บทที่ 8 เดามิออกคาดมิได้
หลังจากที่เฉินหรูอี้เกิดข้อสันนิฐานเช่นนั้นแล้ว นางก็ยิ่งพินิจพิเคราะห์ทุกอิริยาบถของจักรพรรดิจางเหอ
หรือนางอาจจะคาดเดาส่งเดชไปเอง นางยิ่งมองเขายิ่งรู้สึกว่าความคิดนี้ของตนช่างแปลกพิสดารเกินไปแล้ว
ไม่อย่างนั้นเหตุใดถึงให้นางตายแล้วฟื้น ตายแล้วคืนปานอบขนมเช่นนี้ ด้านหนึ่งอบสุกก็พลิกอีกด้านขึ้น ไม่จบไม่สิ้นเสียที
หากเป็นเพราะเพื่อช่วยให้อนาคตของราชวงศ์จิ้นยังคงอยู่สืบไปจึงให้นางเปลี่ยนร่างไปมาดั่งผู้คนผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ นางยังสามารถเข้าใจในเจตนาของสวรรค์ที่หยอกล้อนางได้ แต่ทว่าหากเรื่องมิได้เป็นดั่งคาด นางจะน่าสงสารปานใดที่ถูกสวรรค์กลั่นแกล้งครั้งแล้วครั้งเล่าและยังไม่อาจทราบว่าในอนาคตจะยังมีอีกสักกี่ครั้ง
คงมิใช่ส่องสว่างดั่งพระจันทร์ อายุมั่นดุจฟ้าดิน
“อ้ายเฟย....มีวาจาจะเอ่ยกับเจิ้นหรือ?” เซียวเหยี่ยนเอียงศีรษะเล็กน้อย ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางเบา รอยยิ้มชุ่มฉ่ำดุจพิรุณยามวสันต์
เฉินหรูอี้ตกตะลึง ยามนี้เพิ่งสำนึกว่าตนหวาดกลัวจนขาดสติทั้งที่อยู่ต่อหน้าพระพักตร์องค์จักรพรรดิ คราก่อนทำให้องค์จักรพรรดิหน้ามืดเพราะกลิ่นเหม็น เคราะห์ดีที่ไม่ถึงชีวิต ยามนี้กลับจะรนหาที่ตายอีกครั้ง
“เชี่ยเซิน.....” นางกะพริบตาพลันได้สติคืนมาจึงรีบเอาคำว่า “ไม่มี” กลืนลงท้องไปได้ทันท่วงที
คราที่นางยังเป็นหวงโฮ่วภรรยาที่ถูกต้องขององค์จักรพรรดินั้น ไท่โฮ่วอบรมสอนสั่งนางเสมอว่าต้องเป็นภรรยาที่งดงามทั้งภายในและภายนอก ใจกว้าง แม้นเห็นองค์จักรพรรดิชิดใกล้กับสนมคนใดก็ให้ถือว่ามิได้เห็น นางไม่เคยเล่นบทแง่งอน หรือเอ่ยคำหวานสักครั้ง แต่ถึงแม้นางจะไม่เคยเป็นสนมที่พระองค์ทรงโปรดปราน มิเคยเอ่ยวาจาพลอดรักกับจักรพรรดิจางเหอมาก่อน นางล้วนแจ้งแก่ใจดีว่ามิใช่เรื่องที่จะพูดออกไปตามแต่ใจได้
เฉินหรูอี้ย้อนความทรงจำด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด พลันนึกถึงหัวข้อที่จักรพรรดิจางเหอได้สนทนากับนางก่อนหน้านี้
ที่แท้เมื่อครู่องค์จักรพรรดิได้เอ่ยคำสารภาพรักต่อนาง ยามนี้รอนางเอ่ยตอบกลับ
“ที่เชี่ยเซินอยากพูดคือ.........ฝ่าบาทดีต่อเชี่ยเซินเช่นนี้ เชี่ยเซินจะตัดใจทิ้งพระองค์ไปได้อย่างไรเล่าเพคะ” เฉินหรูอี้หัวเราะน้อยๆ ตาจ้องมองที่องค์จักรพรรดิ เม้มริมฝีปากเบาๆ แสดงถึงความพอใจในคำตอบของตนอย่างยิ่ง
เซียวเหยี่ยนมุมปากกระตุก ใบหน้าแข็งเกร็งอย่างควบคุมไว้ไม่อยู่
ช่างเป็นคำพูดที่ไร้แก่นสารไม่มีหัวไม่มีหางเสียจริง นางไยต้องชำเลืองมองใบหน้าเขาอยู่ตลอดจนเขารู้สึกขนลุกขนพองไปหมดด้วย
ยังหลงเข้าใจว่าคำพูดที่นางประดิษฐ์อยู่นานสองนานนั้นจะเป็นเรื่องที่สำคัญเหลือคณา
“ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่” พระองค์ตรัสถาม
เฉินหรูอี้ขมวดคิ้วเบาๆ ดวงตากลมโตมองมาดุจไร้ซึ่งความผิด แล้วเอ่ยลองใจออกมาทีละคำ “เชี่ยเซิน.......คิดว่าค่ำนี้ฝ่าบาทจะทรงอยู่เสวยพระกระยาหารค่ำที่นี่หรือไม่”
โปรดอภัยที่นางมิใช่ฆ้องปากแตก ยิ่งเรื่องราวยังไม่กระจ่างชัดนางก็มิกล้าเอ่ยวาจาส่งเดช ยิ่งครั้งนี้สถานการณ์มิเหมือนคราก่อน ขันทีในวังมีมากมายย่อมไม่มีผู้ใดใส่ใจอย่างแท้จริง
ยามนี้ฐานะของนางกลับเป็นถึงสนมที่องค์จักรพรรดิทรงโปรดปราน ความสัมพันธ์ของทั้งสองย่อมมิใช่ระยะเวลาเพียงสั้นๆ หากวาจาก่อนหลังของนางมิสอดคล้องกันทำให้ขุ่นเคืองพระทัยนั้นยังเรื่องเล็ก แต่หากองค์จักรพรรดิทรงเชื่อมโยงไปถึงเรื่องตายแล้วฟื้นคืน ยืมศพคืนวิญญาณประเภทนั้น เช่นนั้นแม้นองค์จักรพรรดิจะบดกระดูกนางจนเป็นเถ้ายังนับว่าน้อยไป
เซียวเหยี่ยนคาดไม่ถึงเป็นคำรบที่สองว่าสิ่งที่นางฝืนกลั้นไว้อยู่นานจะเป็นเรื่องนี้ นัยน์ตาหงส์เรียวยาวเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เจิ้นคงมิอาจอยู่ เจ้าทานให้มาก ตอนที่เจิ้นมาพบกับหมอหลวงโจวเข้า เขาบอกว่าเจ้ามิเป็นไรมาก แม้ยามนี้เป็นเดือนห้า น้ำก็มิได้หนาวเย็นปานนั้นแล้วแต่ยังคงต้องดูแลบำรุงร่างกายให้ดี” กล่าวจบ ก็ตบมือนางเบาๆ ผุดลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก
เฉินหรูอี้ลุกขึ้นเตรียมส่งเสด็จ แต่กลับเห็นเซียวเหยี่ยนโบกมือไปมาจากด้านหลังโดยไม่แม้แต่จะหยุดฝีเท้า
“ไม่ต้องส่ง เจ้าพักผ่อนเถอะ”
แม้นวาจาจะกล่าวเช่นนี้ แต่เฉินหรูอี้ก็มิกล้าทำตามยังคงเดินไปที่ประตูใช้สายตาส่งองค์จักรพรรดิเสด็จจากไปแล้วลอบถอนใจยาวออกมาด้วยโล่งใจ
เวลานี้ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ภายในตำหนักหมิงกวางแขวนห้อยไปด้วยโคมไฟทำให้ตำหนักอันโอ่อ่าแห่งนี้สว่างดุจทิวากาล
เซียวเหยี่ยนก้าวลงบันไดไปได้ไม่กี่ขั้นกลับขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ใบหน้ามิได้ดูเจ้าสำราญดั่งยามอยู่ในตำหนักหมิงกวางอย่างเมื่อครู่
“เฉินฮวาย” พระองค์ผินพระพักตร์ไปด้านข้างเล็กน้อย ด้านหลังมีขันทีใบหน้าคล้ายอักษร “กั๋ว”* เร่งฝีเท้าตามติดมา
ขันทีผู้นั้นอายุราวสามสิบปี คิ้วบาง รูปลักษณ์ธรรมดายิ่งนัก ธรรมดาจนกระทั่งว่าแม้ปะปนเข้าไปในฝูงชนก็มิอาจควานหาออกมาได้
แต่ทว่าในราชสำนักหรือแม้แต่วังหลังเองก็มิอาจดูแคลนใบหน้าที่ไม่มีอันใดน่าจดจำของคนผู้นี้ได้
เฉินฮวาย เป็นขันทีที่ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจฎีกา ในราชสำนักเขานับได้ว่าเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครเลยก็ว่าได้
เมื่อเหล่าขุนนางในราชสำนักถวายฎีกาต่อองค์จักรพรรดินั้นราชเลขาธิการต้องเป็นผู้จัดการและลงความเห็นก่อนเป็นอันดับแรกค่อยถวายต่อองค์องค์จักรพรรดิให้ทรงตรวจอ่าน หากแม้องค์จักรพรรดิทรงเกียจคร้านหรือไม่สะดวกตรวจอ่านก็จะเป็นขันทีผู้ตรวจฎีกาลงนามแทน และในขณะเดียวกันขันทีผู้ตรวจฎีกานี้ก็ยังทำหน้าที่บันทึกพระราชดำรัสขององค์จักรพรรดิแล้วค่อยส่งต่อให้สภาขุนนางยกร่างต่อไป
ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในวังเฉินฮวายก็ติดตามข้างกายเซียวเหยี่ยนมาตลอดจนกระทั่งเซียวเหยี่ยนขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ อำนาจบารมีของเฉินฮวายก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ
เฉินฮวายติดตามอยู่ข้างกายจักรพรรดิจางเหออย่างเงียบๆ เป็นระยะเวลายี่สิบปีแล้วจึงแจ้งแก่ใจดีว่าเวลานี้องค์จักรพรรดิเพียงต้องการให้เขารับฟังเท่านั้น
จริงดังคาดเซียวเหยี่ยนก็มิได้สนใจเขา เพียงบ่นพึมพำกับตนเองเท่านั้น “เหตุใดเจิ้นถึงรู้สึกว่าสนมจ้าวไม่เหมือนกาลก่อนสักเท่าใดนัก วันนี้ค่อนข้างเหม่อลอย ดูเหมือนตัวโง่งม แม้แต่วาจายังเอ่ยไม่กระจ่าง หรือสมองจะเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ”
“หรือว่าสติฟั่นเฟือนไปแล้ว...”
เฉินฮวายมีท่าทีคล้ายมิได้ยิน
เมื่อเกี้ยวหยุดที่นอกตำหนักหมิงกวาง เซียวเหยี่ยนจึงเดินหน้าพร้อมเอ่ยถามออกมาเป็นครั้งแรก:”เจ้าเห็นว่าอย่างไร?”
เฉินฮวายยิ้มบางเบา น้ำเสียงอ่อนโยนแผ่วเบามิได้ดูดุดันดั่งขันทีในวังส่วนใหญ่ :“กระหม่อมเห็นว่า พระสนมดูพูดน้อยอยู่บ้าง”
เซียวเหยี่ยนเหลือบมองเขาคราหนึ่ง พูดเสียงสะบัดว่า: “เจิ้นว่าเจ้าอยู่กับพวกจิ้งจองเฒ่าเจ้าเล่ห์เหล่านั้นมากเกินไปแล้วถึงได้ติดเอานิสัยของพวกนั้นมาด้วย พูดจาอันใดล้วนไม่มีมูลความจริง” กล่าวจบก็มิฟังเขาตอบกลับ เดินขึ้นเกี้ยวไปทันที
นั่นเรียกว่าพูดน้อย?
นั่นเรียกว่าพูดจาคนละเรื่องมากกว่ากระมัง?
เหม่อลอยเลอะเลือนแม้คำพูดสักประโยคก็มิอาจพูดให้ชัดแจ้ง แม้ยามปกตินางจะสมองมิได้หลักแหลมนักซ้ำยังหยิ่งยโสออกปานนั้นแต่กลับรู้สึกมีชีวิตชีวากว่านี้มากนัก
เฉินฮวายคุ้นชินกับการที่องค์จักรพรรดิมักตรัสกับองค์เอง จึงมิได้ถือเป็นจริงจังอันใด เพียงเม้มปากระบายยิ้มบางเบาแล้วเดิมตามพระองค์ไป
หากจะกล่าวว่าสนมจ้าวถูกทำให้ตกใจกลัวจนสติเลอะเลือน ก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็เป็นเพียงสตรีวัยสิบหกสิบเจ็ดเท่านั้น นางมิใช่เพียงเพราะพลัดตกน้ำจนเกิดอาการหวาดกลัว แต่คงเป็นถูกพระสนมลู่ออกหน้าพาผู้อื่นรังแกนางหนักเกินไปเสียมากกว่า
ในพระราชวังแห่งนี้ผู้คนมากมาย ไหนเลยจะมีกำแพงที่ลมไม่ทะลุผ่าน ยิ่งสนมจ้าวมีฐานะเป็นถึงสนมที่ฝ่าบาททรงโปรดปราน ทุกการกระทำล้วนถูกจับจ้องจากหูตาที่อยู่ทั่วสารทิศ
เหตุวิวาทที่เกิดในอุทยานหลวงล้วนเป็นสนมลู่เป็นผู้ยุยงจนบรรดาสนมวิวาทตบตี และเป้าหมายในการโจมตีครั้งนี้แน่นอนว่าต้องเป็นสนมจ้าว
แต่องค์จักรพรรดิแต่ไหนแต่ไรก็มิได้ใส่พระทัยเรื่องของวังหลังล้วนมอบให้ต่งกุ้ยเฟยเป็นผู้จัดการไม่แม้แต่จะถามสิ่งใด เฉินฮวายแม้นรู้นอกรู้ในก็มิยินยอมสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยว หากมิทรงตรัสถามก็จะมิยอมพูดมากแม้สักประโยค
แต่สนมจ้าวผู้นั้น.....
เฉินฮวายหันหลังกลับไปมองตำหนักหมิงกวางที่อยู่ด้านหลังตน รู้แปลกพิกลในใจอยู่หลายส่วน
เขามิกล่าวทูลออกไปนั้นกลับสามารถอภัยให้ได้เพราะไม่เกี่ยวข้องกับเขาแม้เพียงนิด แต่สนมจ้าวซึ่งเป็นสนมที่ได้รับการโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิอยู่หลายส่วนผู้นั้นกลับมิเอ่ยอันใดถึงเรื่องนี้เลย มิทราบแน่ว่ามีความคิดเช่นใดอยู่
หรือมีแผนลับซ่อนไว้รอเวลาสุกงอมแล้วจึงลงมือจู่โจมสนมลู่และคนอื่นๆ ให้มอดม้วย แต่ด้วยสติปัญญาของสนมจ้าว.....คล้ายว่ามีแค่ใจแต่ไร้ซึ่งกำลังหรือถูกสนมลู่ทำให้หวาดกลัวจนยอมจำนนกระทั่งข้อมูลอันใดล้วนมิกล้าแพร่งพรายต่อองค์จักรพรรดิ
แต่กลับไม่คล้ายสนมจ้าวผู้มีท่าทีหยิ่งยโสไม่เห็นผู้ใดในสายตาดั่งกาลก่อน
เฉินฮวายกุมขมับ ผู้คนในวังไม่ว่าผู้ใดก็มิสามารถไปดูแคลน แม้กระทั่งตัวโง่เขลายังมีวันที่ทำให้รู้สึกเดาไม่ออกคาดมิได้
โลกใบนี้ช่างบ้าคลั่งเกินไปแล้ว
*“กั๋ว” หรือ 国 ใบหน้าคล้ายอักษรกั๋วหมายถึงคนผู้นั้นมีรูปหน้าเหลี่ยมเหมือนตัวอักษรจีน国 นั่นเอง