บทที่ 43 กินได้อีก
สามเดือนที่ผ่านมา เจิ้งฉวนไม่สนใจจูจูเลยสักนิด ฝูกุยเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเจตนาของเขา แต่ว่าดูจากเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ เจิ้งฉวนก็สนใจศิษย์เอกของเขาไม่น้อย ดังนั้นถึงแม้ว่าในใจเขาจะค่อนข้างดูถูกจูจูที่ทำอะไรได้ไม่นอกจากท่องหนังสือนั้น แต่ท่าทางของเขาที่มีต่อนางกลับอ่อนโยนไม่น้อย
ผู้ที่ดูแลจัดการเรื่องห้องปรุงยามีทั้งหมดสามคน มีเซียนระดับจู้จีเริ่มต้นสองคนและเฉิงขุยเปิ่น จูจูมาแทนที่เฉิงขุยเปิ่น ดังนั้นเขาจึงพานางมาทำความรู้จักอีกสองคนก่อน
เซียนระดับจู้จีสองคนนี้ ชื่อกู๋หมิ่น และเหนียนป้าว ต่างเป็นผู้ปรุงยาระดับสอง พวกเขาทั้งสองมีหน้าที่ดูแลห้องปรุงยา ควบคุมการปรุงยาของที่นี่ก่อนที่เจิ้งฉวนจะเข้ามา นิสัยเงียบขรึมไม่ค่อยชอบพูด หลงใหลอยู่แค่เพียงศิลปะการปรุงยา สำหรับเรื่องที่เปลี่ยนคนมาดูแลนั้นพวกเขาไม่สนใจเลยสักนิด พวกเขาทำความรู้จักกับจูจูแล้วก็กลับไปปรุงยาต่อ แต่คนอื่นๆ ในห้องปรุงยาต่างสนใจจูจูเป็นอย่างมาก
คนไม่น้อยที่พากันคิดในใจว่า ให้เด็กที่ยังไม่โตท่าทางทั้งโง่และขี้เหร่ดูอ่อนแอขนาดนี้มาดูแลห้องปรุงยาได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะทำให้หุบเขาอิงปั้งขายหน้าหรือ? การปรุงยาเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาของภูเขาญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด ทำไมเจิ้งฉวนถึงได้ทำตามอำเภอใจขนาดนี้!
แต่ว่าการตัดสินใจของเจิ้งฉวน แม้แต่ปรมาจารย์ระดับหยวนอิง โหยวเชียนเริ่น ยังไม่กล้าทำให้เขาเสียหน้า จึงทำได้เพียงเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ และแสดงออกเหมือนว่าจริงใจเป็นกันเองในการต้อนรับ
จูจูเข้าทำงาน
หน้าที่หลักๆ ที่จูจูต้องมารับช่วงต่อก็คือเข้าและออกสองรายการ วัตถุดิบที่ใช้ปรุงยาวิเศษของที่นี่ ถ้าไม่ใช่ที่ปลูกเองที่สวนสมุนไพร ส่วนใหญ่ก็จะซื้อมาจากข้างนอกหรือไม่ก็มาจากที่ลูกศิษย์เก็บรวมรวมกลับมา หน้าที่ของจูจูก็คือตรวจรับ และนำสมุนไพรวิเศษแยกประเภท ชนิด คุณภาพแล้วนำไปเก็บเพื่อจะได้สะดวกต่อผู้ปรุงยาเวลาปรุงยา และพอผู้ปรุงยาปรุงยาเสร็จแล้ว ก็ให้นางนำยาไปแจกจ่ายให้ลูกศิษย์ทุกคนตามลำดับของแต่ละหุบ
แค่สองหน้าที่ ประโยชน์ที่ได้รับนั้นก็มากมายโดยไม่ต้องพูดถึงแล้ว ตอนที่ไปซื้อวัตถุดิบก็จะได้รับส่วนต่าง ก็ทำให้มีรายได้เป็นหินวิญญาณมากจนน่าตกใจ
ภูเขาญาณศักดิ์สิทธิ์ต้องการยาคุณภาพระดับสองขึ้นไป จำนวนในนั้นส่วนใหญ่จะเป็นยาระดับหนึ่ง เช่น ยาล้างสิ่งโสมม ยาดึงรากวิญญาณเป็นต้น ถึงอย่างไรก็ตาม ยาคุณภาพต่ำนั้นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ยาล้างสิ่งโสมมคุณภาพสูงราคาและประสิทธิภาพก็จะมากกว่ายาคุณภาพต่ำถึงห้าเท่า จูจูเป็นคนที่มีอำนาจในการจัดสรรยา ดังนั้นผู้ที่ต้องการยาคุณภาพสูงจึงจำเป็นต้องคิดหาวิธีให้ประโยชน์กับนาง นี่ก็คือข้อดีข้อใหญ่ที่จะทำให้ได้รายได้มา
เฉิงขุยเปิ่นร่วมมือกับลูกศิษย์ระดับจู้จีที่มีอำนาจ ทำให้เขาได้เงินจากลูกศิษย์คนอื่นไปไม่รู้เท่าไหร่
แต่ว่าตอนนี้จูจูเพิ่งมารับหน้าที่ เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ฝูกุยบอกนางเป็นการส่วนตัว เล่าเสร็จก็พูดว่า “สิ่งที่เฉิงขุยเปิ่นทำทั้งหมด อาวุโสเจิ้งไม่เห็นแต่ไม่ได้แปลว่าไม่รู้ แต่ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรดังนั้นจึงไม่ได้ไต่สวน”
“ลูกศิษย์ที่ถูกเก็บค่านายหน้าพวกนั้นน่าสงสารจัง” จูจูแอบดีใจกับความโชคดีของอิ๋นจื่อจางเงียบๆ โชคดีที่คนที่เป็นที่พึ่งของเขานั้นแข็งแกร่ง ไม่งั้นคงใช้ชีวิตอย่างยากลำบากแน่
ฝูกุยพูดด้วยใบหน้าเย็นว่าชา “การเป็นเซียนก็เป็นเช่นนี้ ผู้ที่อ่อนแอมักเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง ผู้ที่แข็งแกร่งถึงจะอยู่รอด ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับโอกาสเหมือนเจ้าที่สามารถเข้ามาเป็นศิษย์เอกได้”
จูจูพูดเบาๆ ว่า “ข้าไม่ชอบให้คนอื่นรังแกและก็ไม่ชอบรังแกคนอื่น”
ฝูกุยมองนางแวบหนึ่ง ในใจรู้สึกไม่เห็นด้วย รอจนนางได้ลิ้มรสหวานของผลประโยชน์เสียก่อน เกรงว่าจะแย่กว่าเฉิงขุยเปิ่นเสียอีก
ห้องปรุงยาแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกคือส่วนแผนกต้อนรับของลูกศิษย์และจัดการงานของแต่ละวัน เป็นที่ส่งมอบและรับยาวิเศษอีกด้วย ส่วนที่สองเป็นห้องที่เอาไว้ให้ลูกศิษย์ธรรมดาๆ ทั่วไปของหุบเขาอิงปั้งปรุงยา ทั้งหมดมียี่สิบกว่าห้อง ทุกห้องใช้ไฟจากดินเป็นเชื้อเพลิง สามห้องในจำนวนนั้นมีห้องที่เอาไว้ให้ใช้โดยเฉพาะของกู๋หมิ่น เหนียนป้าว และจูจู ส่วนที่สามหลักๆ คือคลังยา ที่นั่นเจิ้งฉวนก็มีห้องที่สามารถปรุงยาและและนั่งสมาธิได้
จูจูเดินตามฝูกุยสำรวจที่นี่หนึ่งรอบ ในที่สุดก็มีความคิดบางอย่าง และตลอดทางที่เดินมา เจ้าหมูน้อยปิดตาและหลับอุตุ ไม่รู้ว่ามันกินของของเจิ้งฉวนจนอิ่มเกินไปหรือเปล่า ระหว่างที่เดินจากส่วนที่สามกลับมาส่วนที่สองเจ้าหมูน้อยก็ดูเหมือนจะนอนเต็มอิ่มแล้ว มันขยับขาสั้นๆ ของมันไปมา สูดลมหายใจเข้าแล้วลืมตา
ในตอนนั้นห้องปรุงยาที่อยู่ด้านข้างก็เปิดประตูออก ลูกศิษย์ที่สวมเครื่องแบบสีเทาอุ้มโถเล็กๆออกมาตรงกลางลานพอดี นำโถที่ด้านในมียาที่ปรุงไม่สำเร็จ มีทั้งยาเม็ดและกากยาเทลงในถังทองแดงขนาดใหญ่ เจ้าหมูน้อยจ้องไปที่ถังทองแดงขนาดใหญ่ งอตัวและกระโดดเข้าไปในถังตอนที่จูจูไม่ทันระวัง มันอ้าปากออกแล้วเคี้ยวเอาเม็ดยาที่ใช้ไม่ได้กับกากยาเข้าไป
ส่วนสูงของจูจูนั้นเตี้ยแขนก็สั้น ยื่นมือล้วงลงไปหลายครั้งก็ไม่สามารถจับเจ้าหมูขึ้นมาได้ นางจึงอดไม่ได้ที่จะร้อนใจพลางพูดว่า “เจ้าหมูน้อย ไม่ต้องกินแล้ว รีบออกมา!”
ฝูกุยแสร้งยิ้มพลางพูดว่า “ไม่เป็นไร พวกยาที่ใช้ไม่ได้กับกากยาพวกนี้ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้แล้ว ถ้ามันชอบกินก็ให้มันกินเถอะ” พูดได้ว่าเขานั้นเกลียดเจ้าหมูตัวนี้เข้ากระดูกดำ แต่เมื่อเห็นมันเป็นแบบนี้ ก็รู้สึกสะใจ ช่างเป็นเจ้าตะกละที่รนหาที่ตายจริงๆ กินเถอะ กินเถอะ กินยาที่ปรุงผิดพลาดไปเยอะขนาดนี้ คอยดูเจ้าจะตายหรือไม่!
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าหมูน้อยกินไฟจากสัตว์ และไฟวิญญาณไปตั้งเยอะยังไม่เป็นไร แล้วกินยาที่ใช้ไม่ได้เข้าไปจะทำอะไรมันได้?
กว่าจูจูจะจับเจ้าหมูนั้นได้ มันก็กินยาที่ไร้ประสิทธิภาพไปกว่าครึ่งถัง แต่น่าแปลกที่น้ำหนักของมันและรูปร่างเล็กๆ ของมันไม่เปลี่ยนแปลง จูจูอุ้มมันไว้หัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออกและรู้สึกขายหน้ามาก พลางรีบขอตัวกลับ
“เจ้ากินทุกอย่างแบบนี้ ไม่กลัวจะท้องจะระเบิดหรือ?” จูจูพูดไปพลางขยี้หัวของเจ้าหมูไปด้วยอย่างจนปัญญา
เจ้าหมูน้อยขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของนางอย่างสนิทสนม ทำตาหยีพลางร้องออกมาว่า
“อี้ดอี้ด” เหมือนจะปลอบจูจูว่าตัวมันเองไม่เป็นไร ยังสบายดี
จูจูมองท่าทางที่น่ารักของมัน ก็อดไม่ได้ที่จะกอดมันไว้แล้วทำเสียงเลียนแบบมัน ตั้งแต่ที่นางพบมันครั้งแรกก็รู้สึกว่าคุ้นเคยกับมันมาก เหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย และนางยังสามารถรับรู้อารมณ์ความรู้สึกชอบหรือโกรธของมันได้
ที่จูจูไม่กังวลว่าเจ้าหมูน้อยจะกินของที่อันตรายต่อร่างกายเข้าไปก็เพราะว่านางไม่รู้สึกว่าเจ้าหมูน้อยรู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย และในความรู้สึกของนาง การที่เจ้าหมูน้อยกินของพวกนี้เข้าไปดีต่อตัวมันเสียด้วยซ้ำ
“เจ้าชอบกินยาที่ไร้ประสิทธิภาพหรือ? พวกเขาบอกว่าของพวกนั้นมันใช้ไม่ได้แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะเอามาให้เจ้าดีไหม?” จูจูปรึกษากับเจ้าหมูน้อย
เจ้าหมูน้อยร้อง “อี้ดอี้ด” พลางขดตัวให้เล็กลง เหมือนเป็นการบอกว่าเห็นด้วย
เมื่อกลับมาถึงบ้านพัก จูจูก็ตักน้ำจากน้ำพุศักดิ์สิทธิ์มาหนึ่งกระบวยวางไว้มุมห้อง แล้วเรียกเจ้าหมูน้อยมากิน ส่วนตัวเองก็เหนื่อยมากจนล้มตัวลงบนที่นอนแล้วหลับไปจนถึงเช้า
ตอนที่อิ๋นจื่อจางมาถึงก็ยังพบว่าจูจูยังคงหลับอยู่บนเตียง สุดท้ายนางก็ถูกเขาบิดหูให้ลุกขึ้นมาจากที่นอน นางทำกับข้าวไปอย่างสะลืมสะลือ เมื่อเจ้าหมูน้อยเห็นว่าคนเลวมาแล้ว ก็กลัวจนเข้าไปหลบอยู่ในห้องครัวไม่ว่ายังไงก็ไม่กล้าออกมาข้างนอกเพียงลำพัง
จูจูลูบมันเพื่อปลอบโยน พวกเขาต่างหัวอกเดียวกัน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของอิ๋นจื่อจางดังออกมาจากข้างนอกว่า “เจ้าไปเอายาวิเศษถาดใหญ่ขนาดนี้มาจากไหน แล้วทำไมถึงเอาไปแช่น้ำ?”