บทที่ 26 ภารกิจ
แน่นอนว่าเฉินหรูอี้มิอาจละเมอเพ้อว่าผู้ที่ทำให้องค์จักรพรรดิทรงทุกข์เพราะรักนั้นคือตัวนาง หากพระองค์ทรงทรมานนางปานนี้ด้วยเพราะทรงโปรดปรานนางแล้วละก็ นางยอมเอาศีรษะชนกำแพงตายไปเสียเดี๋ยวนี้เลยดีกว่า
ความโปรดปรานของพระองค์ช่างแปลกพิกลยิ่งนัก ปุถุชนคนธรรมดาเยี่ยงนางมิอาจทนรับได้
ที่แท้เป็นหญิงสาวผู้โชคร้ายตระกูลใดหนอที่ทำให้พระองค์ทรงหลงใหล? เฉินหรูอี้อดทนและข่มกลั้นเอาไว้เพื่อให้มิเผลอหลุดปากถามออกไป
“ฝ่าบาททรงประปรีชาสามารถอีกทั้งรูปโฉมงดงามไม่ธรรมดา ไม่ทราบว่าเป็นพี่สาวน้องสาวคนไหนที่พระองค์ทรงรักใคร่ นางช่างมีวาสนายิ่งนัก”
เซียวเหยี่ยนร้อง “ฮึ” อย่างเย็นชา “เพิ่งจะกล่าวชมอ้ายเฟยไปว่าหลังจากตกน้ำแล้วนั้นเจ้าฉลาดขึ้นมาก แต่เจ้ากลับทำตนโง่งมใส่เจิ้น หากนางอยู่ในวังหลัง เรียกขานพี่สาวน้องสาวกับเจ้า เจิ้นจะพูดว่า “ทุกข์เพราะรัก” สามคำนี้หรือไม่?
พระองค์ทรงวางจอกสุราลงแล้วหันพระวรกายครึ่งหนึ่งเข้าหานางเพื่ออธิบายความหมายของสามคำเมื่อครู่นี้
“ความหมายของทุกข์เพราะรัก ก็ด้วยนางอยู่ไกลสุดปลายฟ้า เจิ้นมิอาจแตะต้องได้ นางมิได้อยู่กับเจิ้น หากนางอยู่ในวังหลังของเจิ้น เหตุใดเจิ้นถึงได้ ...ถึงได้...เฮ้อ”
เซียวเหยี่ยนร้อนใจเสียจนต้องดึงหูเกาแก้มคล้ายกลับว่ามิอาจบรรยายถึงความรักอันพลุ่งพล่านมากล้นอยู่ในอกของตนออกมาได้ในเวลาอันสั้น
“ถึงได้ทุกข์เพราะรักเช่นนี้?” เฉินหรูอี้กล่าวแทน
เซียวเหยี่ยนตบมือตน สีหน้าบ่งบอกว่าตนพบคนรู้ใจเข้าแล้ว
“ใช่ เจิ้นจึงได้ทุกข์เพราะรัก”
เฉินหรูอี้ลอบถอนหายใจยาว กิริยาท่าทางและสายพระเนตรที่องค์จักรพรรดิจ้องมองเฉินหรูอี้เขม็งคล้ายกำลังตรัสว่า “เจ้าถามข้าสิว่านางเป็นผู้ใด” นางอยากแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจความปรารถนาขององค์จักรพรรดิเสียจริง ให้พระองค์ทรงอึดอัดจนสิ้นพระชนม์ไปเสียเลย
“แล้วเป็นหญิงสาวผู้งามพร้อมตระกูลใดที่ทำฝ่าบาททรงหลงใหลใฝ่ฝันถึง คะนึงอยู่มิรู้วาย”
“ใช่จริงๆ คะนึงอยู่มิรู้วาย...” เซียวเหยี่ยนพยักหน้าติดกันหลายครั้ง สายตาที่เต็มไปด้วยแววชื่นชมหันมองไปที่ใบหน้าเฉินหรูอี้ “อ้ายเฟยเลือกใช้คำได้ถูกต้องยิ่งนัก เจิ้นคะนึงถึงนางอยู่มิรู้วายจริงๆ” กล่าวจบก็พยักหน้าทีหนึ่งแล้วเบนสายตาออกไปยังที่ไกลแสนไกล แววตาครุ่นคิดคล้ายดำดิ่งเข้าสู่โลกที่มีเขาอยู่แต่เพียงผู้เดียว
เฉินหรูอี้ฉวยโอกาสนี้กลอกลูกตาเหลือบมองขึ้นบนอย่างเบื่อหน่ายยิ่ง
เฉินหรูอี้มิเข้าใจ องค์จักรพรรดิทรงพอพระทัยนางแล้วมีอันใดเกี่ยวข้องกับตนเล่า? ทั้งยังทรงส่งคนไปรับตนจากตำหนักหมิงกวางมาเพื่อฟังพระองค์พร่ำบ่นโดยเฉพาะ พระองค์และตนมีความสัมพันธ์แบบบุรุษกับหญิงสาวเท่านั้น มิได้สนิทชิดเชื้อถึงขั้นพูดจาความในใจกันได้มิใช่หรือ?
นางพลันตะลึงไปชั่วครู่ หากสตรีนางนั้นมิได้อยู่ในวังหลัง องค์จักรพรรดิเลยมิอาจกระทำการใดได้โดยตรงจึงคิดใช้นางไปไปกระทำแทนใช่หรือไม่?
การคัดเลือกหญิงงามเข้าวังก็มีพระราชโองการออกไปแล้ว บัดนี้ทั่วราชอาณาจักรล้วนเริ่มดำเนินการคัดสรรเบื้องต้นกันแล้ว
ความจริงหากพระองค์พอพระทัยในหญิงใดก็ทรงมีรับสั่งให้เข้าวังเสียก็สิ้นเรื่อง หากทำให้องค์จักรพรรดิทรงโทมนัสได้ถึงเพียงนี้ทั้งห่วงหน้าพะวงหลังเสียจนมิกล้าตัดสินพระทัยเช่นนี้ หรือว่า....จะเป็นภรรยาของผู้อื่น? ทรงพอพระทัยในสตรีที่มีเจ้าของแล้วพระองค์จึงมิอาจลงมือด้วยองค์เองได้
เฉินหรูอี้เบ้ปาก หากผู้ที่ให้นางไปล่อลวงเป็นหญิงเทื้อหรือดรุณีน้อยนางใด นางก็มิขัดข้อง คิดเสียว่าตนช่วยเป็นแม่สื่อให้องค์จักรพรรดิ แต่หากเป็นสตรีที่มีเจ้าของแล้วนางยังยื่นมือเข้าสอด เช่นนั้นนางมิกลายเป็นพวกที่ทำทุกอย่างเพื่อเป้าหมายโดยไม่สนใจคุณธรรมหรอกหรือ?
แม้นนางจะเปลี่ยนร่างไปมาดุจผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ มิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าภายในคือผู้ใดแต่เบื้องบนนั้นมองเห็น เรื่องน่าอับอายไร้ศีลธรรมจรรยาเช่นนี้ตีนางให้ตายนางก็มิอาจทำ
“ฝ่าบาท ทรงบอกได้หรือไม่ว่าเป็นสตรีตระกูลใดเพคะ?” เฉินหรูอี้เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเทา
ในหัวนางกำลังครุ่นคิดว่าหากองค์จักรพรรดิให้นางสอดมือเข้าช่องกำแพงบ้านผู้อื่นล่อลวงภรรยาเขาจริงๆ นางควรหาข้ออ้างใดเพื่อตอบปฏิเสธพระองค์
หรือแสร้งเป็นตัวโง่งมสติฟั่นเฟือนจำอันใดมิได้ไปเสียเลย
ครั้นเมื่อเซียวเหยี่ยนได้ฟังเช่นนั้นก็หันศีรษะกลับมาไขข้อข้องใจให้นางโดยพลัน
“บุตรตรีคนที่สองของราชอาลักษณ์หลินหรูเหิงแห่งสำนักฮั่นหลิน”
เฉินหรูอี้รีบควานหานามนี้ในหัวตนอย่างรวดเร็ว รู้สึกคุ้นหูอย่างประหลาด
โลกพลันหยุดนิ่ง
ในยุคราชวงศ์จิ้นนั้นให้อิสรภาพแก่ประชาชนและมิได้เข้มงวดต่อสตรีเท่ายุคก่อน ไม่ว่าจะเคยหย่าร้างหรือว่าเป็นหม้ายก็ไม่มีผู้ใดดูแคลน หากกล่าวถึงแม่นางหลินผู้นั้นแล้วละก็เฉินหรูอี้กลับจำได้อย่างแม่นยำเลยทีเดียว คราที่นางยังเป็นหวงโฮ่วอยู่นั้น แม่นางหลินผู้นี้ก็เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของเมืองหลวงแห่งนี้แล้ว
แม่นางหลินนั้นมีความสามารถมากล้น อายุสิบขวบก็เป็นสตรีที่ขึ้นชื่อเรื่องความปราดเปรื่องเสียแล้ว รูปลักษณ์กลับไม่เหมือนดอกเบญจมาศผลิแย้มเช่นดรุณีแรกรุ่นทั่วๆ ไปแต่กลับงดงามฉูดฉาดปานดอกท้อ ท่าทางเย็นชาดุจน้ำค้างแข็ง
ไม่ทราบว่าด้วยทะนงตนเกินไปหรือเพราะมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ รอกระทั่งอายุสิบแปดจึงได้แต่งกับบุตรชายอันเกิดจากชายาเอกของผู้ตรวจการสกุลเฉิง ทั้งสองเหมาะสมกันอย่างยิ่งทั้งเรื่องรูปลักษณ์และอายุ แรกเริ่มนั้นรักกันกลมเกลียวแต่ผ่านไปไม่ถึงปีครึ่งทั้งสองกลับมีปากเสียงกันอยู่ทุกเช้าค่ำกระทั่งจบลงด้วยการหย่าร้าง
แม่นางหลินมีทั้งสติปัญญาอันเฉียบแหลมทั้งรูปโฉมงดงามมิต้องกลัวว่าจะแต่งไม่ออก เดือนเจ็ดในปีเดียวกันนั้นนางก็ได้แต่งให้กับบุตรชายคนที่สามของผู้ตรวจการสกุลหลิว แต่ไม่ถึงครึ่งปี สามีของแม่นางหลินได้ออกไปขี่ม้าเล่นกับสหายจึงได้ตกม้าลงมาคอหักตาย จบชีวิตลงทั้งอย่างนั้น
นี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงสองปีที่นางยังมีชีวิตเป็นหวงโฮ่วอยู่ ครั้นต่อมานางฟื้นคืนในร่างขันทีน้อยก็ทราบข่าวว่าแม่นางหลินได้แต่งงานใหม่อีกครั้งกับบุตรชายของผู้ตรวจการอีกท่านหนึ่ง ไม่ทราบแน่ว่าเป็นบุตรคนที่เท่าใด ผู้คนจึงขนานนามนางอย่างขบขันว่าเป็นมือเพชฌฆาตผู้ตรวจการ
นางจำได้ว่าปีที่นางอภิเษกกับองค์จักรพรรดินั้น แม่นางหลินก็อายุสิบเก้าปีแล้วซึ่งเท่ากับองค์จักรพรรดิในยามนี้ นั่นแสดงว่าแม่นางหลินผู้นี้อายุมากกว่าองค์จักรพรรดิถึงห้าปี
“เจ้ารู้จักนาง?” เซียวเหยี่ยนหรี่นัยน์ตาหงส์มอง น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันใด
พระองค์ไม่ทราบว่าเฉินหรูอี้คิดอย่างไรกับพระองค์เพราะเรื่องความรู้สึกมักเปลี่ยนแปลงได้เสมอ แต่หากถามว่าในหัวของนางคิดอันใดอยู่นั้น พระองค์ทรงมองหน้าปราดเดียวก็รู้ได้ถึงแปดเก้าส่วนแล้ว ใบหน้าอันบิดเบี้ยวไปมาดั่งทู่โต้ว*ที่ถูกลมเป่าจนแห้งนั้นบอกอย่างชัดเจนว่านางไม่เพียงแค่เคยฟังเรื่องของแม่นางหลินเท่านั้นซ้ำยังรู้อย่างละเอียดเสียด้วย
พระองค์ไม่ทรงไต่ถามให้มากความว่านางทราบเรื่องได้อย่างไร เพราะวังหลังล้วนมีแต่คนปากมาก เหล่าสตรีหมกตัวอยู่รวมกันพูดคุยว่าตระกูลนี้เป็นเช่นนั้นตระกูลนั้นเป็นเช่นนี้ ขุดไปเขี่ยมาอย่างนั้นแล้วจะมีความลับอันใดได้อีก?
เฉินหรูอี้รู้สึกสับสน นางพยายามทำอารมณ์ที่ถูกตีกระเจิดกระเจิงไปเมื่อครู่ให้สงบลง เอ่ยด้วยความสัตย์จริงว่า “เชี่ยเซินเคยได้ยินมาว่าแม่นางหลินคล้าย....”
“เคยแต่งงาน? เจิ้นไม่รังเกียจ” เซียวเหยี่ยนชิงตอบขึ้นก่อน
ยังคงเป็นภรรยาของผู้อื่นอยู่งั้นหรือ เฉินหรูอี้ส่งเสียงขึ้นจมูกอยู่ในใจไม่หยุดหย่อน
“นาง ฝ่าบาทยังทรง.....”
“รู้จักดูแลเอาใจใส่ ไม่เป็นเช่นพวกเจ้าที่วันๆ เอาแต่ทะเลาะกันไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลยสักนิด เจิ้นเห็นแล้วรำคาญอย่างยิ่ง”
เฉินหรูอี้กัดฟันแน่นหากทรงเห็นแล้วรำคาญพระทัยก็อย่าได้เที่ยวเรียกนางมาทรมานสิ คิดว่านางปรารถนาเช่นนั้นหรืออย่างไร?
“แต่ว่า....” นางถอนหายใจโดยแรง สุดท้ายก็มิกล่าวออกไปอย่างอดมิได้ “นางยังคงเป็นภรรยาของผู้อื่นมิใช่หรือเพคะ?”
องค์จักรพรรดิคือผู้ครองใต้หล้า สตรีเช่นใดไม่ปรารถนาแต่กลับไปพอพระทัยอิสตรีที่มีเจ้าของแล้ว ทั้งยังรำพึงรำพันถึงเนื้อในปากผู้อื่นชิ้นนั้นกับนางอยู่ที่นี่ ช่างหาเรื่องยุ่งยากให้พระองค์เองโดยแท้
ทั้งยังตรัสว่าแม่นางหลินรู้จักดูแลเอาใจใส่ ความหยิ่งผยองและสายตาอันเย็นชาของนางคงมิอาจทำให้พระองค์หนาวเหน็บจนตายได้
เซียวเหยี่ยนหัวเราะออกมาโดยพลัน เพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดนางถึงได้ขมวดคิ้วมุ่นเช่นนั้นคงเพราะด้วยเหตุนี้นี่เอง เซียวเหยี่ยนจ้องดวงตาที่ทอประกายสดใสแวววาวคู่นั้นพลันเอ่ยว่า “เจ้าตามข่าวมิทันแล้วกระมัง นางหย่าขาดจากสามีไปเมื่อปีที่แล้ว” “ดังนั้นเจิ้นเลยนึกถึงเจ้าขึ้นมา”
เฉินหรูอี้รู้สึกดั่งมีลมเย็นเยียบสายหนึ่งพัดวูบเอาเส้นผมและเส้นขนทั่วร่างลุกชี้ชูชันขึ้นมา นางกล่าวเสียงสั่นว่า “ฝ่าบาท ทรงนึกถึงเชี่ยเซิน....ทรงคิดจะทำอันใดหรือเพคะ?”
“เจิ้นมีภารกิจอันยอดเยี่ยมจะมอบหมายแก่เจ้า” เซียวเหยี่ยนใช้มือลูบคางตน มุมปากค่อยๆ ยกโค้งขึ้นปรากฎเป็นรอยยิ้มอันเย็นเยือกสายหนึ่ง
*ทู่โต้ว คือมันฝรั่ง