บทที่ 25 ทุกข์เพราะรัก
เฉินหรูอี้นั่งลงข้างจักรพรรดิจางเหออย่างระมัดระวังโดยตำแหน่งนั้นได้จัดวางสำรับอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว ป้านสุราล้วนบรรจุสุราไว้จนเต็ม คราที่นางนั่งลงได้เผลอขยับไปชนขอบโต๊ะเบาๆ ทีหนึ่งทำให้สุราที่บรรจุอยู่เต็มนั้นกระฉอกออกมาจากป้านสุราเล็กน้อย
หากมิใช่เกรงว่าเมื่อนางดื่มสุราเมามายแล้วจะเสียกิริยาให้จักรพรรดิจางเหอต้องมาคิดบัญชีกับนางทีหลัง นางก็อยากจะร่ำสุราให้ตนเมาคว่ำไปเสียก่อนจริงๆ
นางนั่งก้นยังมิทันอุ่นด้วยซ้ำแต่กลับเหลือบเห็นจักรพรรดิจางเหอทรงดื่มสุราไปสามจอกติดกัน แม้นโคดื่มน้ำก็มิอาจเทียบพระองค์
ไม่รู้ด้วยฝังใจกับวาจาอันสะเทือนเลื่อนลั่นของสนมจงมากเกินไปหรือไม่ ทำให้ยามนี้นางเพียงเหลือบแลไปยังองค์จักรพรรดิจางเหอกลับเห็นเครื่องหมายคำถามแกว่งไกวไปมาเหนือมงกุฎทองที่ส่องประกายแวววาวนั้น
บัดนี้ในสายตานางนั้นจักรพรรดิจางเหอคล้ายดั่งเครื่องหมายคำถามที่มีชีวิต
“อ้ายเฟย” เซียวเหยี่ยนยกจอกสุราขึ้นพลางหรี่ตามองเฉินหรูอี้ คิ้วเข้มขมวดแน่น “เหตุใดนั่งลงแล้วจึงไม่พูดจา? หรือมิยินดีอยู่เป็นเพื่อนเจิ้น? เจิ้นดื่มสุรามากมายเช่นนี้เจ้ายังมิใส่ใจจะถามเจิ้นเลยหรือว่าเจิ้นกลุ้มใจเรื่องใด เจ้าทำหน้าที่สนมรักมิเต็มที่เอาเสียเลย”
หากนางยอมรับไปตามตรงว่าไม่อยากอยู่ด้วย องค์จักรพรรดิก็จะปล่อยนางกลับไปงั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงนางจะสะบัดศีรษะราวลูกเป็ดแล้วรีบเผ่นออกไปทันที
เฉินหรูอี้เริ่มร้องบทเพลงโศกศัลย์ที่ไม่เป็นทำนองเท่าใดนักให้แก่ตนเองอย่างเงียบๆ ปั้นหน้าแย้มยิ้มดูไร้ซึ่งพิษสงใดๆ แล้วกล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยนว่า “ฝ่าบาททรงกังวลพระทัยในเรื่องใดหรือเพคะ? หากเป็นการบริหารราชกิจ เชี่ยเซินเกรงว่าจะมิอาจพูดจาให้มากความ แต่หากฝ่าบาทมิทรงรังเกียจเชี่ยเซินยินดีรับฟังเพคะ”
เฉินหรูอี้มองจักรพรรดิจางเหอยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมดจอกอีกครา ความรู้สึกกังวลพลันเกิดขึ้น ในใจ หวาดกลัวเหลือเกินว่าเมื่อสุราเหล่านี้ตกถึงพระอุทรขององค์จักรพรรดิแล้วนั้น พระองค์จะทรงกระทำการอันแปลกพิกลอีก หากเป็นเช่นนั้นผู้โชคร้ายกลับมิใช่พระองค์แต่เป็นนางที่อยู่ตรงหน้าพระพักตร์ที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยเรียกมาเพื่อทรมานต่างหากเล่า
“ฝ่าบาท....สุราเป็นพิษต่อพระพลานามัยนะเพคะ” ใบหน้าเฉินหรูอี้เต็มไปด้วยความเศร้าใจ
เซียวเหยี่ยนส่งเสียงขึ้นจมูกแล้วดื่มสุราอีกจอก
“มิคาดอ้ายเฟยยังรู้จักห่วงใยสุขภาพเจิ้น”
เฉินหรูอี้นิ่งเงียบไป แท้จริงแล้วนางห่วงสุขภาพของนางต่างหากเล่า นางมิอาจทนรับการทรมานครั้งแล้วครั้งเล่าขององค์จักรพรรดิได้หรอกนะ
มิทราบองค์จักรพรรดิทรงจำได้หรือไม่ว่านางพลัดตกน้ำไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ร่างกายนางก็ยังต้องการการบำรุงฟื้นอยู่มิใช่หรือไร?
“ฝ่าบาทเป็นฟ้าที่คอยปกเกล้าราษฎรทั่วหล้า พระองค์ต้องทรงถนอมพระวรกายไว้จึงจะถูก เชี่ยเซินเป็นเพียงสตรีมิรู้ความ แม้นมิได้ถ่องแท้ในหลักการอันยิ่งใหญ่เหล่านั้น แต่หลักการที่ว่า “อยู่บ้านเชื่อฟังบิดา เป็นภรรยาเชื่อฟังสามี” เชี่ยเซินกลับเข้าใจดี เช่นนี้จะมิให้ห่วงใยในพระพลานามัยของฝ่าบาทได้อย่างไรเพคะ?”
เฉินหรูอี้บิดนิ้วมือไปมาอยู่ใต้โต๊ะ สายพระเนตรทอแสงเปล่งประกายระยิบระยับ แม้นพระโอษฐ์กำจายไปด้วยกลิ่นเมรัยแต่กลับดูไม่ออกว่าทรงเมาแล้ว ทำให้นางงุนงงไปชั่วขณะว่าแท้จริงแล้วพระองค์ทรงเมาจึงได้เริ่มทรมานนางแล้วหรือยังไม่ทรงเมาแต่พระองค์เพียงแค่มิพอพระทัยในตัวนางก็เท่านั้น
มารดามันเถอะ! หากว่าพระองค์ทรงเมาหรือไม่เมาก็ยังทรงไม่พอพระทัยในตัวนาง นางจะน่าสังเวชสักเพียงใด? จะยังคงอยู่สุขสบายในวังหลังแห่งนี้ได้อีกหรือไม่?
“ฝ่าบาท...”
นางกล่าวมิทันจบ เซียวเหยี่ยนก็ช้อนนัยน์ตาหงส์ขึ้นหรี่จ้องเฉินหรูอี้แล้วยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมดจอกอีกครั้งพลันใช้ชิวหาไล่เลียริมฝีปากด้วยใบหน้าแต้มยิ้ม
เฉินหรูอี้รู้สึกสังหรณ์แปลกๆ ขึ้นในบัดดล
องค์จักรพรรดิทรงอยากสื่อความหมายใดกันแน่?
พระองค์ทรงเจตนาเป็นแน่!
นางแน่ใจว่าพระองค์ทรงทราบว่านางกลัวพระองค์ทรงเมาสุราแล้วกลั่นแกล้งนางเป็นที่สุดจึงตั้งใจเย้านางเล่น แววพระเนตรคู่นั้นบอกออกมาอย่างชัดเจน ขาดเพียงพระสุรเสียงที่เอ่ยว่า “เจิ้นจะแกล้งเจ้าให้ตายไปเสีย” เท่านั้น
เฉินหรูอี้นิ่งอึ้งพูดมิออก กระทั่งไม่กล้าแม้แต่สบมองแววตาอันเปี่ยมล้นไปด้วยเจตนาร้ายขององค์จักรพรรดิโดยตรง
เซียวเหยี่ยนเห็นใบหน้าเหยเกของเฉินหรูอี้ที่ข่มกลั้นโทสะอันพลุ่งพล่านของตนไว้เช่นนั้น จึงเบนสายตาจับจ้องจอกสุราที่อยู่ในมือตนนิ่ง หากมือตนขยับยกจอกสุราขึ้นคราใดร่างเฉินหรูอี้ก็จะสั่นสะท้านขึ้นครานั้น
คาดว่าประสบการณ์คราก่อนที่นางได้สัมผัสคงสาหัสมิใช่น้อยถึงได้ทำเอานางขวัญหนีดีฝ่อปานนี้
เซียวเหยี่ยนใช้มือค้ำโต๊ะหัวเราะออกมาอย่างมิอาจอดกลั้น ยิ่งคิดถึงท่าทางเช่นนั้นของนางก็ยิ่งรู้สึกขบขัน เซียวเหยี่ยนหัวเราะไปพลางตบโต๊ะไปพลาง ยังดีที่มิได้หัวเราะจนขาดใจไปเสียก่อน
เฉินหรูอี้คว้าโต๊ะไว้แน่นด้วยกลัวว่าตนจะควบคุมตนเองไว้ไม่อยู่จนหนีออกนอกประตูไป
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงเป็นอะไรไปเพคะ?” นางเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเทา
จะมิให้นางขวัญหนีได้อย่างไร? องค์จักรพรรดิทรงพระสรวลหรือทรงประชวรเป็นโรคลมชักกันแน่?
นางควรเฝ้าดูเช่นนี้ต่อไปหรือควรเรียกหมอหลวงกันแน่
เสียงเล็กใสนี้ของเฉินหรูอี้เดิมทีก็หวานปานน้ำผึ้งอยู่แล้วแต่เมื่อเอ่ยเสียงแผ่วเบาทั้งสั่นเทาอย่างน่าสงสารเช่นนี้ฟังแล้วดูคล้ายลูกแพะหลงฝูงก็มิปาน เซียวเหยี่ยนพลันหัวเราะอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาอีกครั้งมิทราบว่าเป็นเพราะดื่มมากไปจนเมาไปจริงๆ หรือเพราะไม่ระวังถูกนางจี้จุดขบขันเข้าให้ถึงได้เป็นเช่นนี้
โดยเฉพาะเมื่อเห็นแววตาดุจนกกระจอกตกใจของเฉินหรูอี้ เซียวเหยี่ยนก็หัวเราะจนเจ็บท้องไปหมด
เลือกคนไม่ผิดจริงๆ เซียวเหยี่ยนคิดอย่างเลอะเลือน อย่างน้อยคนผู้นี้ก็ให้ความสำราญกับเขาได้ไม่เลว
ผ่านไปเป็นนานในที่สุดองค์จักรพรรดิก็ทรงหยุดพระสรวล แล้วตรัสด้วยพระสุรเสียงเบื่อหน่าย “เจิ้นอารมณ์ไม่ดี”
หากเซียวเหยี่ยนมิใช่จักรพรรดินางคงเอาป้านสุราฟาดหัวเขาไปแล้ว
เฉินหรูอี้กำหมัดแน่น นี่เรียกว่าอารมณ์ไม่ดีงั้นหรือ? เมื่อครู่มิใช่ทรงพระสรวลอย่างบ้าคลั่งหรอกหรือ เหตุใดเพียงพริบตากลับตรัสว่าทรงอารมณ์ไม่ดี พระองค์ทรงอารมณ์ไม่ดียังเป็นถึงเพียงนี้หากทรงอารมณ์ดีมิทรงลอยขึ้นสวรรค์ไปเลยหรือ?
เซียวเหยี่ยนถอนหายใจแล้วดื่มสุราไปอีกหนึ่งจอก แล้วหันขวับไปมองเฉินหรูอี้ตาปรือ “อ้ายเฟยจะไม่ถามเจิ้นหรือว่าเจิ้นอารมณ์ไม่ดีด้วยเหตุใด?”
เฉินหรูอี้ตะลึงงัน ความจริงนางอยากถามองค์จักรพรรดิเหลือเกินว่าเหตุใดพระองค์ถึงได้ทรงพระเกษมสำราญปานนี้?
“ทรงพระอารมณ์ไม่สู้ดีด้วยเหตุใดหรือเพคะ?”
“หากเจิ้นไม่สอนเจ้า เจ้าก็คงไม่คิดจะถามเจิ้น ไม่มีผู้ใดไยดีต่อเจิ้นเลยสักนิด” เซียวเหยี่ยนเงยหน้ามองฟ้าแล้วถอนหายใจยาว ถอนหายใจไปพลางส่ายศีรษะไปพลาง แสดงสีหน้าเงียบเหงาเดียวดายดั่งมีเพียงข้าอยู่บนหุบเขาพันลี้นี้แต่เพียงผู้เดียว
เฉินหรูอี้อดทนข่มกลั้นอาการค้อนของนางไว้ไม่ให้เปิดเผยออกมา มารดามันเถอะ วาจาใดล้วนมีแต่องค์จักรพรรดิตรัสกล่าว นางในยามนี้นั้นกล่าวมิกล่าวสิ่งใดล้วนผิดทั้งสิ้น แม้เพียงหายใจเสียงดังยังกลัวว่าพระองค์จะกล่าวหาว่าตนกระทำผิด มิทราบว่ากระดูกไม่รักดีท่อนไหนของนางไปต้องพระเนตรองค์จักรพรรดิเข้า เหตุใดทรงเมาสุราคราใดล้วนนึกถึงแต่นาง
“ฝ่าบาทเหตุใดทรงตรัสเช่นนั้น...”
ไม่รอให้นางกล่าวจบองค์จักรพรรดิกลับถอดพระปัสสาสะอีกครั้ง “ไม่มีผู้ใดรู้ใจข้าเลย”
“บรรดาพี่สาวน้องสาวในวังหลัง.....”
“ความทุกข์ใจของเจิ้นมิมีผู้ใดเข้าใจหรอก”
เมื่อถูกองค์จักรพรรดิตัดบทไปถึงสองสามครา เฉินหรูอี้จึงนับได้ว่าฉลาดขึ้นแล้ว มารดามันเถอะ องค์จักรพรรดิที่มีวาจาบ่นว่าอยู่เต็มพระอุระเช่นนี้เดิมทีก็มิได้ต้องการให้นางพูดจาให้มากความ พระองค์ก็แค่ทรงอยากระบายก็เท่านั้น
ผู้ใดเลยจะล่วงรู้ครานี้พระองค์กลับหันมาตรัสถามต่อนาง “อ้ายเฟยไม่อยากรู้หรือว่าเจิ้นทุกข์ใจด้วยเรื่องใด”
หากเลือกได้ นางคงตอบว่าไม่อยากทราบเลยจริงๆ
มอบแนวทางปฏิบัติให้นางได้หรือไม่? ที่แท้แล้วองค์จักรพรรดิทรงต้องการให้นางเอ่ยคำหรือไม่กันแน่ หากต้องการให้นางตอบคำพระองค์สามารถส่งสายพระเนตรเป็นสัญญาณบอกนางสักนิดได้หรือไม่? จะได้มิต้องเอ่ยวาจาสอดสวนกันรบกวนความสำราญอันยิ่งใหญ่ในการถ่มพ่นพระเขฬะของพระองค์ไปเสียเปล่า
เฉินหรูอี้แสดงความจริงใจออกไปในแววตาอย่างเปี่ยมล้น “หากฝ่าบาทมิทรงรังเกียจ เชี่ยเซินย่อมยินดีแบ่งเบาความทุกข์ของพระองค์เพคะ”
มิทราบว่าองค์จักรพรรดิได้สดับรับฟังหรือไม่ พระองค์เพียงใช้สายพระเนตรจับจ้องนางอยู่เป็นนาน สุดท้ายก็ยกจอกสุราที่อยู่ตรงหน้านางขึ้นดื่มจนหมดจอก แล้วใช้พระหัตถ์ค้ำยันพระปรางไว้แล้วทรงถอนพระปัสสาสะยาว พระเนตรปิดปรือ กล่าวตรัสว่า “เจิ้นทุกข์เพราะรัก”
“อุ๊บ”
เฉินหรูอี้มีสติคืนมารวดเร็วดุจประกายไฟบนถ่านหิน นางยื่นมือหยิกขาตนอยู่ใต้โต๊ะโดยแรง เจ็บเสียจนแยกเขี้ยวยิงฟันนางจึงสกัดกั้นเสียงหัวเราะที่เกือบจะพุ่งออกมาเมื่อครู่ให้หดหายไปได้ เมื่อเห็นพระพักตร์อันโศกเศร้าอาดูรทั้งที่ทรงเมาอยู่ขององค์จักรพรรดิก็ทำให้รู้สึกขนลุกขนพอง มารดามันเถอะ หากยังรักชีวิตตน จงอยู่ให้ห่างจากจักรพรรดิจอมมารยาพระองค์นี้เสีย