บทที่ 37 ดูแคลนสารพัด
เฉินหรูอี้จึงมีชื่อมาจากสงครามเพียงสนามเดียว
ในอดีตนั้นบรรดาสนมต่างบอกว่าสนมจ้าวเป็นตัวร้ายกาจที่ทำเป็นเพียง หนึ่งร่ำไห้ สองก่อเรื่อง สามแง่งอนและชอบทูลฟ้องเรื่องผู้อื่น แต่เรื่องในเก๋งจีนครานี้นางกลับลงมือเหี้ยมโหดฉับไว เวลาไม่นานก็จัดการกับสนมคนโปรดคนใหม่ขององค์จักรพรรดิเสียราบคาบราบเรียบ มิอาจบอกได้ว่าทุกคนล้วนยินดีแต่มันกลับสะเทือนสะท้านผู้คนจำนวนหนึ่ง
ในอดีตอาจกล่าวว่านางมีชื่อจากการเป็นสนมคนโปรดขององค์จักรพรรดิ แต่บัดนี้นางกลับเป็นบุคคลที่ผู้คนพูดถึงมากที่สุดในวังหลังของราชวงศ์จิ้นเพราะความเก่งกาจในการวิวาทของนาง
กล้าลงมือวิวาทนั้นมิใช่ความสามารถที่ยิ่งใหญ่อันใด ถึงอย่างไรการทะเลาะ ถกเถียงก็เป็นความสามารถพื้นฐานของพระสนมที่อยู่ในวังหลังอยู่แล้ว มิเช่นนั้นตลอดชีวิตที่อยู่ในวังหลังหากมิใช่ถูกผู้อื่นรังแกจนตายก็คงเบื่อหน่ายตนเองจนตายไป
แต่เฉินหรูอี้มิเป็นเช่นนั้น นางกล้าทะเลาะวิวาทต่อหน้าองค์จักรพรรดิ ทั้งยังไม่แม้แต่จะออมมือ ไม่ไว้น้ำใจแม้เพียงสักนิด กลับดำเป็นขาวได้อย่างน่าชัง และยิ่งไปกว่านั้นคือองค์จักรพรรดิทรงยืนข้างนาง...นี่ต่างหากที่ทำให้ผู้คนแค้นเคือง
ด้วยเหตุนี้ผู้คนทั้งวังจึงทราบโดยทั่วกันว่าสนมจ้าวแห่งตำหนักหมิงกวางมิควรไปแหย่เล่น
เฉินหรูอี้ยกกรงเล็บอันคมกริบขึ้นอวดเพียงน้อยนิดแต่กลับได้ผลอย่างที่นางปรารถนา ไม่เพียงขู่ขวัญสนมในวังหลังได้ชะงักนักยังถือว่าสอบผ่านบททดสอบแรกขององค์จักรพรรดิทั้งยังได้รับผลอันยอดเยี่ยมอีกด้วย
แต่สิ่งเดียวที่ทำให้นางทุกข์ใจอยู่ในขณะนี้คือองค์จักรพรรดิที่คิดแผนหนึ่งเสร็จก็ตามด้วยแผนสองพระองค์นี้ต่างหาก
หลังจากที่องค์จักรพรรดิได้คิดใคร่ครวญมาอย่างหนักแล้วนั้น พระองค์ตัดสินพระทัยว่าจะเปิดตัวนางอย่างเป็นทางการในเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีนี้ พระองค์ไม่เพียงให้นางกำราบสนมเล็กๆ แม้แต่เหล่าพระสนมสูงศักดิ์ผู้ให้กำเนิดพระราชโอรสพระราชธิดาพระองค์ก็มิทรงปล่อยผ่าน คล้ายดั่งจะประกาศให้คนทั่วหล้ารู้ว่ายังมีบุคคลแข็งแกร่งเป็นหนึ่งเช่นนางอยู่
ยามนั้นเฉินหรูอี้หวาดวิตกจนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างไปถึงสามส่วนเจ็ดส่วน
ปกติแล้วงานยิ่งใหญ่เช่นนี้ล้วนเป็นบุคคลสำคัญอันดับหนึ่งแห่งพระราชวังมาร่วม ในอดีตก็คือเฉินหรูอี้แต่บัดนี้ย่อมเป็นเงาของหวงโฮ่วอย่างต่งกุ้ยเฟย นางเป็นแค่พระสนมเอกแต่กลับถูกองค์จักรพรรดิเชิดชูขึ้นเช่นนี้ดั่งต้องการประกาศท้ารบแบ่งอาณาเขตกับต่งกุ้ยเฟยก็มิปาน
ผู้อื่นไม่มีทางเชื่อแน่ว่าเป็นเพราะองค์จักรพรรดิเบื่อหน่ายที่วังหลังของพระองค์เงียบสงบเกินไปจึงก่อเรื่องขึ้นเสียเอง แต่ผู้คนคงคิดว่าเฉินหรูอี้มิยอมทนเหงาคนเดียวจึงออดอ้อนองค์จักรพรรดิ ถึงตอนนั้นนางก็ยากจะลงจากหลังพยัคฆ์ ได้แต่ควบเข้าไปในกองเพลิงจนถูกเผาผลาญมอดไหม้
ต่งกุ้ยเฟยในยามนี้ไม่กล้าแม้เผชิญหน้าองค์จักรพรรดิแล้ว นางล้วนพึ่งพิงบารมีของพระราชโอรสทั้งสิ้น แต่เฉินหรูอี้นั้นแสนต้อยต่ำ วาจานางมิอาจเทียบได้กับเสียงผายลมของผู้อื่นด้วยซ้ำ นางจึงยกแม่นางหลินขึ้นเป็นโล่กันภัย ด้วยกลัวว่าการกระทำครั้งนี้จะทำให้แม่นางหลินเข้าใจผิดก่อให้เกิดความร้าวฉาน นางนั้นคิดแทนแม่นางหลินไปสารพัดวางแผนแทนองค์จักรพรรดิไปเสียหมด
เฉินหรูอี้ยังจำได้ดีถึงมุมพระโอษฐ์ขวาที่ค่อยๆ ขยับยกขึ้นของพระองค์ รอยแย้มพระโอษฐ์ซึ่งแฝงด้วยแววอันชั่วร้ายนั้น
พระองค์ทรงยืนอยู่ริมฝั่งสระไท่เย ลมพัดโชยมาก่อให้เกิดเป็นระลอกคลื่น สายลมเย็นเยียบสายนั้นยังเย็นมิสู้รอยยิ้มของพระองค์ นางพลันรู้สึกกระดูกทั่วร่างหนาวแข็งไปหมด
พระองค์เพียงกระตุกมือนางเบาๆ คราหนึ่งร่างทั้งร่างก็สูญเสียการควบคุมพุ่งเข้าใส่พระองค์ หากไม่ใช่พระองค์ยกพระหัตถ์ขึ้นกั้นหน้าอกอันแบนราบของนางเอาไว้ได้ทันเวลา นางคงตกลงไปในสระไท่เยเป็นแน่
“เจิ้นเคยบอกเจ้าแล้ว สิ่งใดไม่ควรถามอย่าได้ถาม สิ่งใดไม่ควรพูดอย่าได้เอ่ย เจ้าฝีปากกล้าถึงเพียงนี้ แต่ความจำกลับแย่ยิ่งนัก”
เฉินหรูอี้ไหนเลยจะกล้าพูดจาส่งเดชอีก สายพระเนตรเย็นเยือกดุจธารน้ำแข็งปานนั้น มิต้องว่านางจะเอ่ยคำใด แม้แต่มีท่าทางใดคล้ายแคลงใจแต่เพียงน้อยนิด พระองค์ก็อาจเตะนางตกสระไท่เยโดยไม่แม้แต่จะให้โอกาสนางได้เอ่ยคำ นางกลัวจนปัสสาวะจะราดอยู่แล้ว
เอาเถอะ ในเมื่อองค์จักรพรรดิให้นางหุบปากนางก็จะปิดปากให้สนิท ถึงอย่างไรวันหน้าก็มิใช่เพียงแค่นางคนเดียวที่ต้องทรมาน หากแม่นางหลินเป็นจอมเกรี้ยวโกรธ องค์จักรพรรดิก็มิอาจหลีกหนีการทรมานนี้ไปได้ พระอัสสุชลที่รินไหลในวันหน้าของพระองค์ล้วนมีสาเหตุจากพระดำริอันพิกลในวันนี้ทั้งสิ้น
แต่นางคาดไม่ถึงว่าการข่มขวัญเมื่อครู่ที่ทำให้นางหวาดกลัวจนต้องรีบรุดกลับตำหนักหมิงกวางนั้นยังมิสิ้นสุดลง เพราะเพียงชั่วพริบตานั้นองค์จักรพรรดิได้ทรงพระราชทานกระจกทองแดงห้าด้านขนาดเท่าตัวคน แกะหงส์สลักมังกร วิจิตรงดงามยิ่งให้แก่นาง..แต่นี่ล้วนมิใช่สาระสำคัญ
องค์จักรพรรดิทรงส่งเฉินฮวายขันทีคู่พระทัยมาโดยเฉพาะ ครานี้เฉินฮวายนำขันทีกลุ่มหนึ่งติดตามมาด้วย พวกเขานำกระจกห้าบานมาต่อกันเป็นวงกลมโดยเหลือช่องเล็กๆ ไว้ช่องหนึ่งเพื่อให้นางเดินเข้าไปได้ ใบหน้าของเฉินฮวายบิดเบ้ไปมา นางเห็นว่าเขากลั้นอาการขบขันเสียจนหน้าผิดรูปไปหมดแล้ว
“องค์จักรพรรดิทรงกำชับมาว่า” ใบหน้าของเฉินฮวายกระตุกวูบหนึ่งอย่างมิอาจควบคุม “ให้พระสนม.....ส่องกระจกบ่อยๆ....เมื่อมี....เวลาว่าง....อุ๊บ...”
เฉินหรูอี้โมโหจนปอดแทบระเบิดออกมา
ใช่!องค์จักรพรรดิทรงมีสายพระเนตรแหลมคมจึงได้ชื่นชอบในตัวแม่นางหลินผู้งดงามผุดผาด เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้และความงาม นิสัยห้าวหาญไม่เหมือนผู้ใด พระองค์ทรงเน้นย้ำเสมอว่าเฉินหรูอี้รูปร่างดุจกระดานไม้ แม่นางหลินย่อมไม่เห็นนางอยู่ในสายตา การดำรงอยู่ของนางไม่มีผลอันใดต่อแม่นางหลิน แต่ก็มิจำเป็นต้องทำให้นางรู้สึกแย่ถึงเพียงนี้
ทรงตรัสว่าจะประทานลาภยศสรรเสริญ ทรงสัญญาว่าจะให้นางมีชีวิตที่สุขสงบตลอดไป
แต่อารมณ์นางไม่จะสงบเสียแล้ว
เฉินหรูอี้ต้องใช้แรงอันมหาศาลกอดรัดมือเท้าไว้มิให้พุ่งชนกระจกเหล่านี้ให้แตกพังย่อยยับ
ในความเป็นจริงแล้วองค์จักรพรรดินั้นเป็นผู้ขาดมโนธรรมอย่างยิ่ง พระองค์ไม่เคยคิดแม้แต่จะละเว้นนาง ทั้งยังกำชับให้เฉินฮวายนำคำตอบรับของนางกลับไปด้วย
นางจะพูดอะไรได้
นอกจากคำผรุสวาท คำอื่นใดนางล้วนมิอยากเอ่ย
แต่หากพูดในสิ่งที่นางคิดออกมาจริงๆ คาดว่าชีวิตของนางคงต้องสิ้นสุดลงวันนี้
“เชี่ย..เซิน...ขอบ...พระ...ทัย....ฝ่า....บาท” เฉินหรูอี้ข่มกลั้นใจไว้เอื้อยเอ่ยทีละคำด้วยอาการตัวสั่น นางไม่แน่ใจว่าหากพูดมากกว่านี้แม้เพียงคำฟันสีขาวผ่องที่เรียงรายอยู่เต็มปากนางอาจถูกนางกัดแตกเป็นผุยผงไปจนสิ้น
เคราะห์ดีที่เฉินฮวายผู้มีมโนธรรมมิได้เอ่ยถามอันใดนางอีก รีบรุดกลับตำหนักฉางเล่อด้วยใบหน้าอยากหัวเราะแต่มิอาจหัวเราะ
เฉินหรูอี้ก็มิทราบว่านางไปสะกิดความคิดทรมานผู้คนขององค์จักรพรรดิตอนไหน เย็นวันนั้นพระองค์ยังให้คนนำน้ำแกงพุทราแดงมาให้นางเพื่อบำรุงโลหิต
ยามพระราชทานให้ผู้อื่นล้วนเป็นเพียงถ้วยเล็กๆ แต่ที่พระราชทานให้นางกลับเป็นหม้อใบใหญ่คล้ายกับทรงกังวลพระทัยว่าความสะเทือนใจเมื่อตอนกลางวันนี้จะทำให้นางโมโหจนกระอักเลือด นางทราบดีว่าพระองค์เพียงแค่ทรงเปลี่ยนวิธีในการทรมานนาง
สิ่งของที่องค์จักรพรรดิประทานให้นางมิอาจแบ่งปันให้ผู้อื่น ด้วยเหตุนี้จึงงดอาหารค่ำ นางยกหม้อขึ้นซดดื่มอยู่ครึ่งค่อนคืนจนสะอาดเกลี้ยงไม่เหลือเพียงหยด แม้แต่เศษเล็กๆ ก็ไม่มีเหลือ
ความห้าวหาญของเฉินหรูอี้ได้กระจายไปทั่ววังหลังแห่งราชวงศ์จิ้นแล้ว ไม่มีสนมคนใดกล้าตอแยนาง ในวังหลังแห่งนี้นางมีอำนาจมากล้นเสียจนไม่มีผู้ใดอาจหาญเทียบ แม้แต่ต่งกุ้ยเฟยที่มักแสดงอำนาจบาตรใหญ่ก็มิได้แสดงกริยาไม่พอใจต่อนางซ้ำยังดีต่อนางกว่าเมื่อก่อนอีกด้วย มีเพียงองค์จักรพรรดิเท่านั้นที่แสร้งดีต่อนางให้ผู้อื่นเห็น พระองค์ทรง พระราชทานสิ่งของให้นางอยู่ไม่ขาดจนแทบจะเอาแผ่นทองมาติดบนหน้านางอยู่แล้ว แต่ลับหลังผู้อื่นกลับดูแคลนนางสารพัด
ในที่สุดจุดระเบิดของเฉินหรูอี้ก็ถูกจุดขึ้นด้วยแพะขนปุยตัวหนึ่งที่เฉินฮวายจูงเข้ามาในตำหนักหมิงกวาง
“องค์จักรพรรดิทรงตรัสว่า.....พระสนม....ขาดสิ่งใดให้บำรุงสิ่งนั้น”
ตอนที่เฉินฮวายมาถึงนั้นเป็นเวลาเช้าตรู่ นางกำนัลเพิ่งหวีผมให้เฉินหรูอี้เสร็จ นางพอใจกับทรงผมใหม่เป็นอย่างยิ่งจึงตั้งใจเลือกปิ่นปักผมที่นางชอบ แต่เฉินฮวายยังมิทันกล่าวจบคำ เสียง “เปรี๊ยะ” ก็ดังขึ้น ปิ่นหยกแสนงามอันนั้นหักเป็นสองท่อนอยู่ในมือของนางเสียแล้ว