บทที่ 36 จิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์
“เอาล่ะ อย่าได้ทะเลาะกันเลย ล้วนเป็นพี่น้องกันทั้งสิ้น มีอันใดก็ค่อยๆ พูดจากัน เหตุใดต้องฟาดฟันกันด้วยเล่า?”
เฉินหรูอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงสดใสมาเพียงประโยคทำเอาบรรดาเหล่าสนมแทบถ่มพ่นโลหิตออกมา
ช่างหน้าไม่อาย ไม่ละอายเลยเสียจริง เจ้านายแห่งตำหนักหมิงกวางมีนามว่า “หน้าไม่อาย”
การวิวาทครานี้มิใช่เพราะสนมจ้าวไม่ชอบใจสนมเฉียนที่มิรู้จักที่ต่ำที่สูงบังอาจยั่วยวนองค์จักรพรรดิต่อหน้านางหรอกหรือ? สนมหนิวผู้มิรู้จักตายกลับยื่นเท้าเข้าไปร่วมด้วย ทว่าสนมจ้าวกลับป่าวร้องว่าผู้อื่นวิวาทฟาดฟันกัน เสแสร้งแกล้งกล่าวห้ามปราม ทำตัวดุจบงกชขาวสะอาดบริสุทธิ์สลัดหลุดมลทินทั้งปวง
ถึงจะหน้าไม่อายอย่างไรก็ต้องมีขอบเขตบ้าง!
“สนมเฉียน ในวังหลังแห่งนี้ไม่มีผู้ใดเจตนาว่าร้ายเจ้าหรอก หากเจ้าไม่เข้าใจอันใดก็ถามไถ่นางกำนัลข้างกายเจ้าได้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร อย่าได้คิดไปเองเด็ดขาด ” เฉินหรูอี้เอ่ยน้ำเสียงนุ่มนวล สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนทอดมองไปยังสนมเฉียน ท่าทางคล้ายห่วงใยเหลือประมาณ หากมิทราบความคงคิดว่านางทุ่มเทอย่างสุดกำลังเพื่อสอนสั่งสนมที่โง่เขลาคล้ายสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงด้วยใจจริง
“สนมหนิวทำเพื่อเจ้า เจ้าดูไม่ออกยังพอว่าหนำซ้ำยังตำหนินาง ส่วนข้าก็สั่งสอนกฎระเบียบให้เจ้าด้วยบริสุทธิ์ใจ มิอยากให้เจ้าเป็นที่ขบขันของผู้อื่นในภายภาคหน้า ว่าเจ้าไม่รู้จักแยกแยะสิ่งใดควรมิควร แต่เจ้ากลับเอาแต่คิดว่าเราทั้งสองจงใจใส่ความเจ้า ไม่เพียงไม่ฟังคำตักเตือนกลับพูดจาทิ่มแทงผู้อื่น เรื่องนี้พูดยากนัก หากมีเพียงข้ากล่าวว่าเจ้าไม่รู้จักรักษาธรรมเนียม เจ้าอาจเข้าใจว่าข้าเจตนาหาความเจ้า แต่เมื่อทุกคนล้วนกล่าวเช่นนี้ เจ้ากลับคิดว่าผู้อื่นเจตนาหาความเจ้า เจ้าเป็นผู้ถูกกระทำไม่แม้แต่จะมีความผิดใดเลยเช่นนั้นหรือ?”
สนมหนิวกล่าวเพียงประโยคเดียวแต่กลับถูกสนมจ้าวลากเข้าไปเกี่ยวจนบัดนี้ยังมิอาจหลุดพ้นออกมาได้ บรรดาสนมอื่นๆ ไหนเลยจะกล้ากล่าววาจาส่งเดช? ถึงตอนนั้นสนมจ้าวกล่าวบิดเบือนเพียงนิดพวกตนจะถูกจัดการเช่นไรยังไม่รู้แน่
อีกทั้งยามนี้มีองค์จักรพรรดิประทับอยู่ด้วย พระองค์ทรงแย้มพระสรวลคลำพระหนุชมละครฉากสนุกนี้ ไม่มีผู้ดูออกว่าพระองค์ทรงอยู่ฝ่ายใด?
สายตาของเหล่าสนมล้วนค่อยๆ หันมาเหลียวมองสนมเฉียน
“บัดนี้พระสนมจ้าวอำนาจบารมีสูงส่ง เมื่อลมพัดไปทางใดคนพวกนี้ก็จักเป่าไปทางนั้น สนมจ้าวถามเช่นนี้ มีประโยชน์อันใด?” สนมเฉียนยิ้มเย็น ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำไปเสียแล้ว
นางสวมชุดกระโปรงฉีซงหรูฉวินสีเขียวอ่อนขับให้ผิวพรรณขาวผ่องดุจหิมะ ด้วยฝึกเต้นระบำมาแต่เยาว์วัยรูปร่างจึงปรากฏส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างชัดเจน ดูงดงามสมส่วนยิ่ง ครั้นเมื่อนางหอบหายใจแรงด้วยเกิดโทสะ หน้าอกจึงกระเพื่อมขึ้นลงดุจคลื่นซัดสาด ช่างน่ามองยิ่งนัก
เฉินหรูอี้ค่อยๆ ดึงสายตากลับคืนมาจากสิ่งนั้นที่ดึงดูดสายตานางไปอย่างไม่รู้ตัว เกรี้ยวโกรธง่ายปานนี้เหตุใดถึงได้มีชีวิตอยู่จนได้เป็นพระสนมได้?
นางยอมเอาความฉลาดครึ่งหนึ่งของนางแลกกับหน้าอกเพียงครึ่งหนึ่งของสนมเฉียน แต่มิใช่เพื่อแย่งชิงความโปรดปรานดึงดูดสายตาขององค์จักรพรรดิหรอก แต่เพื่อตัวนางเอง อย่างน้อยยามสวมใส่อาภรณ์ต้องมีส่วนเว้าส่วนโค้งบ้างจึงจักสวยงาม มิเรียบแบนเป็นไม้กระดานเช่นนี้ นางไม่กล้าแม้แต่จะใส่อาภรณ์ที่เปิดเผยลำคอ ผู้ใดพอทราบก็รู้ได้ว่านางเพียงมีรูปร่างแบนเรียบก็เท่านั้น หากผู้ใดมิทราบอาจเข้าใจผิดว่านางใส่อาภรณ์กลับด้านก็เป็นได้
“สนมเฉียนมิจำเป็นต้องทำตนดั่งลูกประทัด ผู้ใดว่ากล่าวก็วิ่งเข้าใส่ผู้นั้นดุจตนเป็นดั่งผู้ถูกกระทำ ” เฉินหรูอี้พูดพลางหัวเราะบางเบา ท่าทางที่แสดงออกแตกต่างจากสนมเฉียนผู้เกรี้ยวกราดอย่างเห็นได้ชัด “ไม่ว่าจะเป็นข้า หรือสนมหนิวล้วนเป็นสนมที่บรรดาศักดิ์สูงกว่าเจ้าทั้งสิ้น เจ้ากลับกล่าววาจาเช่นนี้กับพระสนมที่บรรดาศักดิ์สูงกว่าตนงั้นหรือ? เจ้าเห็นหรือไม่ว่าในวังแห่งนี้มิมีผู้ใดเป็นเช่นเจ้า ไม่รู้อันใดควรมิควร ไม่มีกฎไม่มีระเบียบเลยสักนิด”
นางกล่าวต่อไปอย่างใจเย็น “ฝ่าบาททรงอนุญาตให้เจ้าเรียกขาน “ข้า”กับ “เจ้า” กับพระองค์ได้เมื่ออยู่ตามลำพัง เจ้ามิแยกแยะว่าอันใดคือ “ตามลำพัง” ยังมิพอ ผู้อื่นตักเตือนเจ้า เจ้ากลับพลิกขาวเป็นดำใส่ร้ายว่าผู้อื่นมีใจไม่ซื่อตรง กล่าววาจายโสโอหังไร้ซึ่งมารยาท ต่งกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเป็นผู้ควบคุมดูแลวังหลังก็จริง แต่ถึงอย่างไรที่แห่งนี้ก็เป็นที่ที่เหล่าพี่น้องทุกคนต้องอยู่ไปจนชีวิตจะหาไม่ เปรียบดั่งบ้านของพวกเรา เราจึงต้องช่วยกันดูแลรักษา สนมเฉียนมิแยกแยะสูงต่ำล่วงเกินเบื้องสูง ข้ามิสนว่าจะเป็นการล่วงล้ำอำนาจผู้อื่นหรือไม่ อย่างไรก็ต้องสั่งสอนเจ้าเสียบ้าง เพื่อในภายภาคหน้าจะได้มิกำเริบเสิบสานไม่อาจแยกเหนือใต้ออกตกเช่นนี้อีก ”
“เจ้าคุกเข่าอยู่นอกเก๋งแห่งนี้ คิดทบทวนตนเองให้ดีสักหนึ่งชั่วยามเป็นไร ”
เมื่อเฉินหรูอี้กล่าวจบจึงหันหน้าไปมององค์จักรพรรดิที่ประทับดูละครฉากนี้อยู่ตลอด บัดนี้จิ้งจอกล้วนแสดงอิทธิฤทธิ์จนหมดสิ้นแล้ว คงถึงคราที่พยัคฆ์จะปรากฎตัวเสียที
“ฝ่าบาททรงคิดว่าเชี่ยเซินจัดการเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่เพคะ?” นางเอ่ยถามสุ้มเสียงอ่อนนุ่ม
เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้วนางเองก็คร้านจะต่อปากกับสนมเฉียนแล้ว นางชัดแจ้งแล้วว่าสนมเฉียนผู้นี้เป็นดั่งนักรบก็มิปาน เพียงจุดไฟ เพลิงก็ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว มิเช่นนั้นคงไม่ถกเถียงกันตั้งแต่เช้าจนจรดบ่ายได้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นถึงเจาอี๋หากต้องทะเลาะกับสนมเล็กๆ เป็นเวลาหลายชั่วยามจริง สนมเฉียนหน้าอกใหญ่หรือเล็กล้วนไม่มีปัญหา แต่หน้านางคงหายไปไม่เหลือหลอ มิต้องกล่าวว่าองค์จักรพรรดิจะคิดเช่นใด แม้แต่บรรดาสนมเล็กๆ ก็คงจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหัวเราะเยาะนาง
การตัดเบี้ยหวัดก็ดี คัดกฎวังก็ดี ล้วนเป็นวิธีการทำโทษของต่งกุ้ยเฟยผู้อยู่สูงสุดในวังหลัง เพียงสั่งคำใดไปผู้คนล้วนต้องทำตามในทันที แต่หากเป็นนางที่กล่าวเช่นนั้นออกมาก็มิเท่ากับเป็นการกระทำเกินหน้าที่ตนหรอกหรือ เช่นนั้นมิเพียงไม่อาจสั่งสอนสนมเฉียนทั้งยังไปแหย่รังแตนเช่นต่งกุ้ยเฟยเข้าเสียด้วย
เดิมทีการทำโทษให้คุกเข่าเป็นวิธีทั่วไปที่พระสนมใช้ทำโทษผู้ที่ยศศักดิ์ต่ำกว่า แต่ที่ผ่านมาล้วนกระทำเป็นการภายใน เหล่าสนมมิได้สยายปีกกางกรงเล็บต่อหน้าองค์จักรพรรดิเช่นนี้
เหล่าสนมล้วนตกตะลึงในวิธีการอันผิดแปลกของสนมจ้าว พวกนางล้วนหันมองไปยังองค์จักรพรรดิอย่างไม่รู้ตัว
“อ้ายเฟยจัดการได้เหมาะสมยิ่ง” เซียวเหยี่ยนหัวเราะพลางพยักหน้าไปพลาง นัยน์ตาหงส์เป็นประกายเห็นได้ชัดว่าพอใจต่อวิธีการนี้ของเฉินหรูอี้เป็นอย่างยิ่ง
ดึงผู้หนึ่งเข้ามาเกี่ยว ตีผู้หนึ่งให้หลาบจำ ทุกขั้นตอนล้วนแม่นยำ ทั้งยังรู้จักเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไม่ให้ผู้อื่นจับจุดอ่อนของตนได้โดยง่าย
“ยังไม่ลากออกไปอีก พวกเจ้ามิได้ยินที่พระสนมจ้าวพูดหรือไร?” องค์จักรพรรดิแสร้งทำท่าทางเคร่งขรึมมองจ้องเฉินฮวาย
เฉินฮวายรู้ดีว่าจักรพรรดิและสนมจ้าวนั้น ผู้หนึ่งร้องผู้หนึ่งรับช่วยกันเก็บงำความชั่วร้าย เมื่อละครปิดฉากลงก็เป็นธรรมดาที่จะเรียกพวกเขาออกมาช่วยเก็บซ่อนหาง จึงมิได้เห็นท่าทางอันเคร่งขรึมขององค์จักรพรรดิเป็นเรื่องใหญ่อันใด เฉินฮวายส่งสายตาให้ขันทีสองคนเข้ามาลากพระสนมเฉียนไปยังนอกเก๋งจีน
สนมเฉียนใช้สายตาแห่งโทสะจ้องมองสนมคนอื่นๆ อย่างดุดันแต่เมื่อองค์จักรพรรดิกระโดดไปอยู่ข้างเฉินหรูอี้ ใบหน้าของนางกลับยิ่งเขียวคล้ำยิ่งขึ้นด้วยอดกลั้นไว้ ยังมิทันเอ่ยปากให้จบคำก็ถูกปิดปากแล้วลากออกไป
เมื่อเฉินหรูอี้มีองค์จักรพรรดิคอยหนุนหลังอย่างออกนอกหน้าเช่นนี้ แววตาของนางจึงเปลี่ยนไปในทันใด นางยกคิ้วขึ้นสูง ใช้สายตากวาดมองไปโดยรอบใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม จึงพบว่าบรรดาสนมล้วนเบิกตาตะลึงค้างอย่างไม่รู้จะทำอันใดราวนกกระจอกตกใจก็มิปาน
ดูละครจบแล้ว เฉินหรูอี้ก็ได้แสดงอำนาจบารมีไปจนสิ้นแล้ว เซียวเหยี่ยนเองก็มิคิดจะอยู่ต่ออีก จึงลุกขึ้นจูงมือเฉินหรูอี้เดินออกไปอย่างมิใส่ใจบรรดาสนมที่กำลังตกตะลึงอยู่ที่นั่น
เฉินหรูอี้เดินตามหลังองค์จักรพรรดิไปอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่าทั้งสองเดินไปตามริมสระไท่เยอยู่นานเท่าใด องค์จักรพรรดิพลันหยุดฝีเท้าลง
เพียงเห็นพระพักตร์ที่เต็มไปด้วยแววตื่นเต้น สายพระเนตรทอประกายระยิบระยับมองข้ามสระไท่เยไปยังปลายขอบฟ้าที่อยู่แสนไกล
“เจิ้นคิดดีแล้ว มันต้องเป็นสถานการณ์ที่เป็นทางการกว่านี้ ยิ่งใหญ่กว่านี้ ผู้คนทั้งหลายต้องรู้จักเจ้า ผู้ที่มีความสามารถเช่นเจ้า ไม่ควรถูกลืมเลือนไปเช่นนี้”
เฉินหรูอี้ไม่รู้จะกล่าวอันใดดี “........”
เฉินฮวายยิ่งรู้สึกไร้วาจาจะเอ่ย “.........”
หลังจากนั้น ผู้หนึ่งมองฟ้าผู้หนึ่งมองดิน เฉินหรูอี้อยากเกิดเป็นคนหูหนวกมิอาจได้ยินเสียงใดๆทั้งสิ้น นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าองค์จักรพรรดิผู้องอาจดุจขุนเขา จะเอ่ยวาจาสิ้นคิดเช่นนี้ออกมาได้