บทที่ 24 สถานการณ์คับขัน

บทที่ 24 สถานการณ์คับขัน

แส้ของห้องทรมานนั้นถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับผู้บำเพ็ญเป็นเซียนโดยเฉพาะ หากโดนไปสิบครั้งก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกพลังต้องนอนอยู่บนเตียงถึงครึ่งเดือน ศิษย์สายนอกทุกๆ สามเดือนถึงจะได้รับยาดึงรากวิญญาณหนึ่งขวดและล้างสิ่งโสมมหนึ่งเม็ด เรื่องนี้จึงเกี่ยวข้องกับการฝึกพลังของพวกเขา การถูกยึดยาพวกนี้ไปนั้นจึงเจ็บปวดยิ่งกว่าตัดเนื้อของพวกเขาเสียอีก

ถ้าหากว่าไม่สามารถช่วยลูกศิษย์พวกนี้ได้ วันข้างหน้าใครยังจะเชื่อฟังคำสั่งของหัวหน้าหุบเขาโอวหยวนอีกเล่า? เติ้งลู่ต่างก็มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้อยู่ จึงขอให้ตรวจสอบใหม่อีกครั้ง

เผยกู่ยิ้มเย็นๆ พลางพูดว่า “ตรวจสอบ? จะต้องตรวจสอบอะไรอีก? คนตั้งหลายคนรุมทำร้ายคนเพียงคนเดียว แถมผลลัพธ์ยังเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแค่เสียหน้า แพ้แล้วยังเป็นฝ่ายมาขอความยุติธรรมกับเหล่าอาจารย์อีก หากชนะจะเป็นอย่างไร? อิ๋นจื่อจางเป็นเด็กใหม่ยังไม่รู้กฎของที่นี่ แต่พวกเขาก็ไม่รู้กฎอย่างนั้นหรือ?”

เติ้งลู่และเหอเจี้ยนเหรินทั้งคุณวุฒิและความแข็งแกร่งนั้นสู้เผยกู่ไม่ได้ เมื่อเห็นท่าทีแข็งๆ ของเขา ทั้งสองแม้จะรู้สึกไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้าชักสีหน้า จึงทำได้เพียงขอร้อง

เผยกู่ไม่สนใจพวกเขาแม้แต่นิด พูดกับอิ๋นจื่อจางว่า “เจ้าเข้ามาที่สำนักญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่กี่วันก็ก่อเรื่อง ถึงแม้ความผิดจะไม่ได้อยู่ที่เจ้า แต่อารมณ์ของเจ้าก็ควรจะต้องเก็บไว้บ้าง ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้าต้องไปที่ผาเหรินหมิ่นเพื่อสำนึกผิด หนึ่งเดือนเต็ม”

อิ๋นจื่อจางลังเลเล็กน้อย แต่ก็โค้งคำนับยอมรับคำตัดสินแต่โดยดี

ทุกๆ คนต่างรู้ดีว่า นี่มันใช่การลงโทษเสียที่ไหนเล่า? เป็นการปกป้องกันชัดๆ หากเขาไปอยู่ใต้การปกครองของป้าวฝาหู่เซียนระดับจู้จีสูงสุดแล้ว ใครที่คิดจะลงมือกับเขาก็คงยากหน่อย!

ที่จริงแล้วหากเอาตามความคิดของอิ๋นจื่อจาง การที่คนพวกนี้มาหาเรื่องบ่อยๆ ก็ทำให้เขาได้ฝึกฝนฝีมือ แต่เมื่อคิดถึงเรื่องคัมภีร์ที่อาจารย์ให้ไว้ เขาก็ต้องไปผาเหรินหมิ่นเพื่อขอคำชี้แนะอยู่แล้ว พอเรื่องกลายเป็นเช่นนี้ก็เป็นการประหยัดเวลาและลดปัญหา

เมื่อคำแนะนำของเติ้งลู่และเหอเจี้ยนเหรินไม่เป็นผล พวกเขาก็หมุนตัวจากไปอย่างขุ่นเคือง อีกด้านก็ส่งคนไปรายงานข่าวที่หุบเขาโอวหยวน จินว่านเลี่ยงและเผยกู่ต่างก็แยกย้ายกันจากไป

อิ๋นจื่อจางเช็ดเลือดที่มุมปากของตัวเองลวกๆ พลางดึงจูจูกลับเข้าไปในห้องของตน จิงจี๋เหรินทำจมูกฟุดฟิด และทำเป็นหน้าหนาเดินตามมาด้วยอย่างไม่อาย

ถึงแม้นิสัยของอิ๋นจื่อจางจะเย็นชาดุจน้ำแข็ง แต่ก็ไม่ถึงกับแยกแยะไม่ออกว่า ใครเป็นคนดีหรือคนเลว เมื่อครู่จิงจี๋เหรินก็เป็นคนออกตัวพูดช่วยเขา เขายังจำได้ดี ดังนั้นเมื่อเห็นว่าจิงจี๋เหรินนั่งลงบนเก้าอี้จะมากินอาหารด้วย ก็ทำได้เพียงขมวดคิ้วไม่ได้พูดอะไรออกมา

จูจูเปิดอาหารชนิดใหม่ขึ้นมาด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง อิ๋นจื่อจางก็เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้ว อาหารบนโต๊ะนี้ควรจะเป็นของเขาทั้งหมด แต่ตอนนี้ต้องมาแบ่งกับจิงจี๋เหริน แต่พอคิดดูว่ายังไงจูจูก็อยู่ข้างกายเขาตลอดอยู่แล้ว มื้อนี้ก็ถือว่าช่างมันก็แล้วกัน

ตอนแรกชายหนุ่มทั้งสองยังคงรักษามารยาทพื้นฐานเอาไว้ได้ แต่พอหลังๆ พวกเขาต่างไม่เหลือมารยาทบนโต๊ะอาหารไว้เลย จูจูเพิ่งจะกินได้สามคำ อาหารที่อยู่บนโต๊ะก็เหลือเพียงจานเปล่า นางแอบดีใจอยู่เงียบๆ ที่ก่อนมาก็ได้กินอาหารจากที่นู่นไปแล้วกว่าครึ่งกระเพาะ

อิ๋นจื่อจางเหลือบมองจิงจี๋เหรินแวบนึงพลางถอนหายใจและวางตะเกียบลง

จิงจี๋เหรินลูบท้องที่กลมๆ ของตัวเอง พลางกล่าวลาและกลับไปเองอย่างรู้กาลเทศะ เห็นฝีมือของอิ๋นจื่อจางในวันนี้ ทำให้เขาไม่กล้าเอาชีวิตน้อยๆ ของตัวเองไปเสี่ยงเป็นแน่

ในที่สุดจูจูก็หาโอกาสพูดถึงประสบการณ์ที่ตัวเองได้รับมาในวันนี้ อิ๋นจื่อจางฟังเสร็จก็ไม่พูดอะไร เพียงแค่ขยี้ผมของนางพลางพูดว่า “หลังจากที่ข้าไปผาเหรินหมิ่นแล้ว เจ้าไม่มีเรื่องจำเป็นอะไรก็อย่าออกไปไหน ไปอยู่กับศิษย์พี่เผยกู่ซะ พวกนั้นจะได้ไม่กล้าลงมือกับเจ้า”

พลังของเขายังไม่แข็งแกร่งพอ ถ้าหากว่าเขามีพลังเท่ากับอาจารย์โหยวเชียนเริ่น คงไม่ต้องมากังวลเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ซูจิงจะเป็นคนบงการหรือไม่ แต่หลังจากนี้หนึ่งเดือนตอนที่พวกเขาย้ายออกจากหุบเขาเริ่มต้น คงต้องเผชิญหน้าประลองกับลูกศิษย์ผู้ฝึกพลังระดับเก้าของหุบเขาโอวหยวนเป็นแน่ และเขาจำเป็นต้องชนะ ไม่อย่างนั้นเขาและจูจูคงอยู่ที่นี่ได้ยาก แม้กระทั่งชีวิตก็ยังน่าเป็นห่วง

ผู้ที่มาหาเรื่องเขาในวันนี้ คงไม่ได้คิดจะแค่สั่งสอนเขาธรรมดาๆ แน่ เห็นได้ชัดว่าอยากจะกำจัดเขา ความคิดของซูจิงนั้นไม่ยากที่จะเข้าใจ คุณสมบัติของตัวเขานั้นดีมากเกินไป พรสวรรค์ก็สูง วันข้างหน้าหากเขาเติบโตขึ้น ก็คงจะเป็นเหมือนเสี้ยนหนามอันใหญ่ของซูจิง เนื่องจากเขาไม่สามารถใช้ประโยชน์อิ๋นจื่อจางได้แถมยังเป็นศัตรูกัน สู้คิดหาวิธีกำจัดอิ๋นจื่อจางตั้งแต่ยังไม่ก้าวหน้าจะง่ายกว่า

เช้าวันรุ่งขึ้น อิ๋นจื่อจางเก็บข้าวของพลางไปที่ผาเหรินหมิ่น แรกเริ่มป้าวฝาหู่ค่อนข้างไม่สนใจเขา แต่พอเวลาผ่านไป เขาก็ทำเป็นไม่สนใจไม่ได้ อิ๋นจื่อจางฝึกอย่างบ้างคลั่งจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ทำให้ป้าวฝาหู่รู้สึกนับถือ

ป้าวฝาหู่ในปีนั้นก็เป็นอัจฉริยะรากวิญญาณเดี่ยวธาตุน้ำ แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงตอนฝึกพลังในช่วงปีนั้น เขาไม่เคยฝึกฝนหนักเท่าอิ๋นจื่อจาง มิน่าล่ะขนาดเด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะยังพัฒนาตัวเองจนเป็นผู้ฝึกพลังระดับเจ็ดตอนอายุเพียงสิบเก้าปี

ป่าวฝาหู่รู้สึกเสียดายคนมีฝีมือ จึงตั้งใจชี้แนะให้อิ๋นจื่อจางมากขึ้น และทุกวันก็ได้กินอาหารรสเลิศที่จูจูตั้งใจทำขึ้นมาอย่างประณีต เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะทุ่มเทให้

ตำราการทำอาหารโดยใช้สมุนไพรและสัตว์เทพของเผยกู่นั้นถือว่าได้ผล พลังปราณภายในของอิ๋นจื่อจางและป้าวฝาหู่นั้นค่อยๆ เพิ่มขึ้น และแข็งแรงขึ้นอย่างไม่ทันรู้ตัว

มีเพียงจูจูที่ถึงแม้จะกินอาหารแบบเดียวกับพวกเขา แต่ก็ไม่มีปฎิกิริยาอะไร

เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหลือเวลาอีกสามวัน ก็จะถึงวันที่หัวหน้าหุบเขาแต่ละหุบเขาส่งคนมารับลูกศิษย์จากหุบเขาเริ่มต้นแล้ว

ความพยายามของอิ๋นจื่อจางนั้นทุกคนต่างมองเห็น มีคำชี้แนะของป้าวฝาหู่ทำให้เขาเดินได้อย่างถูกทาง แต่ก่อนไม่ค่อยเข้าใจวิธีการแก้ปัญหาถึงทำให้เสียเวลา ไม่ถึงหนึ่งเดือนการฝึกฝนพลังของเขา ก็เข้าใกล้ผู้ฝึกพลังระดับแปดแล้ว

ทุกๆ ระดับพลัง ยิ่งสูงขึ้นการพัฒนาก็จะยิ่งยากขึ้น การจะพัฒนาจากขั้นที่เจ็ดไปถึงขั้นที่แปดนั้น เซียนทั่วไปจะใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งถึงสองปีถึงจะพัฒนาได้ แต่อิ๋นจื่อจางใช้เวลาไม่นานก็มีสัญญาณของการพัฒนาแล้ว ความเร็วระดับนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ

แต่มันยังไม่ทำให้เขาพอใจ เมื่อรู้ว่าอีกสามวันเขาจะต้องเผชิญหน้ากับคนเลวที่เป็นผู้ฝึกพลังระดับขั้นเก้า หากเขายังไม่สามารถทะลวงถึงระดับขั้นที่แปดได้ล่ะก็ โอกาสที่จะชนะคนพวกนั้นก็แทบจะไม่มี

อิ๋นจื่อจางคิดทบทวนไปมา จึงตัดสินใจเสี่ยงใช้ยาจู้จีหนึ่งเม็ด ยาจู้จีที่เขามีอยู่เป็นความลับ แม้แต่ป้าวฝาหู่และเผยกู่ เขาเองก็ไม่อยากให้ความลับแพร่งพรายออกไป

ปกติแล้วยาจู้จีเป็นยาที่ใช้พัฒนาพลังของเซียนที่ระดับพลังเข้าใกล้ขั้นจู้จี สามารถพัฒนาลมปราณได้อย่างมหาศาล ช่วยให้พลังปราณที่จุดตันเถียนมารวมตัวกันกลั่นออกมา และขยายชีพจรกลายเป็นระดับจู้จี อิ๋นจื่อจางเป็นเพียงผู้ฝึกพลังระดับเจ็ดที่ใกล้จะทะลุไประดับแปด การที่ใช้ยานี้เพื่อพัฒนาพลังของตัวเอง ไม่เพียงเป็นเหมือนการขี่ช้างจับตั๊กแตน และยังจะมีโอกาสทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บอีกด้วย แต่ว่าในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ ก็ไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องพวกนั้นมากนัก

“ข้าต้องการบำเพ็ญตบะให้ทะลวงขั้นแปดเพียงลำพัง หากสามวันหลังจากนี้ข้าไม่ออกมา ก็ไปหาศิษย์พี่ป้าวและศิษย์พี่เผยให้เขาช่วยเปิดประตูห้องลับ” อิ๋นจื่อจางไม่อยากทำให้จูจูกลัว ถ้าหากว่าภายในสามวันเขาไม่ออกมา ความเป็นไปได้สูงสุดก็คือล้มเหลวและร่างกายบาดเจ็บหนัก เรียกป้าวฝาหู่และเผยกู่มาก็เพื่อจะขอให้ช่วยเขา

จูจูไม่เข้าใจถึงอันตรายจากการฝึกฝน แต่ก็รู้สึกถึงได้ว่าการที่อิ๋นจื่อจางจะบำเพ็ญตบะครั้งนี้นั้นไม่ธรรมดา

นิสัยของเขาทั้งหยิ่งทะนงและดื้อรั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเปิดปากขอให้ใครช่วยเหลือ แต่ครั้งนี้เขาถึงกับขอให้คนอื่นช่วย แสดงว่าการที่อิ๋นจื่อจางบำเพ็ญตบะครั้งนี้จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ จนแม้กระทั่งแรงจะเปิดประตูยังไม่มี !

ท่าทางของนางดูเหมือนเซ่อๆ บางครั้งก็ดูไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่หลายๆ เรื่องในใจของนางนั้นรู้ดี