหน้าก็รู้สึกลำบากแล้ว จะไม่รู้สึกโกรธเกลียดแค้นจูจูได้อย่างไร?
ระหว่างทางที่เดินกลับมาถึงถ้ำของเจิ้งฉวน เจ้าสำนักฝูอวี้ก็พูดเรื่องดีๆ นับไม่ถ้วน แต่เจิ้งฉวนก็ยังมีใบหน้าบึ้งตึง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นพลางพูดว่า “ศิษย์น้องเจิ้ง ข้าคิดว่าเจ้าจะเข้าใจความลำบากใจของข้าเสียอีก”
เจิ้งฉวนพูดอย่างไร้ความรู้สึกว่า “ท่านก็รู้อยู่ว่าซูจิงมีความคิดชั่วร้าย ยังให้ท้ายเขาครั้งแล้วครั้งเล่านี่หรือคือลำบากใจ?”
ฝูอวี้ใบหน้ากระตุก พลางพูดอย่างจนปัญญาว่า “เขามีคนคอยสนับสนุน ขนาดท่านโหยวยังต้องยอมให้เขาหลายส่วน ข้าล่ะจะทำอย่างไรได้?”