บทที่ 34 สนมโปรดคนใหม่ปะทะสนมโปรดคนเก่า

บทที่ 34 สนมโปรดคนใหม่ปะทะสนมโปรดคนเก่า

เซียวเหยี่ยนคิดว่าตนต้องตาฝาดไปเองเป็นแน่ มิเช่นนั้นพระองค์คงมิเห็นแววดูแคลนฉายชัดอยู่ในดวงตาของสนมจ้าวที่ว่านอนสอนง่ายทั้งยังชอบยกยอผู้นั้นเป็นแน่

หรือพระองค์จะดูนางผิดไป?

สนมจ้าวของพระองค์ไม่มีความกล้ามากพอที่จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นคอหรือศพสลายหายไปดั่งผงธุลีเช่นนี้เป็นแน่ จึงได้ปกปิดความคิดที่มีต่อพระองค์ไว้อย่างมิดชิด

เฉินหรูอี้รู้สึกเพียงว่าถูกแรงอันมหาศาลบีบคางตนไว้แล้วบังคับให้นางหันกลับไปประจันหน้ากับองค์จักรพรรดิ

ยินเสียง “ฮึ” อย่างเย็นชาของบรรดาสนมลอยแว่วอยู่ข้างหู

องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรมองนางคล้ายแย้มพระสรวลและทรงไม่คล้ายแย้มพระสรวล สายพระเนตรเย็นชายิ่ง แต่ในสายตาผู้อื่นคงมองว่าเป็นการแสดงความรักวิธีหนึ่ง มีเพียงเฉินหรูอี้เท่านั้นที่รู้ว่าพลังของนิ้วมือทั้งสองนั้นมีมากเพียงใด หากพลั้งมือไปกระดูกคางของนางคงแตกละเอียดเป็นแน่

“ฝ่าบาท”

เฉินหรูอี้มิเข้าใจว่าองค์จักรพรรดิไม่พอพระทัยอันใด สายลมเย็นเยียบสายหนึ่งพัดวูบผ่านไปพาให้ขนในกายนางลุกชี้ชัน

ผู้ใดบอกนางได้บ้างว่านางทำอันใดให้พระองค์ทรงกริ้ว พระองค์ถึงได้พองขนใส่นางขึ้นมาทั้งที่อยู่ต่อหน้าสนมทั้งหลาย

หรือว่านางเข้าใจผิด พระองค์มิได้ประสงค์ให้นางลงมือจัดการวิหคโง่เง่าเช่นสนมเฉียน เมื่อครู่เป็นการเอ่ยปกป้องอย่างแท้จริง ที่นางคิดว่าพระองค์ทรงเจตนายกยอสนมเฉียนขึ้นเพื่อให้นางแสดงอำนาจอันยิ่งใหญ่ของตนนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด

“พี่สาวน้องสาวอยู่กันตั้งมาก ฝ่าบาททรงคิดจะทำอันใดเพคะ?” นางหัวเราะแห้งผากพลางยื่นมือไปสัมผัสข้อพระหัตถ์ของพระองค์ ปัดไปทีหนึ่งกลับไม่เขยื้อน จึงปัดอีกที องค์จักรพรรดิยังคงมิได้ขยับแต่ประการใด คล้ายจะบีบจนฟ้าถล่มดินทลายกระนั้น

หากว่านางเข้าใจพระราชประสงค์ของพระองค์ผิดไปแค่ตรัสมาเพียงคำ หรือส่งสายพระเนตรก็ย่อมได้ เหตุใดจึงผลีผลามลงไม้ลงมือเช่นนี้? ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็ถือว่าเป็นคนของพระองค์ จะหักหน้ากันให้ได้หรืออย่างไร?

“ฝ่าบาททรงมีพระทัยเมตตาต่ออิสตรี จึงตำหนิว่าเชี่ยเซินกล่าวสั่งสอนน้องเฉียนหนักเกินไป?” ในน้ำเสียงนุ่มนวลของเฉินหรูอี้แฝงไปด้วยความแง่งอนสายหนึ่ง มีเพียงเซียวเหยี่ยนที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้นที่มองเห็นแววหวาดกลัวและสำนึกผิดในดวงตานาง คล้ายลูกแมวที่รีบร้อนออดอ้อนให้เจ้าของลูบขนมันก็มิปาน

หรือตนเข้าใจผิดไปเอง?

“อ้ายเฟยหึงงั้นหรือ?” เซียวเหยี่ยนค่อยๆ ถอนนิ้วมือจากคางนาง พลิกมือลงมากุมมือน้อยๆ ของนางไว้ นัยน์ตาหงส์ยิ้มระรื่น ท่าทางคล้ายเบิกบานอย่างที่สุดประหนึ่งผู้ที่บีบคางนางจนกระดูกแทบแตกมิใช่เขาอย่างไรอย่างนั้น

“เจิ้นชอบยามเจ้าหึงเป็นที่สุด น่ารักเสียจริง”

เหล่าสนมล้วนรู้สึกขนลุกขนพอง แววตาอิจฉาริษยาแค้นเคืองดุจดาบแหลมคมพุ่งทะลวงเข้าใส่ร่างเฉินหรูอี้

เฉินหรูอี้นับถือองค์จักรพรรดิพระองค์นี้จริงๆ ทรงมีโทสะก็บันดาลโทสะ นางยังมิทันเข้าใจว่าโกรธเคืองด้วยเรื่องอันใด พระองค์ก็ทรงคลายโทสะ....พระองค์จะเป็นปกติกว่านี้มิได้เชียวหรือ? ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย คงมีเพียงพยาธิในพระอุทรเท่านั้นที่ทราบว่าข้างในบรรจุน้ำเสียไว้มากเพียงใด ทั้งยังกล่าวว่านางหึงได้น่ารัก นางอยากเห็นเหลือเกินว่าหากแม่นางหลินเกิดหึงขึ้นมา พระองค์จะได้รู้เสียทีว่าอันใดที่เรียกว่า “น่ารัก”

โบราณกล่าวว่า :คนร้ายมักถูกคนร้ายกว่าทรมาน

นางจะคอยดูว่าพระทัยที่ชมชอบสร้างเรื่องปั่นป่วนของพระองค์จะดำรงอยู่ไปได้สักกี่ปี ให้แม่นางหลินมาช่วยขัดเกลาเสียบ้างเช่นนี้จึงจะเรียกว่าขจัดภัยให้ปวงชน

“เชี่ยเซินอบรมน้องเฉียนก็เพราะหวังดีต่อนาง จะว่าหึงได้อย่างไรเล่าเพคะ?”

เฉินหรูอี้หัวเราะไปพลางหันหน้าไปทางสนมเฉียน ด้วยคิดว่าว่าตนอาจเข้าใจในพระราชประสงค์ขององค์จักรพรรดิผิดไป จึงได้ตบแต่งคำพูดใหม่ให้สวยงาม แต่กลับพบดวงตางามของสนมเฉียนจ้องถลึงมองตนอยู่ สายตานางคล้ายจะเขมือบนางเข้าไปทั้งตัว

“แม้แต่ฝ่าบาทยังทรงอนุญาตข้า แล้วเหตุใดสนมจ้าวต้องอวดเบ่งบารมี เพราะมิชอบข้าใช่หรือไม่ ถึงได้หาเรื่องข้าอยู่ร่ำไป?”

เฉินหรูอี้ตะลึงงันไป วาจานี้หากพูดด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจและบีบน้ำตาคล้ายจะร้องไห้คล้ายมิร้องไห้ เช่นนั้นอาจทำให้คนรู้สึกน่าสงสาร แต่สนมเฉียนกลับเถียงคำหูตาชูชัน แสดงอำนาจบาตรใหญ่ดุจกลืนกินหุบเขาแม่น้ำมาก็มิปาน

ที่ควรเรียกว่าอวดเบ่งบารมีคือนางต่างหาก

เนื่องด้วยมีประสบการณ์จากเรื่องของแม่นางหลินทำให้เฉินหรูอี้มิอาจเข้าใจในความคิดขององค์จักรพรรดิ บางทีพระองค์อาจจะสนพระทัยสนมเฉียนที่มีอุปนิสัยคล้ายแม่นางหลินอยู่ก็เป็นได้ นางจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอันใด แต่เมื่อหันไปสบพระเนตรขององค์จักรพรรดิเพื่อหยั่งเชิงกลับเห็นพระองค์คล้ายตั้งตารอดูละครฉากสนุก ทรงเหลือบมองนางคล้ายทรงแย้มพระสรวลคล้ายไม่ทรงแย้มพระสรวล ยามนั้นนางจึงเข้าใจได้ทันที

การบันดาลโทสะอย่างฉับพลันเมื่อครู่นี้ขององค์จักรพรรดิต้องมิใช่เพราะทรงกริ้วที่นางกลั่นแกล้งสนมเฉียนเป็นแน่

ด้วยฉุกละหุกนางจึงมิทันได้คิดแผนใดมีเพียงสายตาดุจฝ่ามือของสนมเฉียนเงื้อฟาดลงไปบนหน้านาง หากแม้แต่ตอบโต้กลับนางยังไม่ทำ คาดว่าไม่นานนางคงถูกองค์จักรพรรดิปลดระวาง

“ฝ่าบาททรงอนุญาตให้เรียกขาน “ข้า” กับ “เจ้า”ก็ต่อเมื่ออยู่กันตามลำพัง แล้วยามนี้มีพี่สาวน้องสาวอยู่กันเต็มไปหมด ทุกคนล้วนรักษากฎระเบียบอย่างเคร่งครัดแต่เหตุใดเจ้าต้องทำตนให้พิเศษกว่าผู้อื่น? ” มุมปากเฉินหรูอี้ยกขึ้นยิ้มเย็นคราหนึ่ง

อาจเห็นว่านางเอาพระทัยองค์จักพรรดิสารพัดดูไร้พิษสง ในอดีตนางก็เป็นถึงเฉินหวงโฮ่วผู้ดูแลทั้งวังหลัง แค่ท่าทางและวาจามิรู้ความ เช่นนี้เพียงกะพริบตานางก็สามารถจัดการได้

นางยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่ให้เวลาสนมเฉียนได้ตอบกลับก็กล่าวว่า “ในอดีตเจ้าเป็นนางระบำของหอสุขสันต์ ไม่ทราบกฎระเบียบก็มิเป็นไร เมื่อองค์จักรพรรดิรับเจ้าเข้าวังมาแล้ว เจ้าก็ควรระมัดระวังการกระทำ รักถนอมตนให้มาก เจ้ามิรู้กฎเกณฑ์ ผู้อื่นสั่งสอนเจ้าด้วยเจตนาดีเจ้าก็แค่รับไว้ แต่เจ้ากลับไม่เพียงไม่รับซ้ำยังกล่าวโทษว่าข้าเจตนากลั่นแกล้งเจ้า...เคราะห์ดีที่ยามนี้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ พระองค์ได้ทรงประจักษ์ด้วยองค์เอง หากพระองค์มิได้อยู่ที่นี้แล้วเรื่องราวแพร่ออกไป คงได้ลือกันว่าข้านั้นแสดงอำนาจบาตรใหญ่”

ครั้นนางกล่าวจบ ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเงียบลง

ใบหน้าของสนมเฉียนทั้งขาวซีดทั้งเขียวคล้ำ นิ้วมือจิกลงไปในฝ่ามือ คล้ายปอดภายในจะระเบิดออกสิ้น

ตั้งแต่ที่นางถูกแต่งตั้งให้เป็นฉายเหริน บรรดาสนมล้วนไม่มีผู้ใดไม่กล่าวว่าประวัตินาง ต่อให้เกินไปอย่างไรก็ยังมีแค่พวกนาง แต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าพระสนมผู้ดูอ่อนนุ่มและมีจริตจะก้านจะฝีปากคมกล้าปานนี้ ถึงกับกล้าดูแคลนชาติกำเนิดนางต่อหน้าพระพักตร์ นางจึงหน้าเปลี่ยนสีลงโดยพลัน

“ต่อให้ข้าชาติกำเนิดต่ำต้อยกว่านี้ ถึงอย่างไรก็เป็นสนมที่องค์จักรพรรดิทรงแต่งตั้ง เหตุใดพระสนมจ้าวจึงต้องเอาเรื่องฐานะของข้ามาพูดด้วย?”

สนมเฉียนใบหน้าแข็งค้างดุจศพก็มิปาน มีเพียงตากลมโตวาวโรจน์ดั่งกำลังพ่นไฟใส่ผู้อื่น “หากพูดถึงชาติกำเนิดของพระสนมเองก็มีได้สูงส่งอันใด? ท่านเองเริ่มแรกก็เป็นเพียงนางกำนัลของตำหนักหมิงกวางเท่านั้น”

“ข้ามิเคยปฏิเสธว่าข้าเคยมีฐานะเป็นนางกำนัลมาก่อน” เฉินหรูอี้เอ่ยเสียงแผ่วเบา “น้องเฉียน เจ้าช่างชอบกล่าวหาผู้อื่นเป็นที่สุด เรากำลังคุยกันเรื่องชาติกำเนิดหรือ? หรือว่าเจตนาเดิมของข้าที่อยากให้เจ้าทำตามกฎระเบียบ เรียนรู้กฎวัง เจ้ากลับไม่เข้าใจในจุดนี้เลย? ”

“เจ้าฟังไม่รู้ความหรือแกล้งไม่รู้ความกันแน่?” เฉินหรูอี้เอ่ยถาม

บรรดานางพระสนมล้วนตื่นเต้นกันใหญ่ แววตาเปล่งประกายทอแสงวิบวับจับจ้องการถกเถียงอันออกรสออกชาติระหว่างสนมใหม่ที่องค์จักรพรรดิทรงโปรดปรานและสนมเก่าที่พระองค์ทรงรักใคร่จนดวงตาแทบถลนออกมานอกเบ้า

สตรีสนทนากันนั้นหาสาระอันใดไม่ได้ บางทีก็แค่เพียงลับฝีปากกันเท่านั้น ไม่มีผู้ใดยอมกัน หากอยู่กันตามลำพังล้วนไม่มีผู้ใดเกรงกลัวผู้ใด

มิใช่แค่เรื่องที่ต้องรักษากิริยาเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ แต่ไม่ว่าสตรีนางใดล้วนอยากให้องค์จักรพรรดิประทับใจในตน หากเสแสร้งก็ต้องแสร้งเป็นสตรีผู้เรียบร้อยเพียบพร้อม สำเนียงภาษาบ้านตนล้วนต้องเก็บกลืนไว้ใช้เพียงภาษาทางการเท่านั้นเมื่อจำนรรจา พวกนางแม้นในฝันก็มิอาจคิดว่าสนมซึ่งเป็นที่โปรดปรานทั้งสองจะเกิดการปะทะกันถึงขั้นแตกหัก ฉีกหน้ากันยับเยินแล้วมิพอยังลงมือห้ำหั่นกันต่อไปอีก

คล้ายกลับว่าหากมิสิ้นใจก็จักฉีกหน้ากันต่อไปไม่จบสิ้น