บทที่ 33 ผู้เคราะห์ร้าย
เฉินหรูอี้พำนักอยู่ที่ตำหนักฉางเล่อต่อไปอีกสองคืน องค์จักรพรรดิทรงคิดว่าได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้นางไปพอสมควรแล้ว จึงถีบนางกลับไปยังตำหนักหมิงกวางเช่นเดิม
เพียงแต่เมื่อนางกลับมาแล้วนั้น องค์จักรพรรดิกลับส่งเฉินฮวายมาจับตาดูความคืบหน้าภารกิจกวาดล้างวังหลังที่พระองค์ทรงมอบให้เฉินหรูอี้จัดการอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ทุกครั้งก็มิได้อันใดกลับไป ผ่านไปไม่ถึงสามวันองค์จักรพรรดิก็ทรงกริ้วขึ้นมาอีกจึงให้เฉินฮวายมาถ่ายทอดวาจาที่พระองค์มิทรงพอพระทัยต่อนางอีกรอบ
เฉินหรูอี้กลับไร้วาจาใด
เฉินหรูอี้สามารถนึกภาพพระพักตร์ที่ทรงกริ้วโกรธขององค์จักรพรรดิได้อย่างชัดเจน แต่จากที่นางเคยได้ฟังวาจาที่พระองค์ทรงตรัสสั่งสอนต่งกุ้ยเฟยกับหูตนเองมาแล้วนั้น นางคิดว่าองค์จักรพรรดิทรงรู้สึกว่าพระองค์สนิทสนมกับนางแล้วจริงๆ เพราะพระองค์เพียงตำหนิว่านางเป็นผู้ที่ผลักดันอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ เป็นโคลนเหม็นที่ไม่อาจเหนียวติดกำแพงได้เท่านั้นเอง แค่นี้นางทนรับได้
นางแค่มิเข้าใจว่าองค์จักรพรรดิจะทรงรีบร้อนไปไย?
เพิ่งผ่านมาเพียงสามวันเท่านั้น แม้ใส่เหยื่อตกปลาล้วนยังต้องรอเวลา เหล่าสนมในวังหลังยิ่งไม่ต้องพูดถึง แม้มองดูแล้วคล้ายไก่ชนที่บ้าคลั่ง แต่บัดนี้นางกำลังเป็นที่โปรดปรานอย่างที่สุด สนมเหล่านั้นต้องถูกลาเตะเข้าที่หัวตั้งแต่เด็กไปกี่ครากันถึงจะได้ไร้ซึ่งหัวคิดขนาดกล้าระบายโทสะกับนาง เป็นปฏิปักษ์ต่อนาง
แม้แต่กรมวังที่มักกระทำการเชื่องช้า สิ่งของอันใดส่งให้ตำหนักหมิงกวางล้วนตกหล่นนั้นยังเปลี่ยนท่าที บัดนี้ล้วนมิกระทำการล่าช้าแล้ว หากมีสิ่งของใดล้วนรีบเร่งส่งมายังตำหนักหมิงกวาง ของกินใดๆ ล้วนสะอาดสดใหม่ เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนเป็นชุดใหม่ทั้งที่ฤดูกาลยังมิทันเปลี่ยนด้วยซ้ำ จะให้นางหาข้อบกพร่องออกมานั้นช่างยากดุจปีนขึ้นสวรรค์
วันเวลาในตำหนักหมิงกวางในเวลานี้นั้นคือวันฟ้าใส เพราะแม้เรื่องราวเล็กน้อยอันใดล้วนไม่มีให้นางต้องรำคาญใจ
ต่งกุ้ยเฟยถูกองค์จักรพรรดิตำหนิไปครานั้นแม้ไม่มีข่าวแพร่สะพัดออกไปแต่คาดว่านางคงเจ็บปวดใจไม่น้อยจึงงดการไปเยี่ยมคารวะของเหล่าสนม เอาแต่เก็บตนมิพบผู้ใด
ในวังหลังแห่งนี้เฉินหรูอี้ไม่มีสหายเลย หากมิไปตำหนักหย่งโซ่วโอกาสที่นางจะได้พบกับพระสนมอื่นๆ ล้วนเป็นศูนย์
อาจกล่าวได้ว่าต่งกุ้ยเฟยนั้นเที่ยวสร้างศัตรูส่งเดชจึงตัดทางเดินในวันหน้าของตนอย่างมิทันได้รู้ตัว
เฉินหรูอี้เป็นผู้ที่องค์จักรพรรดิเลือกแล้วแม้จะมิใช่ความต้องของนางก็ตาม แต่ในเมื่อถูกเลือกมาแล้ว ไม่ว่านางยินยอมก็ดีหรือถูกบังคับก็ช่าง นางก็ทำได้เพียงเดินไปบนเชือกเส้นเดียวกันกับองค์จักรพรรดิเท่านั้น มิเช่นนั้นนางล่วงรู้ความลับที่ไม่อาจเปิดเผยขององค์จักรพรรดิตั้งมากมาย หากมิถูกฆ่าปิดปากก็คงถูกยัดเข้าไปอยู่ตำหนักเย็นเป็นแน่
ทั้งสองทางนี้นางล้วนมิอยากเดิน ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงหยัดยืนอยู่เคียงข้างองค์จักรพรรดิคอยรับใช้พระองค์
.......นางทำกรรมอันใดไว้ เหตุใดถึงได้ฟื้นคืนมาในราชวงศ์จิ้นถึงสามครั้งสามครา
เฉินหรูอี้เอนตัวนอนบนเก้าอี้คนงามยื่นมือออกไปคว้าเอาผลองุ่นเข้าปากด้วยความกลัดกลุ้ม
“พระสนม” อยากจะห้ามแต่ก็หยุดไว้ นี่เป็นจานที่สี่แล้ว หากนับดูก็เป็นครึ่งตะกร้าแล้ว ไม่ทราบว่าพระสนมของนางเป็นอันใดไปแล้วถึงได้ถือจานคว้าองุ่นกินไม่หยุดมือ ไม่กลัวท้องเสียหรืออย่างไร....
“หืม?”
เฉินหรูอี้ยกคิ้วขึ้นด้วยงุนงงทั้งใคร่รู้ “เหตุใดถึงได้อ้ำๆ อึ้งๆ มีอันใดก็พูดมา เจ้าสองคนเป็นอันใดกัน....อย่างมากก็แค่หักเบี้ยหวัด”
หยวนเป่ารู้สึกมืดมนขึ้นในหัวโดยพลัน แค่นี้โดนหักไปจนถึงวันตรุษแล้ว พระสนมของนางมิต้องเข้มงวดกวดขัน แบ่งแยกความสัมพันธ์กับหน้าที่ชัดเจนถึงเพียงนี้ได้หรือไม่
“พระสนมมีเรื่องกลัดกลุ้มอันใดหรือเพคะ?” นางเอ่ยถาม
เฉินหรูอี้ถอนหายใจยาวเหยียด ยังมิทันเอ่ยปากก็เห็นหยวนสี่พาขันทีน้อยรีบร้อนเดินเข้าตำหนักมา ขันทีน้อยนั้นดูคุ้นตาอยู่หลายส่วน ใบหน้าสะอาดหมดจด นางจำได้แล้วเขาเป็นขันทีที่องค์จักรพรรดิมักเรียกใช้อยู่ประจำ จึงทรงพระราชทานนามเขาว่า “เฉินเต๋อฝู”
เฉินเต๋อฝูหน้าตาดูร้อนรน เอ่ยเสียงค่อนข้างแหลมสูงว่า “กระหม่อมได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิให้มาเชิญพระสนมรีบเร่งรุดไปที่อุทยานหลวงพะย่ะค่ะ ”
หยวนเป่าเหลือบมองพระสนมตน ไหนเลยจะมีท่าทางเกียจคร้านเช่นเมื่อครู่ นางผุดลุกขึ้นนั่งทันทีแล้วจุ่มมือลงไปในอ่างน้ำ แม้แต่อาภรณ์ก็มิผลัดเปลี่ยน ลูบผมไปมาเพื่อจัดทรงแล้วรีบขึ้นเกี้ยวอ่อนตำหนักตนเร่งรุดไปยังอุทยานหลวง
ความเร็วขั้นนี้ทำเอาหยวนเป่าแทบลมจับ คล้ายเดินตามสุนัขป่าไม่มีผิด พระสนมทรงมิใส่ใจต่อกิริยาที่สตรีควรมีเช่นนี้ดีแล้วหรือ?
เวลานี้เป็นยามบ่ายพอดี พระอาทิตย์แผดแสงแรงกล้า เฉินหรูอี้ที่นั่งอยู่ในเกี้ยวร้อนเสียจนเหงื่อไหลซึมไปทั่วทุกอณู
เมื่อถึงอุทยานหลวง นางมองเห็นนางกำนัลขันทียืนเป็นแถวสองแถวอย่างเป็นระเบียบอยู่ริมสระไท่เยมาแต่ไกล องค์จักรพรรดิคล้ายดั่งดวงแขท่ามกลางหมู่ดาราทั้งซ้ายขวาห้อมล้อมอยู่ด้วยสนมสี่ห้าคน ทุกๆ นางล้วนส่งสายตาดั่งคนบ้า ทำกิริยาทุกวิธีเพื่อยั่วยวนพระองค์ ใบหน้าพวกนางไม่อาจอยู่นิ่งได้ล้วนแต่จะถลาเข้าใส่องค์จักรพรรดิ
องค์จักรพรรดิทรงแย้มพระสรวลด้วยท่าทางพอพระทัยอย่างยิ่งคล้ายตกอยู่ในภาพฝันอันงดงาม
เฉินหรูอี้ขวัญหนีดีฝ่อขึ้นมาโดยพลัน เมื่อเห็นองค์จักรพรรดิทรงพระสรวลคราใด ใจนางก็อดหวั่นไหวหวาดกลัวไม่ได้เสียที นางคงมิอาจรักษาโรคนี้ให้หายได้กระมัง
แต่ภาพความจริงตรงหน้าบอกนางว่าหากองค์จักรพรรดิทรงพระสรวลอย่างเบิกบานพระทัยเช่นนี้จักต้องมีคนเคราะห์ร้ายอย่างแน่นอน ได้แต่หวังว่า คนผู้นั้นจะมิใช่นาง
“ถวายพระพรฝ่าบาท” นางเร่งฝีเท้าเร็วรี่ไปยังเก๋งจีน ยังมิทันย่อกายถวายพระพรก็ถูกองค์จักรพรรดิประคองให้ลุกขึ้นเสียแล้ว หากแต่จะประคองก็ประคองเถิดไยต้องลูบไล้มือนางด้วย เช่นนี้หมายความว่ากระไร?
เฉินหรูอี้เกิดสับสนขึ้นในใจ เหตุใดราชวงศ์จิ้นในยามนี้ถึงนิยมลูบไล้ฝ่ามือกัน มีเรื่องอันใดพูดออกมาเลยมิได้หรือ?
“เจิ้นกับอ้ายเฟยช่างมีวาสนาต่อกันยิ่งนัก แค่ออกมาเดินเล่นเท่านั้นกลับบังเอิญพบหน้ากัน” เซียวเหยี่ยนยิ้มกว้างเผยให้เห็นไรฟันขาวสะอาดเรียงเป็นระเบียบสวยงาม
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วเฉินหรูอี้ยังมีจะอันใดไม่เข้าใจอีก
ลับหลังนั้นองค์จักรพรรดิให้คนไปเรียกนางมา แต่เบื้องหน้ากลับทำให้คนเข้าใจว่าเมื่อนางทราบข่าวว่าพระองค์ทรงเสด็จมาที่นี่จึงรีบเร่งรุดมาเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของในทันใด เห็นชัดว่าทรงใช้องค์เองเป็นเหยื่อล่อแล้วเฝ้าคอยจับจ้องมองนาง เพื่อให้นางแสดงอำนาจบารมีโดยมีพระองค์คอยตรวจสอบอย่างชิดใกล้
“อากาศร้อนยิ่ง เชี่ยเซินจึงออกมาเล่นที่อุทยานหลวงเพคะ” เฉินหรูอี้กัดฟันพูดไม่แม้นจะไยดีว่าเหล่าสนมที่อยู่ภายในเก๋งจีนนั้นมีอารมณ์เช่นไร นางเพียงใช้สายตากลมโตดำขลับนั้นจ้องมององค์จักรพรรดิ “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าพระองค์ก็ทรงคิดเช่นเดียวกัน ใจเราช่างตรงกันเสียจริง”
เสียงของสนมจ้าวเดิมทีก็หวานปานน้ำผึ้งอยู่แล้ว เมื่อเฉินหรูอี้เติมจริตเข้าไปเพียงนิดก็ทำให้บรรดาสนมต่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยริษยา เคราะห์ดีที่ไม่มีผู้ใดอาเจียนออกมา
ใจตรงกันเสียที่ไหน ทั้งหน้าแดงทั้งเหงื่อไคลไหลซึมเต็มใบหน้า เห็นชัดว่าพอทราบข่าวว่าองค์จักรพรรดิเสด็จมาที่อุทยานหลวงก็รีบรุดมาที่นี่ทันที วันๆ เอาแต่ยึดครององค์จักรพรรดิไว้แต่เพียงผู้เดียว ครั้นพวกนางบังเอิญพบพระองค์ที่ทรงเสด็จมาเดินเล่นเข้า กลับทำตนดั่งสุนัขหวงก้างรีบร้อนมาประกาศสิทธิ์ความเป็นเจ้าของกระนั้น? คิดว่าองค์จักรพรรดิเป็นของนางคนเดียวแต่ผู้อื่นโลภอยากได้ของนางอย่างนั้นหรือไร ?
“ฝ่าบาทกับพี่สาวน้องสาวทรงเล่นอันใดกันหรือเพคะ? เชี่ยเซินเห็นพระองค์ทรงสำราญพระทัยยิ่งนัก” เฉินหรูอี้เอ่ยถามพลางยิ้ม
เซียวเหยี่ยนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมายิ้มนัยน์ตาหยีแล้วเช็ดหน้านางอย่างเบามือ แววตานั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน หากเป็นผู้มิรู้ความคงคิดว่าพระองค์ทรงโปรดปรานนางจริงๆ
เฉินหรูอี้กลับขนลุกขนพองด้วยความตกใจ นางยืดแผ่นหลังตรงไม่กล้าแม้แต่ขยับเขยื้อน
“เมื่อครู่ชิงชิงบอกว่านางฝึกระบำท่าใหม่มาจึงอยากแสดงให้เจิ้นชม เจิ้นจะบอกอะไรเจ้าอย่างนะ ท่วงท่าการร่ายรำของชิงชิงนั้นงดงามอย่าบอกใครเชียว”
เฉินหรูอี้ยกคิ้วขึ้น นางมิรู้ว่าผู้ใดคือชิงชิง ทว่าผู้ที่เอาแต่ร้องเรียกให้องค์จักรพรรดิชมการเต้นระบำของนางนั้นก็น่าจะเป็นสนมเฉียน เพียงแต่นางมิเคยได้ยินว่าสนมเฉียนร่ายรำนั้นมีท่วงท่าเช่นไรแต่นางกลับจำได้แม่นว่าสนมเฉียนผู้นี้เป็นหนึ่งในคู่แข่งที่องค์จักรพรรดิเสนอให้นางลงมือปฏิบัติภารกิจ
“ที่แท้ชิงชิงก็คือพระสนมเฉียนนั่นเอง” นางพยักหน้าน้อยๆ พลางยิ้มระรื่น
ตั้งแต่ที่เฉินหรูอี้เดินเข้ามาในเก๋งจีนแห่งนี้ สายพระเนตรขององค์จักรพรรดิก็มิเคยละไปจากนางเลย สนมเฉียนเก็บกดโทสะไว้นานแล้วจึงเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า
“ชิงชิงเป็นนามที่ฝ่าบาทประทานให้ข้า ฝ่าบาทตรัสว่า...”
“ข้า?” เฉินหรูอี้หัวเราะ
นางกำลังกลัดกลุ้มว่าจะทำภารกิจที่พระองค์มอบหมายให้ลุล่วงไปได้อย่างไร โดยเฉพาะยามนี้ ต่อหน้าพระพักตร์องค์จักรพรรดิ พระสนมทุกคนล้วนกิริยางดงามทำตามประเพณีทุกกระเบียด ต่อให้เป็นนางสิงห์ก็ล้วนเก็บซ่อนกรงเล็บไว้อย่างมิดชิด ไม่ง่ายเลยที่จะหาข้อตำหนิของพวกนาง แต่มิคาดฝันว่าจะมีคนผู้หนึ่งวิ่งเข้าชนร่างนางดั่งไม่มีตาทั้งยังเผยแววท้าทายอยู่เต็มหน้า
“คราก่อนที่ข้าสั่งสอนน้องสาวไป น้องสาวจำมิได้แล้วหรือ? อยู่ในวังต้องทำตามกฎระเบียบ จะเรียกขานกับฝ่าบาทว่า “ข้าข้าเจ้าเจ้า” เช่นนี้สมควรหรือไร?”
“ยามอ้ายเฟยโมโหนั้นช่างงดงามเสียจริง” เซียวเหยี่ยนใช้มือขวาวางลงบนไหล่ของเฉินหรูอี้ ยิ้มพลางกล่าวว่า “อย่าได้ตำหนิชิงชิงเลย เป็นเจิ้นเองที่อนุญาตให้นางเรียกขานว่า “ข้า เจ้า”ได้ หากเมื่ออยู่กันตามลำพัง ”
เฉินหรูอี้อึ้งไปในบัดดล นางอยากจะฉีกดวงหทัยขององค์จักรพรรดิเสียจริง
ไม่ง่ายเลยที่จะมีนกโง่เขลากระโดดออกมาให้จัดการ เหตุใดต้องเพิ่มความลำบากให้นางด้วย