บทที่ 14 ศัตรูล้อมหน้าล้อมหลัง

บทที่ 14 ศัตรูล้อมหน้าล้อมหลัง

หากกล่าวถึงสนมจ้าวผู้นี้นั้นนางมีฐานะสูงส่งขึ้นมาได้ด้วยอาศัยเสียงอันไพเราะนี้นั่นเอง

แรกเริ่มนางเป็นเพียงนางกำนัลเล็กๆ ของจงเหม่ยเหริน*พระสนมในตำหนักหมิงกวางเท่านั้น เนื่องด้วยทั้งสองมาจากหมู่บ้านเดียวกัน สนมจงทราบว่านางขับร้องเพลงได้ไพเราะยิ่ง จึงมักเรียกนางไปร้องเพลงให้ฟังอยู่บ่อยครั้งเพื่อคลายความคิดถึงบ้าน ผู้ใดเลยจะทราบว่าจักรพรรดิจางเหอร้อยปียังมิเหยียบย่างตำหนักหมิงกวางเลยสักครั้งกลับได้สดับฟังเสียงร้องของนางเข้า วันต่อมาจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นเป่าหลิน** ไม่ถึงหนึ่งเดือนได้เลื่อนขึ้นเป็นเจี๋ยอวี๋

พระสนมจงเป็นพระสนมผู้ทรงศักดิ์มานานปีจักรพรรดิยังมิใส่พระทัย แต่คนข้างกายนางกลับมาแทนที่เช่นนี้ ในใจเกิดโกรธแค้นก็เป็นเรื่องธรรมดา ทว่าสนมจ้าวผู้นี้มิรู้จักจำนรรจา นางไปอธิบายเรื่องราวต่างๆ ด้วยตนเองแต่กลับไม่เป็นผล เอ่ยวาจายังไม่ถึงสองประโยคก็ถูกผู้อื่นตบหน้าเข้าเสียให้

สนมจ้าวทำอันใดไม่ถูกได้แต่ร้องไห้กลับไปยังที่พำนักของตน พอตกค่ำจักรพรรดิจางเหอเสด็จมาหา กล่าววาจาเพียงสองสามประโยคก็ทำให้พระสนมจงโดนปลดจากตำแหน่งทันทีทั้งยังถูกขับออกจากตำหนักหมิงกวางอีกด้วย

หยวนเป่าหยวนสี่เดิมล้วนเป็นนางกำนัลของสนมจงเช่นกันทั้งสามจึงมีสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน เมื่อผู้หนึ่งโบยบินสู่ยอดสูงก็มิได้ลืมเลือนรากเหง้า จึงให้ทั้งสองมาอยู่ข้างกายตน ปฏิบัติต่อพวกนางไม่คล้ายนางกำนัลทั่วไป หากองค์จักรพรรดิปูนบำเหน็จสิ่งใดแก่นาง สนมจ้าวก็มิเคยลืมที่จะแบ่งปันแก่พวกนางทั้งสองแม้เพียงสักครั้ง

เมื่อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดนี้แล้ว เฉินหรูอี้จึงเข้าใจว่าเหตุใดหยวนเป่าหยวนสี่ถึงชอบพูดจาเลื่อนเปื้อนไม่รู้อันใดควรมิควรและด้วยเหตุนี้เองไม่ว่าหยวนเป่าหยวนสี่เอ่ยความใดล้วนกล่าวชมสนมจ้าวทั้งสิ้น เรื่องผิดพลาดอันใดล้วนเป็นผู้อื่นกระทำ สนมจ้าวของพวกนางนั้นงดงามพิสุทธิ์ดุจบงกชขาวก็มิปาน...

เป็นเช่นนั้นหรือ?

ยามเฉินหรูอี้ฟังจบทั่วสรรพางค์กายล้วนเกิดขนลุกชูชันขึ้น มือเท้าสั่นเทา ความน่าเชื่อถือในคำพูดเหล่านี้ล้วนถูกตัดทอนไปกว่าครึ่ง

ความงดงามพิสุทธิ์ดุจบงกชขาวของสนมจ้าวนั้นนางมองมิออกเลย ที่มองออกกลับเป็นศัตรูที่นางได้สร้างไว้มีมิน้อยเลย

วังหลังแห่งนี้เปรียบดั่งอารามที่มีสงฆ์มากแต่ภัตตาหารมีน้อย สนมห้าสิบกว่าคนต้องแย่งชิงบุรุษเพียงผู้เดียว แม้เสด็จหาใครในหนึ่งราตรีไม่มีแม้วันพักผ่อนยังต้องใช้เวลาถึงสองเดือนจึงจะครบทุกนาง เดิมทีการแบ่งสรรจัดส่วนก็มิได้ลงตัวอยู่แล้ว ปีหน้ายังจะมีพิธีคัดเลือกสาวงามเกิดขึ้นอีก เช่นนี้จักต้องมีหญิงงามพุ่งเข้าใส่องค์จักรพรรดิอีกมากมาย ในยามคับขันเช่นนี้นางกำนัลยังยื่นขาอ่อนออกมายั่วยวนพระองค์อีกยิ่งทำให้เป็นที่ขัดเคืองใจแก่บรรดาพระสนมยิ่งขึ้นไปอีก

ก่อนหน้านี้เฉินหรูอี้ยังสงสัยอยู่บ้างว่าเรื่องที่สนมจ้าวผลัดตกน้ำอาจเป็นเพียงอุบัติเหตุ แต่ครั้นได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดนี้แล้ว นางจึงตัดเรื่องอุบัติเหตุออกไปได้เลย

ถูกผู้คนทั้งวังหลังทิ้งให้โดดเดี่ยว ทั้งยังมีคนนิรนามซ่อนอยู่ด้านหลังรอโอกาสจะฆ่านาง ในสถานการณ์ที่ศัตรูล้อมหน้าล้อมหลังอยู่เช่นนี้ หนึ่งเดียวที่นางสามารถพึ่งพิงได้จึงมีเพียงจักรพรรดิจางเหอ หากพระองค์ทรงทอดทิ้งนางอีก นางคงถูกบรรดาพยัคฆ์หมาป่าฉีกทึ้งจนม้วยมรณาเป็นแน่

บัดนี้ ที่พึ่งหนึ่งเดียวของนางปรารถนาสดับเสียงขับร้องของนาง นางจะปฏิเสธได้อย่างไร?

เฉินหรูอี้พลันรู้สึกฮึกเหิมขึ้นในใจ ตั้งแต่ได้รู้ว่าสนมจ้าวโดดเด่นขึ้นด้วยอาศัยเสียงอันไพเราะของนางนั้น เฉินหรูอี้มักลากหยวนเป่าและหยวนสี่มาช่วยฝึกฝนการขับร้องทุกวันเพื่อต่อไปจะได้ไม่เผยพิรุธออกมา

ฝึกมาได้ครึ่งเดือนแต่กลับยังร้องมิได้ความแม้แต่บทเพลงเดียว

นางกระแอมหนึ่งครั้ง ค่อยๆ เปิดปากได้รูปเผยอปากร้องว่า “เจียนเจียชางชาง ไป๋ลู่........”

“ผู้ใดให้เจ้าร้องบทเพลงนี้กันเล่า?” พระองค์ที่ทรงนอนราบบนพื้น ขมวดพระขนงเอ่ยตัดบทนางขึ้น ทรงให้นางขับร้องเพียงหนึ่งบทเพลงแต่กลับใช้เวลาไปถึงครึ่งก้านธูป พระองค์หลงคิดไปว่าจะมีบทเพลงที่พิเศษบทใหม่ ผู้ใดเลยจะทราบนางกลับร้องเละเทะมิเป็นท่าจนพระกรรณของพระองค์จะเกิดมีหนอนชอนไชออกมาเสียแล้ว

“ร้องบทเพลงในสวนมีท้อเถอะ เมื่อหลายวันก่อนเจ้าเคยร้องเพลงนี้มิใช่หรือ?”

ในสวนมีท้อ ยังมีผิงกั่ว*อีก นางเพียงฝึกบทเพลงที่สนมจ้าวเคยขับร้องบ่อยๆ ไว้อย่างรีบเร่งแต่องค์จักรพรรดิกลับเห็นนางเป็นดั่งนักขายเสียงตามท้องถนน ซ้ำยังทรงเลือกบทเพลงด้วยองค์เองอีก

“ฝ่าบาท” เฉินหรูอี้เลียริมฝีปากตนอย่างประหม่า กล่าวกระท่อนกระแท่นว่า “หลายวันก่อนเชี่ยเซินพลัดตกน้ำไป ทำให้สติยังไม่แจ่มชัดนัก เอ่อ...ร้องบทเพลงนี้ก่อน ได้หรือไม่เพคะ?”

“สติยังมิแจ่มชัด? พูดดั่งว่าก่อนหน้านั้นสติเจ้าแจ่มชัดหนักหนา” เซียวเหยี่ยนยิ้มเย็น ใช้ศอกค้ำยันพื้นไว้ แล้วยื่นมืออีกข้างออกมาหยิกแก้มของนางโดยแรงแล้วดึงใบหน้านุ่มนิ่มเข้ามาใกล้ตน “เจ้าอยากให้เจิ้นช่วยจัดการผู้ใด? จงขับร้องให้ไพเราะ เลิกทำตัวแง่งอนไม่เข้าเรื่องเสียที”

“เจ็บ! ฝ่าบาท ! เจ็บเพคะ”

เฉินหรูอี้ซูดปากเสียงเบาแต่กลับมิกล้าเบี่ยงตัวหลบหลีก เอ่ยเสียงแผ่วราวแมวร้อง “มิได้เพคะ เชี่ยเซินลืมจริงๆ เพคะ ฝ่าบาทโปรดอย่าได้ทรงกริ้ว”

เมื่อได้สดับฟังเสียงใสเล็กเอ่ยวิงวอนเช่นนั้นเซียวเหยี่ยนพลันรู้สึกหนาวสั่น มือไม้อ่อนยวบและคลายมือลง

“เจ้าพูดดีๆ ไม่เป็นหรืออย่างไร คิดจะยั่วยวนผู้ใดกัน?”

เฉินหรูอี้นิ่งเงียบอยู่นาน อยากจะพ่นโลหิตใส่พระพักตร์ที่ดูมึนเมาไร้ซึ่งสติของจักรพรรดิจางเหอเหลือเกิน

เสียงเช่นนี้เป็นมารดามอบให้ ยามกล่าววาจาใดล้วนทำให้ผู้คนเบื่อหน่ายในน้ำเสียง นางจะทำเช่นใดได้เล่า? อีกอย่างพระองค์เองก็ทรงชื่นชอบเสียงนางมิใช่หรือ? ยามนี้กลับแสร้งเป็นบุรุษผู้ไร้ราคี

“มิใช่เพคะ ลืมจริงๆ เพคะ” เฉินหรูอี้น้ำตาคลอเอ่อ รู้สึกว่าการฟื้นคืนของนางครานี้ช่างขาดทุนเหลือเกิน มิสู้เป็นขันทีผู้เหม็นโฉ่อย่างคราก่อน ถูกโบยก็สิ้นเรื่องไปเจ็บปวดก็เพียงกาย แต่ครานี้กลับเหน็ดเหนื่อยที่ในใจ ถูกองค์จักรพรรดิขู่ขวัญอยู่มิรู้จบ หากมีอีกเพียงครั้งหัวใจของนางคงหยุดเต้นเป็นแน่แท้

“ฝ่าบาท เชี่ยเซินจักตั้งใจขับร้องให้ดี...ฝ่าบาททรงละเว้นเชี่ยเซินสักครั้งเถิดเพคะ”

นางลอบมององค์จักรพรรดิคราหนึ่ง ไม่ทราบแน่ชัดว่าเสียงเล็กใสของนางนี้จะทำให้ทรงไม่สำราญพระทัยอีกหรือไม่

พระพักตร์บิดเบี้ยว ไม่ตรัสอันใดแม้เพียงหนึ่งคำ

คล้ายว่าช้าแต่ทว่าเร็ว นางโก่งคอเปิดฉากขับร้องขึ้น ทั้งขับร้องไปพลางลอบมองพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิไปพลาง แต่กลับเห็นเพียงพระพักตร์ที่ดูตะลึงงันจับจ้องมายังนางคล้ายมิอาจตรัสสิ่งใดได้ มุมพระโอษฐ์บิดเบี้ยวคล้ายทรงเป็นโรคลมชักอย่างไรอย่างนั้น ทำให้เฉินหรูอี้หยุดขับร้องโดยฉับพลัน ทอดสายตามององค์จักรพรรดิด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยกังวลใจ “ฝ่าบาท พระองค์ทรงเป็นอันใด ประชวรตรงที่ใดหรือไม่เพคะ?”

ครั้นเมื่อเสียงขับร้องเงียบลงเซียวเหยี่ยนก็มีสติคืนมา พลันยกมือขึ้นชี้มายังจมูกของเฉินหรูอี้แล้วปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง หัวเราะไปพลางตบหน้าขาตนเองไปพลาง เสียงดัง “พั่บพั่บ”

“ฝ่าบาทเพคะ......” เฉินหรูอี้เบ้ปาก หากทรงพระสรวลจนสิ้นพระชนม์ไปต่อหน้านาง ไม่ทราบว่านางต้องรับผิดชอบหรือไม่?

“ฮ่าฮ่าฮ่า” เซียวเหยี่ยวหัวเราะพลางกุมหน้าท้องตนไว้แล้วล้มตัวลงกับพื้นหัวเราะกลิ้งไปมาอยู่นานราวครึ่งก้านธูปจนใบหน้าบิดเบี้ยว

ทรงพระสรวลอย่างหนักเสียจนข้าราชบริพารด้านนอกขนลุกขนพองกันถ้วนทั่ว พลันบังเกิดเสียงแง้มประตูเบาๆ

“ฝ่าบาท มีอันใดหรือไม่พะยะค่ะ?” เฉินฮวายเอ่ยถามด้วยสงสัย ยามพระองค์ทรงเมาเมรัยมักทำลายสิ่งของแต่ทรงพระสรวลอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกทำเอาใจเขาแทบแตกกระจายเหตุใดถึงได้เขย่าขวัญผู้คนเช่นนี้

เซียวเหยี่ยนโบกมือไปมา “เจิ้น..ฮ่าฮ่า...มิได้เป็นอันใด” หลังจากนั้นก็ทรงพระสรวลเสียงดังขึ้นอีกคำรบ

มารดามันเถอะ!เซียวเหยี่ยนหัวเราะเสียจนสร่างเมา

นั่นเรียกว่าขับร้องเพลงงั้นหรือ?

ทำนองล้วนโบยบินสู่สรวงสวรรค์ เลี้ยวเก้าโค้งแปดประดุจลูกแกะหลงฝูงวิ่งวุ่นไปมาจนหามิเจอแม้ขนเพียงเส้น

“ขับร้องได้ดียิ่ง” เซียวเหยี่ยนยกมือตบลงไปบนหน้าตักของเฉินหรูอี้ มุมปากยกสูงแทบถึงใบหู

“เฉินฮวายสอนเจ้างั้นเหรือ? ” พระองค์ตรัสถามสุรเสียงแผ่วเบา สายพระเนตรแวววาว

เฉินหรูอี้ตกใจส่ายศีรษะไปมา“เป็นหยวนเป่าหยวนสี่สอนเชี่ยเซินเพคะ เชี่ยเซินลืมเลือนเรื่องราวก่อนหน้าไปถึงเจ็ดแปดส่วน ทราบมาว่าฝ่าบาททรงโปรดฟังเชี่ยเซินขับร้องเพลง..เชี่ยเซินจึงฝึกร้องตามบทเพลงที่พวกนางเคยได้ฟัง เชี่ยเซิน..ทำขายหน้าแล้ว” นางทั้งพูดทั้งหน้าแดง

แรกเริ่มนางมิเข้าใจวาจาขององค์จักรพรรดิ เมื่อขบคิดให้ดีจึงกระจ่างแจ้งว่าบทเพลงที่ตนขับร้องนั้นช่างแย่เหลือทนมิเหมือนที่เคยเป็นเช่นกาลก่อน องค์จักรพรรดิจึงทรงเข้าพระทัยว่าเฉินฮวายเสี้ยมนางไว้ให้ทำเช่นนี้เพื่อเย้าให้พระองค์ทรงเบิกบานพระทัยจึงทรงตรัสถามเช่นนั้นออกมา

นางมิเข้าใจในตอนแรกจึงตัดเฉินฮวายออกไปในทันที

เซียวเหยี่ยนมองนางอย่างพิจารณา พลันปรากฏรอยยิ้มบางเบาขึ้น “เจ้าจมน้ำครานี้ดีเหลือเกิน”

*จงเหม่ยเหริน พระสนมสกุลจง โดยเหม่ยเหรินคือตำแหน่งพระสนมชั้นสูงขั้น 4 มีทั้งหมด 9 คน

**เป่าหลิน คือตำแหน่งพระสนมชั้นล่างขั้น 6

*ผิงกั่ว คือ แอปเปิ้ล