บทที่ 11 มิอาจทนรับได้
เฉินฮวายปรนนิบัติดูแลข้างกายจักรพรรดิจางเหอมาแต่ทรงพระเยาว์ เป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิจางเหอมากที่สุด เรื่องนี้เฉินหรูอี้ไม่แคลงใจสักนิด เพราะแม้กระทั่งองค์จักรพรรดิทรงดำริเช่นใดพระมารดาแท้ๆ ยังไม่ทรงทราบแต่เฉินฮวายผู้นั้นดุจพยาธิในอุทรไม่มีอันใดที่ปิดเขาได้
หากมิใช่องค์จักรพรรดิทรงดื่มมากเกินไปจริงๆ เฉินฮวายผู้มีนิสัยถูกโบยสามทีก็มิมีแม้เสียงผายลม พูดมากเพียงประโยคล้วนติว่าเปลืองน้ำลายผู้นี้คงมิยอมเอ่ยปาก
เฉินหรูอี้คาดคะเนถึงสาเหตุที่ทำให้เฉินฮวายยอมเปิดปากได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งแจ้งถึงพระอารมณ์ขององค์จักรพรรดิ ทั้งบอกเล่าว่าพระองค์ทรงดื่มจนเมามาย นี่เป็นข้อห้ามสำหรับบุคคลที่ต้องคอยปรนนิบัติข้างกายขององค์จักรพรรดิเชียวนะ ในกาลก่อนที่นางเป็นหวงโฮ่วอยู่นั้นหากเอ่ยปากถามถึงที่ประทับขององค์จักรพรรดิคราใดล้วนไม่มีผู้ใดในตำหนักฉางเล่อปริปากบอกนางแม้แต่คนเดียว
ที่แท้ก็รอนางอยู่ที่นี่เองหรือ
ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วนางดั่งขี่หลังราชสีห์มิอาจลงจึงทำได้แค่กัดฟันสู้ไป นางเห็นเพียงขันทีหกคนและนางกำนัลสี่คนยืนตัวตรงอยู่หน้าประตู ท่วงท่าดั่งทหารขององค์จักรพรรดิก็มิปาน
เฉินหรูอี้มองดูอย่างละเอียดกลับพบว่าแต่ละคนนั้นมีใบหน้าซีดเผือดแม้แต่ผ่อนลมหายใจยังมิกล้า
เฉินฮวายกวาดตามองครู่หนึ่ง ยังมิทันเอ่ยอันใด ขันทีใบหน้าดั่งอักษรกั๋วที่ยืนอยู่หน้าประตูก็รีบขึ้นหน้าเข้ามารายงานว่า “เมื่อครู่ฝ่าบาททรงกริ้วขึ้นมาอีก ทรงไล่ข้ารับใช้ออกมาจนหมดไม่เหลือแม้แต่คนเดียวขอรับ”
เสียงนั้นสั่นเครือคล้ายมีคล้ายไม่มี หยุดไปเพียงครู่ จึงกล่าวต่อว่า “หยางเฉิงเชื่องช้ารั้งอยู่ด้านหลังหลบมิทันจึงถูกถ้วยสุราที่ฝ่าบาทขว้างมาโดนเข้าที่ศีรษะด้านหลัง”
เฉินหรูอี้มิคิดอันใดให้มากความ เพียงใช้สายตาชำเลืองหาองค์จักรพรรดิ แต่ยามนี้นางหลบอยู่หลังประตูหากเดินออกไปจักได้รับโทษทัณฑ์เช่นใดนางสุดจะรู้ได้ จึงหันหลังเตรียมวิ่งกลับตามสัญชาตญาณด้วยไม่อยากทำตัวเป็นหยางเฉิงคนที่สอง
ผู้ใดจะคาดคิดว่าเฉินฮวายกลับว่องไวกว่านางเสียอีก คว้าแขนนางดึงไว้เสียมั่น
พลันยินเสียงประตูเปิดดัง “ครืด” อย่างชัดเจน
“ฝ่าบาท พระสนมจากตำหนักหมิงกวางมาถึงแล้วพะยะค่ะ” เฉินฮวายเอ่ยเสียงสูงเล็กน้อย
เฉินหรูอี้หายใจติดขัด ขันทีที่ยืนขนาบอยู่สองฝั่งค่อยๆ เปิดประตูห้องอย่างเบามือ นางรู้สึกถึงฝ่ามือใหญ่ที่วางอยู่บนแผ่นหลัง ฝ่ามือนั้นผลักเบาๆ นางก็เดินซวนเซเข้าไปในห้องตามแรงผลักนั้นเสียแล้ว
อย่าให้นางได้มีโอกาสฟื้นคืนในร่างไท่โฮ่วแล้วกัน มิเช่นนั้นเฉินฮวายต้องได้เห็นดีกันแน่ เฉินหรูอี้กำหมัดแน่น หากนางมีความกล้าพอคงออกหมัดชกฟันหน้าสองซีกของเขาให้ร่วงจากปากไปแล้ว
ปัญหาคือ นางมีหรือไม่? มีงั้นหรือ?
คำตอบคือไม่มี....
นางพลันสูดลมหายใจเข้าลึก ย่อกายลงทำความเคารพ เอ่ยเสียงนุ่มนวล “ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
นางอยู่ในท่าถวายพระพรเช่นนี้เป็นนานแต่กลับมิได้ยินพระสุรเสียงตอบกลับของจักรพรรดิจางเหอแม้แต่น้อย สุดท้ายร่างกายมิอาจทนไหวจึงรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นมองกลับพบเพียงถ้วยจานที่แตกกระจุยกระจายเต็มพื้น บนพระที่นั่งว่างเปล่าแม้แต่เงาภูตพรายยังไม่มี
เฉินหรูอี้ยืดคอยาวสำรวจไปทั่วสารทิศ ทันใดนั้นหัวใจของนางแทบหยุดเต้นในบัดดล
หน้าต่างด้านทิศตะวันตกนั้นเปิดโล่งกว้าง จักรพรรดิจางเหอพาดอยู่บนขอบหน้าต่าง พระวรกายยื่นออกไปนอกหน้าต่างแล้วครึ่งหนึ่ง
เฉินหรูอี้ตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างยิ่ง ในหัวขาวโพลน พลันกระโดดหวืดไปยังหน้าต่างอย่างไม่สนธรรมเนียมใดๆ อีก นางกอดเกี่ยวพระกฤษฎีของจักรพรรดิจางเหอไว้แล้วใช้แรงทั้งหมดที่มีดึงพระองค์กลับเข้ามายังด้านใน
เฉินหรูอี้รู้สึกปิติในไหวพริบของตนยิ่งนักที่ในสถานการณ์อันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้นางกลับไม่ลืมเบี่ยงร่างตนออกเล็กน้อยเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับจักรพรรดิจางเหอ มิฉะนั้นด้วยพระวรกายอันใหญ่โตของพระองค์หากไม่ทับนางตายก็คงพิการเป็นแน่แท้ แต่ถึงกระนั้นก็ทำเอากระดูกของนางแทบแตกหักเช่นกัน
ทว่ายามนี้นางกลับมิได้ใส่ใจว่าตนเจ็บหรือไม่ รีบผุดลุกขึ้นไปดูจักรพรรดิจางเหอ จึงเห็นพระองค์นอนราบบนพื้น พระพักตร์แดงก่ำกลิ่นสุราคละคลุ้งอยู่ทั่วพระวรกาย พระพักตร์บิดเบี้ยว ทรงเบิกพระเนตรขึ้น ขมวดพระขนงแน่นคล้ายทรงเจ็บที่ล้มลง
“ฝ่าบาท ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?” เฉินหรูอี้ยื่นมือหวังช่วยพยุงองค์จักรพรรดิขึ้นด้วยจิตใจอันว้าวุ่นแต่มือที่ยื่นออกไปนั้นกลับถูกพระองค์ปัดออกไปอีกทาง
“เจ้าเป็นใครเหตุใดจึงเหิมเกริมเยี่ยงนี้ บังอาจรบกวนการรับลมของเจิ้น” เซียวเหยี่ยนเอ่ยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด นัยน์ตาหงส์เรียวยาวคู่นั้นวาวโรจน์
แต่น่าเสียดายที่พระองค์ทรงตรัสทั้งที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นทำให้พระหนุปรากฏริ้วเป็นสองชั้นทำลายความน่าเกรงขามที่มีทั้งหมดไปจนสิ้น หากมิเช่นนั้นทรงด่าว่าพระสุรเสียงดังลั่นเช่นนี้ เฉินหรูอี้มีหรือจะกล้าเบิกตาจ้องมองพระองค์ที่ทรงเมาสุราอาละวาดได้ แม้แต่ความกล้าที่จะนั่งข้างพระวรกายนางยังไม่มี
นั่นเรียกว่ารับลมงั้นหรือ?
เฉินหรูอยากจะตบพระพักตร์องค์จักรพรรดิสักคราเสียจริง พระองค์ไม่เพียงเอาพระวรกายครึ่งหนึ่งวางพาดทับบนขอบหน้าต่างเท่านั้น ซ้ำยังขยับซ้ายทีขวาทีจนพระที่นั่งชี้โด่งขึ้นฟ้า นางรับรองได้ว่าหากขยับอีกสองสามคราพระองค์ได้ดิ่งพสุธาตกลงพื้นหมดสภาพเป็นแน่แท้
จักรพรรดิเสด็จสวรรคตด้วยทรงดื่มสุราเมามายจนผลัดตกจากหอสูง เรื่องเช่นนี้ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ต้าจิ้นไม่เคยมีมาก่อน จักรพรรดิจางเหอคงเป็นจักรพรรดิพระองค์เดียวที่จะถูกปลายพู่กันจรดไว้ในหน้าประวัติศาสตร์
พระองค์ทรงดียิ่งนัก กลิ่นสุราที่ทรงดื่มเหม็นคลุ้งไปทั่ว ไม่เพียงไม่ขอบคุณนางซ้ำยังด่าว่ายกใหญ่
โชคดีที่นางยังมีสติสัมปชัญญะ หาไม่แล้วคงฉวยโอกาสยามไร้ผู้คนฟาดให้สักฝ่ามือเพื่อระบายโทสะก่อนค่อยว่า
“พื้นเย็นมาก ฝ่าบาททรงลุกขึ้นก่อนเถอะเพคะ ประเดี๋ยวจะประชวรเอาได้” เฉินหรูอี้ขยับไปตรงหน้าพระพักตร์อย่างยอมรับชะตากรรม เอ่ยด้วยเสียงอันอ่อนโยน
เซียวเหยี่ยนถลึงตาจ้องนางอยู่เป็นนาน แววตาค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปดั่งนัยน์ตาไก่ชน
“เจ้าเป็นใคร ยังมิตอบเจิ้นมาอีก”
เฉินหรูอี้เกือบพ่นเสียงหัวเราะออกมาจึงหยิกขาตนโดยแรงเพื่อข่มกลั้นอาการขบขันไว้ “เชี่ยเซินสกุลจ้าวแห่งตำหนักหมิงกวาง...”
“อ้อ” เซียวเหยี่ยนลากเสียงยาวคล้ายจดจำได้แล้ว “เจิ้นจำได้แล้ว เป็นเสียงเจ้าจริงๆ” ครั้นเหลือบสายพระเนตรขึ้นลงไปมาอย่างพิจารณาจนเฉินหรูอี้รู้สึกขนลุกขนพอง พลันได้ยินพระสุรเสียงตรัสถามอย่างใคร่รู้ว่า “เจ้ามาด้วยเหตุอันใด? หรือจะมาฟ้องเรื่องของผู้ใดอีก?”
เฉินหรูอี้รู้สึกดั่งถูกอัสนีผ่าฟาดในทันใด
แท้จริงแล้วในพระทัยของจักรพรรดิจางเหอแจ่มชัดดั่งคันฉ่อง ทรงเห็นธาตุแท้ของร่างเดิมนางได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ปัญหาคือยามนี้ได้เปลี่ยนเป็นผู้อื่นแล้ว แต่องค์จักรพรรดิมีความทรงจำเช่นนี้ต่อนางเช่นนี้นางยังจะมีอะไรดีเหลืออยู่อีกหรือ?
ผู้ใดว่ามี ผู้นั้นคงเป็นคู่เวรคู่กรรมในภพก่อนหรือเป็นศัตรูคู่แค้นในภพนี้ของนางแน่จึงได้กล่าวลวงนางเช่นนั้น
“ไม่มีเพคะ เชี่ยเซินมิได้จะทูลฟ้องเรื่องของผู้ใดเลย” เฉินหรูอี้รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาโดยพลันคล้ายมองเห็นอนาคตอันมืดมนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเบื้องหน้าตน “เอ่อ พื้นเย็นมาก ทรง...”
“แล้วเจ้ามาทำอันใด?” พระองค์เมามายสายพระเนตรพร่ามัวคล้ายมิได้ฟังนางพูดแม้แต่น้อย พลันแย้มพระสรวลนัยน์ตาหงส์ปรากฏแววเยาะหยันสายหนึ่งพาดผ่าน “มาปรนนิบัติเจิ้นหรือ?”
ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงนึกถึงสิ่งใดจึงทรงพระสรวลออกมา หยัดพระวรกายโงนเงนขึ้นประทับนั่งพลันยกพระดัชนีชี้ไปยังส่วนล่างของพระวรกาย “เจ้านี่มันเอาใจยากกว่าเจิ้นนัก หากมิอยากก็มิยอม เจิ้นเองก็มิทราบจะจัดการเช่นไร ดูท่าคงต้องทำให้อ้ายเฟยผิดหวังเสียแล้ว”
แม้อสนีบาตผ่าฟาดยังมิอาจบรรยายถึงความรู้สึกของเฉินหรูอี้ในยามนี้ได้
นี่หรือคือจักรพรรดิจางเหอ?
นี่เป็นจักรพรรดิจางเหอจริงหรือ?
เมื่อได้สดับฟังเช่นนั้นใบหน้าของเฉินหรูอี้ก็ร้อนฉ่าดั่งถูกไฟลน นางมีโอกาสใกล้ชิดคลอเคลียกับพระองค์นั้นมิใช่เพียงครั้งสองครั้งแต่วาจาที่หยาบคายเช่นนี้นางกลับเพิ่งได้ฟังเป็นครั้งแรกทำเอาดวงใจอันบอบบางของนางดวงนั้นแหลกสลายเป็นเถ้าถ่าน
เพราะพระองค์ทรงคลุกคลีในวังหลังมานานปีจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเช่นนี้ หรือนี่คือธาตุแท้ของพระองค์เพียงแต่นางยังไม่เคยได้พบพาน?
นี่คือสาเหตุที่เฉินฮวายกล่าวเตือนนางว่าหากได้สดับฟังสิ่งใดให้แสร้งทำเป็นว่ามิได้ยินงั้นหรือ?
นางก็ยินยอมให้เป็นเช่นนั้น
สวรรค์!ขออัสนีบาตฟาดให้นางหูหนวกเสียเถิด นางไม่อยากพบพานจักรพรรดิที่ไร้ซึ่งเกียรติศักดิ์ทั้งขาดการยับยั้งเช่นนี้ นางมิอาจทนรับได้...
เฉินหรูอี้น้ำตาคลอเบ้า นางสามารถพูดได้หรือไม่ว่าภาพลักษณ์อันองอาจเกรียงไกรของจักรพรรดิจางเหอที่มีมานานหลายปี บัดนี้ได้พังทลายลงไปในพริบตา