บทที่ 38 ตัวโง่งม
สิ่งที่พังไปพร้อมกับปิ่นปักผมก็คือสติสัมปชัญญะของเฉินหรูอี้นั่นเอง
องค์จักรพรรดิทรงทำเกินไปแล้ว!
นางเพียงแค่เตือนว่าแม่นางหลินอาจเข้าใจผิดต่อพวกเขาได้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นตัวปลอมต่อให้เดินเข้าออกตำหนักตามพระองค์ก็ไม่เป็นไร แต่การพานางไปเปิดตัวให้ผู้คนทั่วราชสำนักได้รับรู้การมีอยู่ของนางในงานใหญ่โตเช่นนั้น หากแม่นางหลินคิดมากก็เป็นเรื่องธรรมดา
ในฐานะที่นางทำหน้าที่เป็นโล่ป้องเกาทัณฑ์จึงได้เอ่ยปากเตือนพระองค์ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่แสนจะธรรมดาอย่างยิ่ง
พระองค์ทรงเชื่อก็ดี ไม่เชื่อก็ดี เหตุใดต้องบีบคั้นกันถึงเพียงนี้ ทรงตรัสว่าขาดสิ่งใดให้บำรุงสิ่งนั้น จึงให้เฉินฮวายนำแพะมาให้นางรีดคั้นเอานมแพะมาดื่ม
มิต้องเอ่ยถึงเหตุผลที่พระองค์ทรงเลือกนาง ต่อให้สนมจ้าวจะมีรูปร่างดั่งไม้กระดาน แต่ไม่ว่าอย่างไรพระองค์ก็ทรงเลือกด้วยพระองค์เอง ทรงไม่คิดบ้างหรือว่าการกระทำที่สารพัดจะดูแคลนนางในช่วงหลายวันมานี้เป็นการดูแคลนพระองค์เองซึ่งไม่ต่างอันใดกับการตบหน้าพระองค์เองเลย
เรื่องธรรมดาเช่นนี้ให้นางกำนัลขันทีคนใดมาก็ย่อมได้แต่พระองค์ทรงเจตนาส่งเฉินฮวายมาด้วยตัวเองทุกครั้งเพื่อสังเกตอารมณ์และปฏิกิริยาของนางแล้วกลับไปรายงานต่อองค์จักรพรรดิ
“ตายแล้ว อากาศร้อนเช่นนี้ กงกงเดินมาตลอดทางคงจะกระหาย”
“กงกง ดื่มชาสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”
หยวนเป่าหยวนสี่เห็นหน้าสนมจ้าวประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวม่วงก็ทราบว่าเหตุการณ์ชักไม่ดีเสียแล้ว หากพายุโหมแรงหน่อยจักต้องกอดต้นไม้ใหญ่ไว้ด้วยกลัวถูกพัดปลิวขึ้นฟ้าไป แต่ถึงกับหักปิ่นปักผมคามือไปทั้งอย่างนั้นแสดงว่าโกรธจนสูญเสียสติสัมปชัญญะ ทั้งสองกลัวว่าตัวโง่งมของพวกนางจะโกรธเสียจนพูดวาจาอันมิสมควรออกไปจึงรีบเข้ามาประกบเฉินฮวาย ด้วยอยากบดบังสิ่งที่ขันทีคู่พระทัยขององค์จักรพรรดิไม่ควรเห็นเอาไว้
เฉินฮวายเองก็ถูกนางกำนัลที่ไม่รู้กาลเทศะทั้งสองทำให้อึ้งงันไป ในราชสำนักอีกทั้งวังหลังเมื่อเห็นเขาเข้า แม้เขามิบอกให้หลบแต่ทุกคนก็ล้วนถอยให้เขาไปก้าวสองก้าว หากแม้นเป็นคนเมื่อพบเขาล้วนต้องให้เกียรติอยู่บ้าง แต่มิเคยเห็นนางกำนัลเช่นนี้มาก่อน ในขณะที่กำลังมึนงงอยู่นั้นเขาจึงถูกพาไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง แล้วหยิบยกถ้วยชาที่เย็นชืดขึ้นมาดื่มไปอึกใหญ่
“ถุย!”
นี่มันชาค้างคืนใช่หรือไม่
หากเฉินฮวายไม่เห็นแก่ฐานะอันแสนพิเศษของสนมจ้าวแห่งตำหนักหมิงกวาง เขาก็อยากจะพ่นชาใส่หน้านางกำนัลทั้งสองนี้จริงๆ
“องค์จักรพรรดิรับสั่งให้เชิญพระสนมไปที่ตำหนังฉางเล่อทั้งยังส่งเกี้ยวมารับพระสนมโดยเฉพาะ” เฉินฮวายลุกขึ้นสะบัดชายแขนเสื้อตน พูดพลางยิ้มระรื่น “พระสนม เชิญ”
เห็นหยวนเป่าและหยวนสี่ก่อเรื่องขึ้นมาเช่นนี้ เฉินหรูอี้ก็มีสติคืนมาในทันที จึงหยิบปิ่นปักผมประดับลงไปบนศีรษะแล้วเดินตามเฉินฮวายออกไป ระหว่างทางที่เดินออกมาจากตำหนักหมิงกวางหูของนางก็ได้ยินเสียงแพะร้องอยู่ตลอดพลันเมล็ดแห่งเพลิงโทสะก็ได้ลุกไหม้ขึ้นมาอีกครั้ง ผ้าเช็ดหน้าในมือนางถูกบิดเสียจนแทบกลายเป็นขนมหมาฮวา
ด้วยมีเฉินฮวายเดินนำหน้าเฉินหรูอี้จึงมาถึงตำหนักฉางเล่ออย่างไร้อุปสรรคขัดขวางจนกระทั่งถึงห้องอันเป็นส่วนปีกของตำหนักฉางเล่อ
เมื่อถึงฤดูร้อนจะมีการจัดเตรียมน้ำแข็งไว้สำหรับคลายร้อนให้ทุกๆ ตำหนัก แน่นอนว่าตำหนักขององค์จักรพรรดิต้องเย็นสบายกว่าตำหนักอื่นๆ แม้นเฉินหรูอี้จะนั่งเกี้ยวมาซึ่งมีหลังคาบังแดดแต่ก็ร้อนเสียจนเหงื่อซึมทั่วร่าง ยามนี้แหวกม่านเดินเข้าประตูไปก็รู้สึกเย็นสบายไปทั่วทั้งกาย ใจจึงพลอยเย็นไปด้วย
ห้องตงหน่วนแบ่งเป็นหน้าหนึ่งห้องหลังหนึ่งห้อง แผ่นป้ายที่ติดอยู่ตรงข้ามประตูเขียนไว้ว่า “ห้องดั่งหฤทัย”ลายเส้นงดงามอ่อนช้อยแต่ทรงพลังยิ่ง ด้านหน้ายังจัดวางเก้าอี้พระที่นั่งเอาไว้ บทโต๊ะวางจตุรัตนะแห่งห้องอักษร*ไว้อย่างเป็นระเบียบ ส่วนห้องด้านหลังนั้นเปิดประตูออกให้โล่งโปร่งทุกทิศทางเพียงแขวนห้อยด้วยม่านมุกเท่านั้น
มิรอให้เฉินฮวายแจ้งให้เข้าไป นางก็เห็นแผ่นหลังของหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าบนพื้นด้วยท่าทางอันสง่างามถูกต้อง พระสุรเสียงตำหนิติเตียนด้วยบันดาลโทสะขององค์จักรพรรดิดังขึ้น
“......อยู่ในวังมานานเท่าใดแล้ว เจิ้นไม่เข้าใจว่าเจ้าเรียนรู้สิ่งใดบ้าง วันๆ เอาแต่ทะเลาะวิวาทกัน เจ้ามิเหนื่อยแต่เจิ้นเห็นแล้วเหนื่อย สิ่งที่เจิ้นอยากให้เจ้า เจ้าไม่รับกลับมิได้ หากเจิ้นไม่อยากให้เจ้า เจ้าแย่งชิงอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ อย่าได้เห็นคำพูดเจิ้นเป็นเพียงลมที่พัดผ่านหู เรื่องที่มอบให้เจ้าทำ หากทำสำเร็จก็เท่ากับเจ้าได้ช่วยเจิ้นแบ่งเบาภาระ เรื่องชิงดีชิงเด่น ให้งดเลิกไปเสีย ”
องค์จักรพรรดิส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชาพลางตรัสว่า “ห้องเครื่องของเจิ้นขาดแคลนสิ่งใด ขาดน้ำแกงของเจ้างั้นหรือ? เจิ้นสุขภาพยังดีอยู่ บำรุงมากไปอาจทำลายสุขภาพได้ ความผิดนี้กุ้ยเฟยแบกรับได้หรือ?”
เมื่อฟังถึงตรงนี้เฉินหรูอี้ก็ได้แต่ร้องว่า “แย่แล้ว” อยู่ในใจ
วาจานี้ขององค์จักรพรรดิทำให้ทราบได้ว่าต่งกุ้ยเฟยคงเห็นว่าระยะนี้ตำหนักหมิงกวางเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ จึงได้ยกน้ำแกงมาถวายองค์จักรพรรดิเพื่อแสดงตน สุดท้ายไม่เพียงไม่ได้รับความชอบซ้ำยังถูกองค์จักรพรรดิที่ทรงเสวยดินปืนเข้าไปกล่าวตำหนิเสียอีก
หากปิดประตูไว้ กิจการภายในของตำหนักฉางเล่อคงไม่แพร่งพราย เหตุใดต้องให้นางมาได้ยินเข้าพอดี ต่งกุ้ยเฟยรู้เข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด?
เรื่องราวช่างบังเอิญนัก นางคิดถึงตรงนี้ พลันพระสุรเสียงขององค์จักรพรรดิที่ดังอยู่ด้านในได้หยุดลง เฉินฮวายจึงอาศัยจังหวะนี้กล่าวรายงานต่อองค์จักรพรรดิว่านางมารออยู่หน้าประตูแล้ว
เฉินหรูอี้ลอบน้ำตาซึม ไม่ทราบว่าเมื่อใดตนจึงจะทำให้สองนายบ่าวผู้ไร้ซึ่งมโนธรรมคู่นี้ได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัสบ้าง
“สนมจ้าวของเจิ้นมาแล้ว เจิ้นรออยู่นานแล้ว รีบเข้ามาเถอะ หรือจะให้เจิ้นออกไปรับเจ้าด้วยตัวเอง?” ประโยคสุดท้ายเอ่ยด้วยเสียงสูงเล็กน้อย เห็นชัดว่ากำลังทรงตรัสกับเฉินหรูอี้
นางพูดได้หรือไม่ว่า พระสุรเสียงที่เต็มไปด้วยความสำราญเบิกบานพระทัยเมื่อเห็นผู้อื่นตกที่นั่งลำบากนั้นของพระองค์แทบทำให้นางเหม็นตาย
เฉินหรูอี้สูดลมหายใจเข้าลึก ก้าวเท้าแหวกม่านมุกเดินเข้าไปในห้อง เสียงม่านมุกกระทบกันยังมิทันหยุดลงพลันได้ยินเสียงแหลมสูงเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ตัวโง่งม!ตัวโง่งม”
เฉินหรูอี้พลันรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมา
ในพระราชวังแห่งนี้นอกจากจะเลี้ยงสัตว์เดรัจฉานเช่นเสือดาวและสัตว์แปลกๆ ชนิดอื่นๆ แล้วยังมีที่เลี้ยงนกอีกด้วย สัตว์จากต่างแดนก็มีมากมายหลายชนิด
แต่จักรพรรดิจางเหอโปรดปรานที่สุดก็คือนกแก้วขนเขียวปากแดงตัวนี้ ไปที่ใดล้วนนำไปด้วยประหนึ่งสมบัติล้ำค่า นกแก้วตัวนี้ไม่เพียงท่องบทกลอนได้เท่านั้นยังพูดคำถวายพระพรหลายได้หลายประโยคทีเดียวเช่น
“อายุยืนหมื่นปี”
“อายุวัฒนะ”
“ทรงพระเจริญ”
เป็นนกที่ฉลาดมากทีเดียวแต่เพราะอยู่กับองค์จักรพรรดิมากเกินไปถึงได้เรียนเอาคำผรุสวาทที่พระองค์ใช้ด่าว่าผู้อื่นไปด้วย ช่างบังเอิญเหลือเกินเมื่อคราแรกที่มันด่าว่า “ตัวโง่งม” นางอยู่ตรงนั้นพอดี องค์จักรพรรดิทรงพระสรวลเสียพระโอษฐ์แทบฉีกไปถึงพระกรรณ เฉินหรูอี้คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้จะจำเรื่องนั้นได้ เมื่อเจอนางคราใดก็ล้วนด่าสองคำนี้เพื่อเอาพระทัยองค์จักรพรรดิ
“เจ้าต่างหากที่เป็นตัวโง่งมรวมทั้งนายของเจ้าด้วย เลี้ยงสัตว์เดรัจฉานเช่นเจ้าล้วนเป็นตัวโง่งม!” เฉินหรูอี้มักตอบกลับคืนเช่นนี้อยู่ในใจทุกครั้ง
“ถวายพระพรฝ่าบาท”
เซียวเหยี่ยนนั่งเอนกายบนเก้าอี้ตัวยาว แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างสาดแสงส่องต้องกับอาภรณ์สีเหลืองเกิดเป็นแสงสีทองล้อมรอบร่างเขาไว้ชั้นหนึ่ง
ครั้นเขาเห็นเฉินหรูอี้เดินเข้ามาน้ำเสียงอันเย็นชาเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยน รอยยิ้มเปื้อนเต็มหน้าพลางตบเก้าอี้คราหนึ่ง “อ้ายเฟยไม่ต้องมากพิธี มา มานั่งข้างเจิ้น”
“...........”
เฉินหรูอี้ได้แต่เสไปมองบนพื้นอย่างไม่รู้ตัว เห็นอยู่ว่ากุ้ยเฟยพระชายาขั้นหนึ่งคุกเข่าอยู่กับพื้น นางเป็นแค่สนมเอกขั้นสองกลับนั่งบนเก้าอี้ องค์จักรพรรดิคิดว่าการวิวาทกับสนมเฉียนคราก่อนมันนานเกินไปแล้วจึงอยากให้นางแตกหักกับกุ้ยเฟยหรืออย่างไร?
องค์จักรพรรดิอยากให้นางตายนักหรือไร
*จตุรัตนะแห่งห้องอักษร หรือสิ่งล้ำค่าทั้งสี่ในห้องหนังสือ ประกอบไปด้วย พู่กัน หมึก กระดาษ จานฝนหมึก