บทที่ 10 เป็นสนมรักไม่ง่ายเลย

บทที่ 10 เป็นสนมรักไม่ง่ายเลย

ขันทีผู้นั้นลุกยืนขึ้น เห็นเฉินหรูอี้ไม่ตื่นเต้นดีใจทั้งไม่มีท่าทีโห่ร้องบทเพลงแห่งชัยชนะกระโจนเข้าสู่พระอุระขององค์จักรพรรดิแม้แต่น้อย จึงได้ถอยกลับตำหนักฉางเล่อด้วยความลำบากใจแล้วนำเรื่องรายงานต่อเฉินฮวายด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง

เมื่อเฉินฮวายฟังจบ มุมปากค่อยๆ ขยับต่ำลงคล้ายกำลังยิ้ม

ท่านผู้นั้นแห่งตำหนักหมิงกวางในที่สุดก็มิใช้วิธีทูลฟ้องอันสามัญเช่นเดิมอีกแล้ว บัดนี้กลับมีวิธีที่เหนือชั้นยิ่งกว่า เขายังคิดว่านางจะทำเป็นอยู่เพียงสองวิธี หากไม่ดัดเสียงเอ่ยวาจาแง่งอนก็บีบน้ำตาร้องไห้คร่ำครวญ

มิน่าเล่าหลายวันก่อนถึงมิยอมเอ่ยถึงเรื่องของต่งกุ้ยเฟยและพระสนมลู่ ที่แท้ก็รอให้ฝ่าบาทเดินเข้าไปติดกับด้วยองค์เอง อาศัยเรื่องการถูกกักบริเวณมาทำลายความสำราญของฝ่าบาท ยืมพระหัตถ์ฝ่าบาทเพื่อให้บรรลุเป้าหมายแห่งตน

ครานี้อาจกล่าวได้ว่า นางมีพัฒนาการนั้นจริงแท้แต่กลับไม่เข้าใจในตัวองค์จักรพรรดิอย่างแท้จริง

เฉินฮวายเดินเนิบนาบเข้าไปในพระตำหนัก ภายในมีกาสุราเปล่าวางอยู่บนโต๊ะทรงงานสี่ห้ากา มีนางกำนัลสองคน แต่ละคนต่างถือลูกธนูคนละดอก สายพระเนตรของจักรพรรดิจางเหอจับจองไปด้านหน้า ทรงรวบรวมสมาธิแล้วยิงธนูเข้าใส่กาสุรา

“ซวบ” ลูกธนูพุ่งใส่กาสุราที่อยู่ข้างเท้าของเฉินฮวายอย่างแม่นยำ

พลันใบหน้าของจักรพรรดิจางเหอก็ปรากฏรอยยิ้มอันพึงใจ

เฉินฮวายค่อยๆ เม้มปากตน องค์จักรพรรดิทรงเบื่อหน่ายจนถึงขีดสุดเสียแล้ว การละเล่นชนิดนี้ทรงเล่นมาตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์แล้ว หากกล่าวว่าต่อให้ปิดพระเนตรยิงก็ทำได้นั้นอาจฟังเกินจริงไปสักหน่อยแต่ก็ห่างจากความจริงไม่มากนัก สำหรับจักรพรรดิจ้างเหอที่เก่งกล้าด้านการรบแล้ว จะทรงพอพระทัยกับเรื่องแค่นี้หรือ?

“ฝ่าบาท” เขาขจัดความคิดอันฟุ้งซ่านแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ขันทีที่ไปเชิญสนมจ้าวจากตำหนักหมิงกวางกลับมาแล้วพะยะค่ะ แต่เนื่องจากสนมจ้าวถูกต่งกุ้ยเฟยสั่งกักบริเวณด้วยดื่มสุราก่อเหตุวิวาทในอุทยานหลวง จึงไม่อาจมาเข้าเฝ้าได้พะยะค่ะ”

เซียวเหยี่ยนตกตะลึงไปเล็กน้อย ใช้มือแคะหูอย่างไม่แน่ใจ

“อะไรนะ.....ดื่มสุราทะเลาะวิวาท?” พระองค์กะพริบดวงเนตร ในหัวนึกภาพสนมจ้าวผู้มีร่างบอบบางแสนอ้อนแอ้นเมาสุราจนเกิดอาการคุ้มคลั่ง แยกเขี้ยวกางกรงเล็บ พลันเกิดอาการหนาวสะท้าน

เฉินฮวายกล่าวทูลถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอุทยานหลวงตามที่ได้ฟังมาต่อองค์จักรพรรดิโดยไม่มีการปรุงแต่งเพิ่มเติมแม้แต่น้อย แต่ถึงกระนั้นก็ทำเอาจักรพรรดิจางเหอตกตะลึงอ้าปากค้างเอ่ยสิ่งใดไม่ออกแล้ว

ผ่านไปครู่ใหญ่ เซียวเหยี่ยนจึงมีสติกลับคืนมา พลันปรบมืออย่างอดใจไว้ไม่อยู่ ใบหน้าปรากฎแววเสียดายอย่างลึกซึ้งคล้ายคนโชคร้ายที่ไม่เคยประสบเรื่องดีอันใดเลย “มิรู้จริงๆ ว่าวังหลังของเจิ้นจะสนุกสนานปานนี้ เสียดายที่เจิ้นไร้วาสนามิได้ชมด้วยตาตน”

เฉินฮวายมิเอ่ยวาจาใด ปรารถนาให้คนในวังทั้งหมดหูหนวกไปเสียสิ้น

หากความคิดแสนพิลึกนี้ขององค์จักรพรรดิแพร่งพรายออกไป ผู้มีจิตคิดไม่ซื่อทราบถึงรสนิยมขององค์จักรพรรดิเข้า ไม่แน่ว่าต่อไปตำหนักฉางเล่อแห่งนี้อาจมีเหล่าสนมนางกำนัลมาทะเลาะวิวาทกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็เป็นได้

เซียวเหยี่ยนเดินไปเตะกาสุราที่มีลูกธนูปักอยู่ล้มไป แล้วก้าวเท้ายาวออกจากตำหนักไป

“การละเล่นนี้ทำให้เจิ้นคันไม้คันมือเหลือเกิน ไป ไปสนามฝึกกัน”

เฉินฮวายติดตามอยู่ด้านหลังองค์จักรพรรดิอย่างเงียบๆ ดังคาดไว้ไม่มีผิดองค์จักรพรรดิทรงคร้านจะสนพระทัยต่อเรื่องวุ่นวายในวังหลัง แม้พระสนมที่ทรงโปรดปรานผู้เป็นที่เลื่องลือยังทิ้งไปจากห้วงคะนึงในพริบตา

สนมรัก!

เขายกริมฝีปากขึ้นน้อยๆ ฉายแววยิ้มเยาะออกมา

ณ ตำหนักหมิงกวาง เฉินหรูอี้นั่งถือถ้วยน้ำชาอยู่กระทั่งถึงยามเที่ยง พายุโหมกระหน่ำ ทันใดนั้นฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมา นอกหน้าต่างขมุกขมัวปกคลุมไปด้วยสายฝน

นางถอนหายใจออกมาเบาๆ องค์จักรพรรดิมิได้ให้คนมาเชิญนางอีก เช่นนี้นางกลับคิดว่าดียิ่ง

แม้นปากบอกว่าเกรงกลัวต่อบารมีของต่งกุ้ยเฟย แต่นางกลับกลัวการเข้าเฝ้าจักรพรรดิจางเหอยิ่งกว่า นางเคยชินกับการเป็นหวงโฮ่ว มิเคยต้องใช้กลยุทธ์เพื่อให้พระองค์ทรงพอพระทัย หากให้นางเป็นขันทีผู้ต่ำต้อยนางยังพอมีวิธีรับมือ มีเพียงการทำตนเป็นสนมรักเท่านั้นที่ไม่รู้ควรปฏิบัติตนอย่างไร นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำเช่นไร

หรือจะต้องเล่นหูเล่นตาเช่นเหล่าสนมที่นางเคยพบเจอในกาลก่อน เอ่ยวาจาเช่นปกติกับองค์จักรพรรดิก็มิได้ จักต้องดัดเสียงคล้ายซึ่งคนไร้เรี่ยวแรงหรือไม่ก็หน้าแดงอยู่ร่ำไปทั้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดัดแหลมกล่าวว่า “อย่าเพคะ ฝ่าบาท”

นางสั่นสะท้านไปทั้งตัว เฉินหรูอี้ใช้มือทั้งสองลูบแขนตน คล้ายจะช่วยปัดให้ขนที่ลุกชูชันของนางหลุดหายไปได้

หยวนเป่าเข้าใจว่าสนมจ้าวรู้สึกหนาว จึงรีบปิดหน้าต่างในทันใดแล้วเดินกลับมายืนในตำแหน่งเดิม กล่าวอย่างลังเลว่า “พระสนมมิสู้ไปตำหนักฉางเล่อกับขันทีที่มาเมื่อครู่....ยามนี้ฝนตกหนัก ฝ่าบาทคงมิส่งคนมาอีกแล้ว”

“ใช่” หยวนสี่พยักหน้าเอ่ยเสียงต่ำ “ต่อให้พระสนมจะมีโทสะเพียงใด ก็ควรรอให้พบกับฝ่าบาทก่อนค่อยทูลเรื่องพระสนมลู่กับ....ท่านผู้นั้นแห่งตำหนักหย่งโซ่ว พระสนมกลับทิ้งโอกาสไป เช่นนี้ฝ่าบาทจะทรงเข้าพระทัยผิดคิดว่าท่าน โกธรเคืองต่อพระองค์หรือไม่เพคะ?”

เฉินหรูอี้พลันรู้สึกว่ามีอีกาสองตัวบินวนรอบหูตน คล้ายกลัวนางจะอายุยืนเกินไป จึงอยากให้นางรีบขี่ม้าเฆี่ยนแส้ไปสู่ทางตาย

นางกระแอมไอเบาๆ คราหนึ่ง “เรามาเล่นอะไรบางอย่างกันเถอะ”

หยุดไปเพียงครู่ก็เอ่ยต่อ “ระหว่างเจ้าทั้งสองหากผู้ใดเอ่ยคำว่า “ฝ่าบาท” “จักรพรรดิ” ข้าจะยึดเบี้ยเจ้าหนึ่งตำลึงเงิน”

หยวนเป่าเบิกตากว้าง หยวนสี่ยกสองมือขึ้นปิดปากแน่นโดยพลัน

นี่คือการละเล่นงั้นหรือ?

นี่เป็นการดูดโลหิตพวกนางโดยแท้ คล้ายต้องการชีวิตพวกนางอย่างไรอย่างนั้น

เบี้ยประจำเดือนของพวกนางแค่สี่ตำลึงเงินเท่านั้น หากวันใดพลั้งปากพูดผิดไป เบี้ยที่เป็นดั่งแขนขาก็คงหมดสิ้นกัน

“พระสนม.....” พวกนางทั้งสองร่ำไห้ไร้ซึ่งน้ำตา หากพระสนมทรงเดือดดาลคราใดมักทำเรื่องใจร้ายร่ำไปทั้งที่พวกนางจงรักภักดีถึงเพียงนี้ ดวงแขแลสุริยันล้วนเป็นพยาน

“การละเล่นนี้” เฉินหรูอี้เอ่ยเสียงเบา “เริ่ม ณ บัดนี้”

การละเล่นครั้งนี้เฉินหรูอี้เคร่งครัดปฏิบัติจริงดังวาจา ไม่ถึงสี่วันหยวนสี่หยวนเป่าล้วนเสียเบี้ยหวัดทั้งเดือนแก่นาง ซ้ำยังค้างในบัญชีของตำหนักหมิงกวางอีกสองตำลึงเงิน

กระทั่งผ่านไปครึ่งเดือน อุปนิสัยชมชอบกล่าววาจาอันหาสาระมิได้ของพวกนางได้เปลี่ยนไป ไม่กล้ากล่าววาจาพล่อยๆ ถึงเรื่องในตำหนักอื่นๆ อีก เนื่องด้วยเจ้านายทุกพระองค์ตำหนักทุกหลังล้วนเป็นสตรีของจักรพรรดิ หากเอ่ยถึงก็ยากจะหลบเลี่ยงคำว่า “จักรพรรดิ” แล้วพวกนางก็จะต้องเป็นติดค้างหนี้ก้อนโตอีก

ราชวงศ์นี้มีผีดูดเลือดอยู่จริงๆ

ครึ่งเดือนนี้ ตำหนักหมิงกวางคล้ายถูกหลงลืมไว้ในซอกลึก ไม่มีผู้คนไปมา นอกจากสนมไม่กี่คนที่เดินผ่านครรลองสายตาบ้างเนื่องด้วยอาศัยในตำหนักเดียวกันแล้วนั้นเฉินหรูอี้ก็มิพบเจอผู้อื่นอีก

กระทั่งคืนหนึ่งอันเงียบสงบ สายลมพัดหวิว เฉินหรูอี้หมอบอยู่ข้างหน้าต่างเงยแหงนมองจันทร์ ตำหนักฉางเล่อได้ส่งขันทีมา

เป็นขันทีผู้นั้นอีกแล้ว ดวงตากลมเกลี้ยงแฝงแววปราดเปรื่องยิ่งนัก

แต่ครานี้นางไม่อาจเอ่ยอันใดได้อีก ทำได้เพียงขึ้นเกี้ยวไปยังหอจินเจาอวี้ชุ่ย (หอหยกงาม) ทางทิศตะวันออกข้างตำหนักเป่าหัว เฉินหรูอื้ทราบดีว่านี่เป็นสถานที่พักผ่อนยามว่างขององค์จักรพรรดิ

เฉินฮวายมารออยู่ด้านนอกนานแล้ว เมื่อพบเฉินหรูอี้จึงรีบเดินขึ้นหน้ายกมือขึ้นประกบกันแสดงความเคารพ

“ฝ่าบาททรงรอพระสนมอยู่นานแล้ว” พูดพลางหมุนตัวยกมือผายออกไปด้านหน้า เปิดทางให้นางเดินแล้วเอ่ยเนิบนาบว่า “วันนี้ฝ่าบาททรงอารมณ์มิใคร่ดี ทรงไล่ข้ารับใช้ออกมาจนหมด หวังว่าพระสนมจะช่วยปลอบประโลมพระองค์ได้”

เฉินหรูอี้หวั่นใจขึ้นมาโดยพลัน