บทที่ 21 อัจฉริยะจูจู
เผยกู่ยิ้มแห้งๆ เล็กน้อยพลางพูดว่า “ฝีมือของเจ้ายอดเยี่ยมมาก ศิษย์พี่เลยอดไม่ไหว ฮี่ฮี่ คนจริงเขาไม่อวดกันหรอก สาวน้อย เจ้าเคยนำหนูเงินนี่มาทำอาหารหรือ?”
จูจูส่ายหน้าพลางพูดว่า “นี่คือครั้งแรก ข้าไม่เคยเห็นหนูเงินมาก่อน”
“งั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าต้องใช้ไฟขนาดไหน และวัตถุดิบเท่าไหร่? ในคัมภีร์ของข้าไม่ได้พูดถึงนี่?” เผยกู่ตกตะลึง
ในคัมภีร์เขาเขียนถึงรายการอาหาร ก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ตัวเองสะสมและคาดการณ์เอาไว้ แต่พอเขาปฎิบัติเองกลับล้มเหลวหลายครั้ง แน่นอนว่าเขาไม่สามารถเขียนวิธีทำอย่างละเอียดเอาไว้ได้
ตอนที่จูจูทำอาหารนางดูเคลื่อนไหวคล่องแคล่วดุจสายธาร ระหว่างทำก็ไม่มีอาการลังเลแม้แต่น้อย ทำครั้งแรกยังได้รสชาติขนาดนี้ นางทำได้ยังไงกันนะ?
“ข้าแค่ทำตามความรู้สึก” จูจูรู้สึกยากจะอธิบาย ตั้งแต่จำความได้นางก็สามารถแยกแยะพืชและสัตว์ที่มีลักษณะและรสชาติดีได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นตอนที่นางเรียนทำกับข้าวกับท่านยาย ไม่ถึงหนึ่งเดือนก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง ยายของนางคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติมาก และไม่เคยชื่นชมอะไร
เผยกู่เกาศีรษะของเขาด้วยความรู้สึกแปลกๆ หยิบผลวูซูแห้งจำนวนหนึ่งขึ้นมาวางลงบนเขียงพลางถามว่า “เจ้าคิดว่าผลวูซูลูกไหนดีที่สุด”
จูจูหยิบลูกที่ดูไม่สะดุดตาขึ้นมาหนึ่งลูก เผยกู่หยิบลูกนั้นขึ้นแกะออกแล้ววางไว้ด้านหนึ่ง แล้วนำผลที่เหลือมาแกะออกเช่นกัน เขาพิจารณาอย่างละเอียดและพบว่าลูกที่จูจูเลือกมาเป็นลูกที่มีเนื้อสดใหม่และเต็มที่สุด
เผยกู่มองจูจูตาเป็นประกาย ยกนิ้วโป้งพลางพูดว่า “อัจฉริยะ! อัจฉริยะ! ข้าก็ว่าว่าทำไมอาวุโสเจิ้งฉวนถึงเลือกเจ้าผู้ไม่มีรากวิญญาณและไร้ประโยชน์เข้ามาเป็นศิษย์เอก ที่แท้ตาเขาก็ถึงจริงๆ!”
จูจูรู้สึกได้รางๆ ว่าที่เจิ้งฉวนรับนางเข้าเป็นลูกศิษย์จะต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นแน่ แต่ว่าพออยู่ต่อหน้าเผยกู่ที่เอ่ยชมนางด้วยความจริงใจก็ยังทำให้นางดีใจมาก ยิ้มตาหยีพลางพูดว่า “ข้าก็คิดว่าเขาน่ะตาถึง!”
ถึงแม้ว่ามีคนมากมายที่ชอบมองนางด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม แต่จูจูก็ไม่ได้เคยเก็บมาใส่ใจ เมื่อก่อนท่านยายมักจะพูดกับนางเสมอว่า ฟ้านั้นประทานให้ทุกคนที่เกิดมานั้นต้องมีประโยชน์อยู่แล้ว เพียงแค่ว่าแต่ละคนมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกัน หาจุดเด่นของตัวเองให้เจอ แล้วพัฒนามันให้ดีขึ้นก็คุ้มค่าที่จะเกิดมาบนโลกใบนี้
เช่นเลี่ยวหย่งฉี ซูหลิงพวกนั้น ถ้าหากว่าต่อกันสู้ด้วยพลัง นางก็แพ้แบบไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าหากพูดถึงเรื่องการทำอาหาร ยังไงพวกนางก็สู้จูจูไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
เผยกู่ได้ยินคำพูดที่ไม่ถ่อมตนของนางก็ตะลึงสักครู่แล้วก็ยิ้มพร้อมหัวเราะออกมา ถูมือไปมาพลางพูดว่า “ศิษย์น้อง อาหารจานเมื่อครู่ เจ้าทำให้ข้าอีกหม้อได้หรือไม่?”
“ท่านยังกินไม่อิ่มอีกหรือ?!” จูจูตกใจ เขาต้องหิวมากี่ปีเนี่ยถึงกินได้เยอะขนาดนี้!
เผยกู่ส่ายหน้าพลางพูดว่า “ข้าไม่ได้จะกินเอง ข้าแค่อยากจะนำไปให้ผู้ที่อยู่ที่ผาเหรินหมิ่น ศิษย์น้องป้าวฝาหู่ได้รู้ซะบ้าง เหอะ! เจ้านี่มันหัวเราะเยาะข้ามาสิบกว่าปีแล้ว บอกว่าคัมภีร์ของข้านั้นน่าเบื่อที่สุดในโลก วันนี้ข้าจะทำให้เขากลืนคำพูดของตัวเองลงไปให้ได้!
ผาเหรินหมิ่น? ป้าวฝาหู่? นั่นคือคนที่เจ้าสำนักฝูอวี้เคยพูดถึงไม่ใช่หรือ? ดูเหมือนว่าหากอิ๋นจื่อจางสงสัยตรงไหนก็ให้ไปขอคำแนะนำจากเขา นางทำอาหารที่อร่อยให้เขากิน เขาก็น่าจะยอมทุ่มเทสอนเขาด้วยใจสักหน่อยใช่ไหมล่ะ? !
จูจูนึกขึ้นได้ว่าวันนี้อิ๋นจื่อจางจะบำเพ็ญตบะ ไม่ต้องเตรียมอาหารกลางวันให้เขา งั้นอยู่ที่นี่นานอีกนิดก็ไม่เป็นไร เผยกู่เห็นนางพยักหน้าตอบรับ ก็รีบจับหนูเงินออกมาเตรียมอย่างดีอกดีใจ
ทั้งสองร่วมมือกัน ไม่นานวูซูตุ๋นหนูเงินก็ทำเสร็จ
ผาเหรินหมิ่นอยู่ทางทิศตะวันตกของหุบเขาเริ่มต้น ถ้ำของป้าวฝาหู่อยู่ด้านล่างของผาเหรินหมิ่น ด้านหน้าถ้ำมีบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ถือว่าเป็นที่ๆ มีกลิ่นอายของพลังปราณหนาแน่นที่สุดในหุบเขาเริ่มต้น
ทั้งสองเดินมาถึงหน้าถ้ำ ก็ได้ยินเสียงแผดร้องว่า “ไสหัวออกไปให้พ้น!” หลังจากนั้นก็เห็นลูกศิษย์สายในสวมชุดสีขาวสองคนกระเด็นออกมาจากด้านในด้วยสีหน้าหวาดกลัว
ลูกศิษย์สายในที่สวมเครื่องแบบสีขาวต่างอยู่ในระดับผู้ฝึกพลัง สวมเสื้อสีน้ำเงินคือระดับจู้จี จูจูไม่เพียงเป็นแค่เด็กใหม่ แถมยังไม่สามารถแยกได้ว่าพวกเขามาจากหุบเขาใด แต่ไม่นานพวกเขาก็ประกาศชื่อหุบเขาของตัวเองออกมาด้วยตนเอง
ทั้งสองยังไม่เห็นจูจูและเผยกู่ หนึ่งในนั้นลุกขึ้นยืนพลางตะโกนเสียงดังว่า “ท่านอาจารย์ลุงป้าว ท่านอาจารย์ไม่ถือโทษโกรธเรื่องที่แล้วมาและเชิญท่านให้เขาร่วมหุบเขาโอวหยวนเพราะหวังดี หากท่านไม่ให้เกียรติเช่นนี้ หรือว่าไม้อ่อนไม่ชอบ ชอบไม้แข็งใช่ไหม?!”
“ไสหัวกลับไปบอกตาเฒ่าซูจิงด้วยว่า ข้าป้าวฝาหู่ถึงในชีวิตนี้จะไม่มีทางขึ้นเป็นระดับเจี๋ยตันได้ ก็ไม่มีทางยอมเข้าร่วมกับเจ้าคนต่ำช้าที่ลืมบุญคุณคนอย่างเขาหรอก บอกให้เขาล้มเลิกความพยายามเสียเถอะ !” เสียงตะโกนราวกับฟ้าผ่าเจือมาด้วยแรงกดดัน ทำให้ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่นอกถ้ำยังสั่นไหว ศิษย์ทั้งสองคนที่สวมชุดสีขาวภายในใจเต็มไปด้วยความกลัว เขากระทืบเท้าด้วยความโกรธแล้วหันหลังเดินออกมา
ขณะนั้นเขาก็มองเห็นผู้ที่ยืนอยู่ใต้ร่มไม้ เผยกู่และจูจู ใบหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความอึดอัดและขัดเขิน เขาทำความเคารพอีกฝ่ายตามพิธีแล้วเดินจากไป
เผยกู่พาจูจูก้าวยาวๆ เข้าไปในถ้ำ และตะโกนด้วยความดีใจว่า “ศิษย์น้องป้าวโกรธขนาดนี้ มาลองชิมอาหารของศิษย์พี่ดีกว่า รับรองว่ากินเข้าไปแล้วความโกรธของเจ้าจะหายไปแน่นอน”
“ถุย! สิ่งที่เจ้าทำกินเข้าไป รับรองว่าลำไส้ของข้าได้ทะลักออกมากองข้างนอกเป็นแน่ ข้ากำลังหงุดหงิด อย่ามา…เอ๋? กลิ่นอะไรหอมจัง” ป้าวฝาหู่เสียงดังทะลุแก้วหูคน แต่ก็ไม่ได้เหมือนเสียงตะโกนก่อนหน้านี้ที่มีพลังแรงกดดันออกมาด้วย แค่เสียงดังไปหน่อยเท่านั้น
จูจูรู้สึกได้ว่า เขาไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อพวกนาง ออกจะดูยินดีด้วยซ้ำ
ถ้ำของป้าวฝาหู่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ทั้งสี่ด้านเป็นหินเรียบปูพื้นที่มีขนาดเสมอกัน ด้านบนฝังไปด้วยหินที่มีแสงเรืองออกมา ดูแล้วไม่ได้สวยไปกว่าหลุมฝังศพสักเท่าไหร่
ตั้งแต่จูจูมาถึงที่นี่ ก็มักจะเห็นการตกแต่งด้วยหยกขาว กระเบื้องสีมรกต สถานที่ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายนี้นางเพิ่งพบเป็นครั้งแรก
ป้าวฝาหู่นั่งอยู่ตรงกลางของห้องรับแขกที่มีโต๊ะอยู่เพียงหนึ่ง เขาร่างกายสูงใหญ่ ดูกำยำแข็งแรงดุจเหล็กกล้า แม้จะนั่งอยู่แต่ก็ยังสูงกว่าจูจูหนึ่งศีรษะได้ ใบหน้าสีดำคิ้วเข้มตาโตนั้นดูเหมือนกับพวกจอมยุทธ์ในเรื่องเล่ายุทธภพมากกว่าผู้บำเพ็ญเป็นเซียนเสียอีก
เผยกู่ถือหม้อไปวางไว้บนโต๊ะและเปิดออกพลางพูดว่า “ผลวูซูตุ๋นหนูเงิน เหมาะกับเจ้าที่มีรากวิญญาณธาตุน้ำ กินเข้าไปแล้วจะได้รู้ว่าข้าน่ะเก่งขนาดไหน ถึงเวลานั้นอย่าบูชาข้ามากเกินไปก็แล้วกัน ฮ่าๆๆๆ”
“ผลวูซูตู๋นหนูเงิน? ทำไมถึงออกมาหน้าตาแบบนี้? เจ้าทำหรือ?”ป้าวฝาหู่ถูกกลิ่นของมันทำให้น้ำลายไหล แต่เขาถูกเผยกู่หลอกมาหลายปี จึงไม่กล้าเชื่อว่าอาหารที่เขานำมาจะไม่ใช่ ‘อาหารหมู’ พลางมองไปที่เผยกู่ด้วยความสงสัย
เผยกู่ถูกการกระทำของเขาทำให้รู้สึกโกรธ ไม่รู้ว่าหยิบตะเกียบมาจากไหนยัดไปในมือของเขา “กินเข้าไป จะถามมากเพื่ออะไร?”
ป้าวฝาหู่คีบเนื้อหนูเงินขึ้นมาดมอย่างละเอียด เมื่อแน่ใจว่าไม่มีกลิ่นแปลกๆ ก็ค่อยแลบลิ้นออกมาเลียเบาๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีรสชาติแปลกๆ แล้วก็ถึงจะวางใจใส่เนื้อเข้าปากและเคี้ยวอย่างช้าๆ