บทที่ 32 คิดบัญชี
นี่เป็นการระบายความแค้นชัดๆ เฉินหรูอี้ล้วนชัดแจ้งกว่าผู้ใด
แต่ที่นางแน่ใจยิ่งกว่านั่นคือ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ล้วนต้องทนรับกับการบันดาลโทสะขององค์จักรพรรดิให้ได้ แต่บางทีแม่นางหลินอาจจะเป็นข้อยกเว้น
แค่อาจจะเท่านั้นนะ......
ทุกครั้งที่นางต้องทนรับโทสะขององค์จักรพรรดิ นางล้วนจิตนาการไปถึงความดุเดือดราวฟ้าทลายปฐพีลุกเป็นไฟเมื่อแม่นางหลินผู้ไม่คร้ามต่อสงครามใดปะทะองค์จักรพรรดิผู้ง่ายต่อการเดือดดาลบ้าคลั่ง มโนภาพนี้ช่วยรักษาทุกบาดแผลของนางให้หายไปได้
เฉินหรูอี้คิดไปพลางยิ้มไปพลาง กะพริบตาปริบจ้องมององค์จักรพรรดิ มือน้อยของนางนั้นกลับไม่อยู่ว่าง นางหยิบชาพุทราที่เริ่มเย็นแล้วส่งไปตรงหน้าพระพักตร์องค์จักรพรรดิ
“เจิ้นเลื่อนขั้นให้เจ้าเป็นเจาอี๋มิใช่เพื่อให้เจ้าอยู่สุขกินสบายเสพสุขไม่รู้คลาย เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
ทั้งที่กำลังถามไล่เบี้ยนางอยู่ชัดๆ แต่เมื่อเซียวเหยี่ยนเห็นสนมจ้าวที่อยู่ตรงหน้าตนผู้นี้แสดงอาการน้อมรับคำสั่งสอนออกมาด้วยใจจริง เมล็ดพันธุ์แห่งโทสะที่งอกเงยอยู่ในใจก็ค่อยๆ มอดดับลง น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นคล้ายกับกำลังพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับคนรู้ใจก็มิปาน
“เจ้าลองตรองดู เหตุใดเจิ้นถึงให้เจ้าเป็นสนมที่เจิ้นโปรดปราน? ก็เพื่อเจิ้นและเพื่อให้เจ้าคอยกันอยู่ข้างหน้าแม่นางหลิน แม้นเจ้ามิเอ่ยคำพูดใดผู้คนในวังก็ล้วนต้องยำเกรงต่อเจ้า ขอเพียงเจ้าแข็งแกร่ง ผู้อื่นก็จะไม่กล้ารังแกเจ้า เมื่อพวกเขาไม่กล้ารังแกเจ้าถึงคราที่แม่นางหลินเข้าวังมาก็จะมีเจ้าคอยปกป้อง คนพวกนั้นก็จะมิกล้าคิดบัญชีแค้นกับนางแล้ว เจ้าเข้าใจเหตุผลง่ายๆ ข้อนี้หรือไม่? ” เซียวเหยี่ยนนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารราวขุนเขาลูกหนึ่งแล้วเริ่มอธิบายเหตุผลของความจริงทั้งหมดออกมา “อย่างเช่นวันนี้ หากเจ้ามีอำนาจกล้าแข็งแล้วก็จักไม่มีผู้ใดกล้าเป็นศัตรูกับเจ้าและเรื่องราวยุ่งยากเหล่านี้ก็จะไม่ตกมาถึงเจิ้นด้วย”
กล่าวจบก็ยกถ้วยชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง รสชาติเย็นๆ หวานน้อยๆ อารมณ์ก็พลันดีขึ้นทันตา
“ฝ่าบาท เช็ดปากเพค่ะ” เฉินหรูอี้หยิบผ้าเช็ดหน้าที่ยังไม่ได้ใช้ออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นส่งไปตรงพระอุระของพระองค์อย่างไรสุ้มเสียงหากทรงยื่นพระหัตถ์มาก็คว้าได้อย่างง่ายดาย
หลายวันมานี้นางแอบลอบสังเกตจึงพบว่าองค์จักรพรรดิมิได้เป็นเช่นเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ในอดีตพระองค์ชอบการกอดรัดสัมผัสตัว แต่บัดนี้เปลี่ยนไปอย่างตรงกันข้าม พระองค์มิทรงโปรดผู้ใดแตะต้องพระวรกาย ดังนั้นไม่ว่าจะทำอันใดนางล้วนต้องรักษาระยะห่างเอาไว้จะได้มิไปแตะต้องจุดบันดาลโทสะของพระองค์เข้า
เซียวเหยี่ยนรับผ้าเช็ดหน้าไว้แล้วกดซับลงไปบนริมฝีปากตน เพียงยกมือขึ้นก็เห็นสองมือของเฉินหรูอี้คอยรอรับอยู่แล้ว กริยานั้นเป็นไปอย่างธรรมชาติทำให้ผู้คนรู้สึกคล้อยตามอย่างยิ่ง เซียวเหยี่ยนพลันอารมณ์ดีขึ้นทันใด แววตาเผยรอยยิ้มพึงใจออกมา
“อ้ายเฟย คงรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรต่อไป?”
เฉินหรูอี้กลอกกลิ้งลูกตาดำไปมาคล้ายกระต่ายที่ไร้ซึ่งความผิด
“เชี่ยเซินต้องแข็งแกร่งขึ้นมาให้ได้เพคะ”
น้ำเสียงหวานเลี่ยนกว่าชาพุทราเสียอีก น้ำเสียงนั้นฟังอย่างไรก็ดูไร้ซึ่งพลังอำนาจ เซียวเหยี่ยนได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เจ้ามีวิธีร้ายกาจอันใด อย่าได้พูดไปแต่เพียงลมปาก”
เฉินหรูอี้อ้ำอึ้งอยู่ค่อนวัน เดิมทีนางคิดว่าจะแกล้งตามน้ำไป ผู้ใดเลยจะรู้ว่าองค์จักรพรรดิจะคาดคั้นเอาจากนาง สายพระเนตรหรี่ลงเล็กน้อยจับจ้องมองนาง ทำเอาขนในกายนางลุกชี้ชันเกรียวกราว นางรู้ดีว่าไม่อาจหลบเลี่ยงแล้วจึงเลือกคำตอบที่รัดกุมที่สุดตอบอกไปว่า “จิ้งจอกแอบอ้าง...บารมีพยัคฆ์”
“พรืด”
หากมิใช่อยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิมาหลายปีจนฝึกฝนการควบคุมตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม เฉินฮวายคงหลุดพ่นเสียงหัวเราะออกมาแล้ว
สนมจ้าวแห่งตำหนักหมิงกวางผู้นี้ช่างเป็นดั่งที่องค์จักรพรรดิตรัสไว้ไม่มีผิด จะว่าโง่เง่าก็มิใช่จะว่าเจ้าเล่ห์ก็ไม่เชิง ดูแล้วก็เป็นคนเฉลียวฉลาดคนหนึ่ง แต่ไม่ว่าวาจาหรือการกระทำมักแฝงแววโง่เขลาที่ไม่เหมือนใครอยู่เสมอ แต่หากกล่าวว่านางโง่ นางกลับสามารถรับมือกับพระอารมณ์ที่แปรปรวนขององค์จักรพรรดิได้ นับว่านางร้ายกาจไม่เบาทีเดียว
นางปรนนิบัติองค์จักรพรรดิอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ใส่ใจแม้แต่เรื่องเล็กน้อยทำให้องค์จักรพรรดิที่กำลังโกธรกริ้วไม่เพียงแต่ไม่บันดาลโทสะต่อนางซ้ำยังเสวยพระกระยาหารกับนางอย่างเบิกบานพระทัย นางสามารถลูบขนที่พองขู่ขวัญขององค์จักรพรรดิให้ราบเรียบลื่นมือได้ ความสามารถเช่นนี้มิใช่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถกระทำ
เคราะห์ดีที่นางเป็นสตรีทั้งยังอยู่ในวังหลัง หากนางเป็นขันทีเช่นตนแล้วละก็เขาคงถูกช่วงชิงตำแหน่งจนไม่มีที่ยืนไปแล้วเป็นแน่ คิดได้เช่นนั้นเฉินฮวายพลันรู้สึกถึงภัยอันตรายที่แสนหนักหน่วงทะลวงเข้าสู่ใจตนอย่างอย่างประหลาด
เป็นเช่นเขาคาดไว้ไม่มีผิด เฉินฮวายลอบมองรอยพระสรวลที่ยิ่งมายิ่งไม่อาจปิดให้มิดได้นั้น ทรงเกษมสำราญเสียจนต้องปรบพระหัตถ์
“อ้ายเฟยช่างคิดเสียจริง เจ้าเดินมาถูกทางแล้ว!” เซียวเหยี่ยนยิ้มในหน้าแล้วเขยิบกายเข้าใกล้เฉินหรูอี้พลางกล่าวว่า “เจ้าต้องรู้จักวิธีการใช้มันด้วย หากมิชอบผู้ใดก็ใช้บารมีออกไปอย่างส่งเดช แล้วจะต่างอันใดกับสุนัขบ้าที่กัดคนไม่เลือก? ผู้อื่นไม่เพียงไม่กลัวเจ้ายังจะหัวเราะเจ้าอีกด้วย”
“ถูกของฝ่าบาทนะเพคะ” เฉินหรูอี้พยักหน้าตามโดยแรง
“วาจาเจิ้นย่อมต้องถูกต้องอยู่แล้ว”เ เซียวเหยี่ยนเขยิบกายอีกข้างของตนหันมาเผชิญหน้ากับนาง แววตาปรากกฎความตื่นเต้นอันยากจะบรรยาย
“ตีงูต้องตีให้หลังหัก จับโจรต้องจับหัวหน้าโจรก่อน หากต้องการแสดงอำนาจ เจ้าต้องหาคนที่มีบารมีที่สุดในหมู่สนม ถ้าเจ้าสั่งสอนนางได้ผู้อื่นก็จักหวาดกลัวไปด้วย ต่อไปก็จะไม่มีผู้ใดกล้ามายุ่งกับเจ้าอีก มองสิ่งใดให้มองให้ไกลเข้าไว้ เจ้าอย่าได้หยิบลูกพลับอ่อนมาบีบเล่น* เช่นนั้นแม้จะสำเร็จได้โดยง่ายแต่กลับมิได้มีประโยชน์อันใด ”
เซียวเหยี่ยนยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วกล่าวว่า “เจ้าลองคิดดู ผู้ที่อยู่เหนือสนมทั้งหลายแน่นอนว่าต้องเป็นกุ้ยเฟย แต่นางเป็นพระมารดาขององค์ชายใหญ่ ถึงอย่างไรก็ต้องไว้หน้านางบ้าง และบรรดาศักดิ์นางก็สูงกว่าเจ้า อำนาจบารมีย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าเจ้า เจ้ามิอาจขัดขืนต่อนางได้ แต่ที่เหลือล้วนอยู่ต่ำกว่าเจ้า หากเจ้าอยากลงมือก็ต้องกระทำต่อพระสนมเอกขั้นสองที่ให้กำเนิดพระราชธิดาแก่ข้าซึ่งมีบรรดาศักดิ์เช่นเดียวกับเจ้า หรือไม่ก็......สตรีสกุลเฉียน สตรีสกุลเฉียนแม้ยังต่ำศักดิ์ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสนมคนโปรดคนใหม่ของเจิ้นนับว่ามีคุณสมบัติเป็นคู่แข่งเจ้าได้”
สนมโปรดคนใหม่อันใดกัน เฉินหรูอี้ไร้สิ้นเรี่ยวแรงที่จะถกเถียงเรื่องนี้
องค์จักรพรรดิทรงรักษาตนดุจหยกงามเช่นนี้หากผู้ใดพลั้งเผลอแตะต้องพระองค์เข้าล้วนถูกเตะกระเด็นไปไกลสองลี้ทั้งสิ้น คาดว่าสนมเฉียนก็คงมิต่างอันใดกับนาง เป็นเพียงเป้าที่พระองค์ตั้งขึ้น แต่มิทราบว่าพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นอะไรในตัวนาง สุดท้ายจึงได้เลือกนางแทน
แต่ผู้ใดก็ได้โปรดบอกนางทีเถิดว่าเหตุใดองค์จักรพรรดิถึงได้ทรงมุ่งมั่นที่จะสอนนางว่าจะต้องต่อกรกับเหล่าสนมเช่นไร?
มันมาถึงจุดนี้ได้อย่างไรกัน?
ที่แท้นางทำผิดพลาดที่ตรงไหนหรือ ถึงได้รับความไว้พระทัยจากองค์จักรพรรดิ? หากนางยอมเปลี่ยนจะทันหรือไม่?
“อ้ายเฟย อยากลงมือกับผู้ใดก่อน?”
เฉินหรูอี้อยากพ่นโลหิตใส่พระพักตร์องค์จักรพรรดิอย่างบ้าคลั่งเสียจริง แค่กลยุทธ์กำราบเหล่าสนมเท่านั้น เหตุใดพระองค์ต้องทรงสนพระทัยเสียจนแววพระเนตรทอประกายเช่นนั้นด้วย
หรือเป็นเพราะแม่นางหลินเก่งกาจในการทะเลาะวิวาทจึงได้เป็นที่ต้องพระทัยองค์จักรพรรดิผู้ซึ่งมีรสนิยมอันแปลกประหลาดอย่างที่สุดผู้นี้ นางรู้สึกว่าสิ่งที่นางคิดต้องเป็นเรื่องจริงเป็นแน่
“เชี่ย...”
“ไม่ว่าเป็นผู้ใด” มิรอให้เฉินหรูอี้ตอบคำ เซียวเหยี่ยนก็รีบชี้นำอย่างอดรนทนมิได้ “ต้องเลือกที่มีชื่อเสียง และเจ้าต้องมีเหตุผลที่จะเอาผิดกับนาง ต้องจับผิดนางให้แม่นมั่น แม้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ตาม แค่ทำเรื่องเล็กนั้นให้ขยายใหญ่ให้ได้เป็นพอ”
“ฟังผู้รู้เพียงหนึ่งประโยคก็เท่ากับอ่านตำรามาแล้วสิบปี เชี่ยเซิน น้อมรับคำสั่งสอนเพคะ”
เฉินหรูอี้เผยสีหน้าสดใสร่าเริงพร้อมกล่าวว่า “ทุกถ้อยคำของฝ่าบาทล้วนชี้ทางสว่างให้แก่เชี่ยเซิน พระองค์เปรียบดั่งอาจารย์ผู้ชี้แนะแนวทางของเชี่ยเซินก็มิปาน”
เซียวเหยี่ยนส่งเสียง “ฮึ” เบาๆ คราหนึ่ง ยกมือขึ้นตบศีรษะนางทีหนึ่ง “ปีศาจยกยอ”
เหลือเกินเลยจริงๆ!
เฉินฮวายมิอาจทนมองคู่องค์จักรพรรดิเจ้าเล่ห์และพระสนมตัวร้ายได้ต่อไป พระองค์ทรงรู้ชัดๆ ว่านางเป็นปีศาจยกยอ เหตุใดต้องทำท่าทางคล้ายกับว่า “เจ้าทำได้ดีมาก จงยกยอต่อไป” เช่นนั้นอีกเล่า?
เขาอยู่ในวังมายี่สิบปีก็มิเคยได้เห็นมิเคยได้ยินว่ามีจักรพรรดิที่คอยสั่งสอนพระสนมตนว่าต้องคิดบัญชีกับผู้อื่นเช่นไร คล้ายดั่งว่าหากวังหลังมิลุกเป็นไฟก็จะไม่รามืออย่างเด็ดขาด
แล้วสนมผู้นี้ก็มิใช่ตะเกียงไร้น้ำมันเสียด้วย หากนางก่อเรื่องขึ้นมาใต้หล้าคงวุ่นวายเป็นแน่...
องค์จักรพรรดิและสนมที่สาดแสงทอประกายคู่นี้ลืมเลือนเขาไปจนหมดสิ้น เหตุใดเขาถึงเคราะห์ร้ายจนแผ่นดินต้องสั่นไหว ภูตพรายต้องหลั่งน้ำตาเช่นนี้
เฉินฮวายเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ละครฉากใหญ่แห่งราชวงศ์จิ้นกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
*ลูกพลับอ่อน หมายถึงคนโง่เขลา หรือคนไร้ความสามารถ