บทที่ 27 สิ่งแลกเปลี่ยน

บทที่ 27 สิ่งแลกเปลี่ยน

ภารกิจอันยอดเยี่ยมหรือ?

เฉินหรูอี้ลอบกัดฟัดกรอด เห็นพระพักตร์องค์จักรพรรดิทรงเต็มไปด้วยรอยพระสรวลแฝงแววเหี้ยมเกรียม ความเจ้าเล่ห์คละคลุ้งออกมาอย่างเข้มข้น หากนางเชื่อพระองค์ก็คงแปลกแล้ว

หากเป็นภารกิจอันยอดเยี่ยมจริงพระองค์จะทรงนึกถึงนางงั้นหรือ ทรงคิดว่าพอนางขึ้นมาจากสระไท่เยก็กลายเป็นตัวโง่งมไปแล้วใช่หรือไม่? พระองค์ไม่พอพระทัยนางและไม่เคยแม้แต่จะเก็บงำให้เปลืองแรง ที่ทรงไม่ทรมานนางจนตายก็เพราะผลบุญที่ตระกูลเฉินและตระกูลจ้าวได้สะสมมาหลายชั่วอายุแล้ว

“ฝ่าบาท” นางขยับมือไปมาอย่างระมัดระวังแล้วยกมือน้อยๆ ขึ้นเพื่อสื่อความหมายว่าอยากเอ่ยวาจา “เชี่ยเซินขอ...”

“พรืด”

เซียวเหยี่ยนพ่นสุราที่เพิ่งดื่มเข้าไปในปากออกมาไม่เหลือแม้เพียงหยด อาหารชั้นเลิศที่วางอยู่ตรงหน้านั้นไม่มีจานใดหลีกพ้นน้ำค้างอันพิสุทธิ์จากองค์จักรพรรดิได้

“เจ้าว่าอะไรนะ!?” องค์จักรพรรดิหันพระพักตร์กลับมาโดยแรง พระพักตร์งดงามแดงเรื่อ หลังจากที่พระองค์ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิเมื่อพระชนมายุได้สิบสี่พรรษานั้นแล้วก็มิเคยทำเรื่องน่าอับอายขายหน้าเช่นนี้อีกเลย

เฉินหรูอี้อึ้งงัน หากทั้งสองผูกสมัครรักใคร่แล้วยังมีเรื่องอันใดให้นางต้องทำกันเล่า?

แต่ลองตรองดู หากองค์จักรพรรดิทรงอยากเก็บนางไว้นอกวังจริงๆ ก็คงมิได้เรียกหาตน คิดไปคิดมา หรือองค์จักรพรรดิทรงเกิดพระดำริจะใช้นางไปในทางไม่ดีโดยอาศัยชื่อเสียงของนางเรียกแม่นางหลินเข้าวังแล้วกระทำการไม่ดีไม่งาม

ถึงตอนนั้นพระองค์ทรงสมปรารถนาแล้วก็ทรงยกความผิดให้นาง ทั้งล่อลวงทั้งล่วงเกินแล้วค่อยทำดีกลบเกลื่อน เช่นนั้นมิเท่ากับนางช่วยองค์จักรพรรดิกระทำผิดหรอกหรือ?

พระองค์ทรงมีพระทัยให้เช่นนี้หากแม่นางหลินคิดเช่นเดียวกัน ทั้งสองล้วนสุขสมภิรมย์หมายนั่นย่อมเป็นเรื่องดี แต่หากแม่นางหลินเย่อหยิ่งในตนมิได้ต้องใจในองค์จักรพรรดิอาจเกิดวิวาทกันจนตายไปข้างได้ ด้วยแม่นางหลินนั้นมีอุปนิสัยห้าวหาญไม่เกรงกลัวต่อใครหน้าไหน เรื่องวิวาทไม่เป็นสองรองใคร ตระกูลใดของสามีนางนั้นนางล้วนผิดใจมาแล้วทั้งสิ้น ครั้นว่านางจะโขกศีรษะตายด้วยละอายใจนั้นเป็นไปได้น้อยมาก นางเอาชีวิตเข้าแลกกับองค์จักรพรรดิให้ตายตกไปตามกันเช่นนั้นจะเป็นไปได้มากกว่า

ไม่ว่าอย่างใดล้วนไม่ส่งผลดีต่อเฉินหรูอี้ทั้งสิ้น หากเป็นอย่างแรกชื่อเสียงนางคงป่นปี้ หากเป็นอย่างหลังโอกาสที่นางจะถูกองค์จักรพรรดิสั่งฆ่าปิดปากนั้นสูงมาก

เพื่อชีวิต เพื่อความถูกต้อง เพื่อวิญญาณอันบริสุทธิ์ของนาง เรื่องที่มิได้มีสิ่งดีอันใดอยู่เลยเช่นนี้มิอาจกระทำโดยเด็ดขาด

เฉินหรูอี้ตัดสินใจแน่แล้ว อย่างมากนางก็แค่ถูกทอดทิ้งให้แก่ตายอยู่ในตำหนักหมิงกวางที่ไม่ต่างอันใดกับตำหนักเย็น

เซียวเหยี่ยนเหลือบมองใบหน้าเล็กบิดเบ้ไปมา ประเดี๋ยวลังเล ประเดี๋ยวสับสน พลันเปลี่ยนเป็นแววตาอันเด็ดเดี่ยวคล้ายตัดสินใจได้แน่แล้ว ทุกกิริยาล้วนเปิดเปลือยความคิดในหัวของนางออกมาจนสิ้น เซียวเหยี่ยนกลับรู้สึกขบขันอย่างที่สุดจึงยื่นมือออกไปหยิกเข้าที่แก้มนางโดยแรง

“เจ้ายังคิดอันใดอีก?” พระสุรเสียงแฝงแววเย็นชาตรัสว่า “ไม่ใช่เจิ้นว่าเจ้าหรอกนะ ในหัวของเจ้ากำลังคิดอันใดอยู่กันแน่? เหตุใดจึงมิเหมือนคนปกติทั่วไป? หรือเจ้าสติเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ?”

“โอ๊ย เจ็บ...ฝ่าบาท...เจ็บเพคะ” เฉินหรูอี้ร้องไห้อย่างไร้น้ำตา กุมใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตนไว้ มองดูองค์จักรพรรดิด้วยแววตาตัดพ้อ

องค์จักรพรรดิอยู่ใกล้เพียงคืบ นางจึงได้กลิ่นสุราที่พวยพุ่งออกมาจากพระองค์ได้อย่างชัดเจน สุดท้ายนางก็ยอมศิโรราบให้กับสายพระเนตรอันร้อนแรงของพระองค์และกล่าวต่อว่า

“ฝ่าบาทประสงค์ให้เชี่ยเซินกระทำสิ่งใดเพคะ? เชี่ยเซินไร้สามารถ โง่เขลาเบาปัญญา ฝ่าบาทอย่าได้ทรงกลั่นแกล้งให้เชี่ยเซินต้องคาดเดาส่งเดช ทรงบอกเชี่ยเซินมาตามตรงเถิดเพคะ”

เซียวเหยี่ยนส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา ดึงเอาผ้าที่นางบิดไปมาในมือมาเช็ดปากตนทั้งยังเช็ดสุราที่หกรดบนกายตน “วาจาแต่ละคำที่เจ้าเอื้อยเอ่ยนั้นล้วนผูกกันเป็นสำนวนชวนฟัง ก่อนหน้านี้เจิ้นไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเจ้ามีความสามารถถึงเพียงนี้จึงได้ดูแคลนเจ้า เพียงแต่ความสามารถในการปรนนิบัติผู้อื่นกลับถดถอยลง แม้สุราหกรดเจิ้นกลับมิรู้จักเช็ดให้?”

เฉินหรูอี้ตะลึงวูบ ในหัวของนางเต็มไปด้วยแม่นางหลินเพราะกลัวว่าองค์จักรพรรดิจะคิดบัญชีตนจนถึงตาย ไหนเลยจะมีเวลาใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้

เมื่อองค์จักรพรรดิตรัสขึ้นเช่นนี้ นางจึงมีสติคืนมาได้ เหงื่อกาฬผุดขึ้นทั่วสรรพางค์กายรีบร้อนลุกขึ้นแย่งผ้าเช็ดหน้าคืนมาแล้วเช็ดให้องค์จักรพรรดิ

เซียวเหยี่ยนรู้สึกไร้วาจาจะกล่าวขึ้นมาโดยพลัน เกิดสงสัยว่าตนเลือกคนผิดมาหรือไม่ หากใช่ ยังพอมีทางให้หันหลังกลับหรือไม่?

“พอแล้ว เจิ้นเช็ดเรียบร้อยแล้ว เวลาที่เจ้าควรทำ เจ้ากลับชักช้าอืดอาด ครั้นไม่มีเรื่องใดแล้ว เจ้ากลับวิ่งมาทำท่าทางขันแข็ง” องค์จักรพรรดิยิ่งตรัสยิ่งทรงเบื่อหน่าย จึงรินสุราเงยพระพักตร์แหงนพระศอดื่มไปจนหมดจอก ไม่ทราบแน่ว่าเป็นเพราะรีบร้อนดื่มเกินไปหรือไม่จึงรู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมาจริงๆ

พระองค์หันพระพักตร์ทอดพระเนตรมองดูเฉินหรูอี้แล้วถอดพระปัสสาสะยาว ผ่านไปอีกสักพักก็ถอนพระปัสสาสะอีกครั้ง

กลิ่นสุราอันรุนแรงพวยพุ่งปะทะหน้าเฉินหรูอี้เข้าเต็มรัก นางกระแอมเบาๆ แล้วเอ่ย “ฝ่าบาทอย่าได้ทรงดื่มแต่สุรา หากดื่มมากไปจะทรงเวียนพระเศียรได้ พระองค์ทรงเสวยพระกระยาหารมากหน่อยนะเพคะ”

นัยน์ตาหงส์ของเซียวเหยี่ยนหรี่ลง แล้วพ่นลมออกมาโดยแรงอีกครั้งหนึ่งทำเอาเฉินหรูอี้แทบลืมตามิขึ้น

“ในบรรดาสนมทั้งหลายเจิ้นกลับเลือกอ้ายเฟย หวังว่าอ้ายเฟยจะไม่ทำให้เจิ้นผิดหวัง”

องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นแววตาอันตระหนกหวาดกลัวของนางจึงยกพระหัตถ์ขึ้นผลักศีรษะนางดั่งผลักลูกหนังลูกหนึ่ง ทรงแย้มสรวลตรัสว่า “เจ้ามิต้องกลัวจนคิดอันใดส่งเดช ไม่ช้าก็เร็วเจิ้นต้องรับนางเข้าวังมาแน่ แต่อดีตของนาง เจ้านั้นก็ทราบดี แม้เจิ้นมิใส่ใจ แต่ด่านของไท่โฮ่วก็มิใช่จะผ่านได้โดยง่าย ทั้งยังไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้ในราชวงศ์เรามาก่อน เกรงว่าคงต้องผ่านอุปสรรคอีกหลายอย่างทีเดียวจึงสำเร็จ” ตรัสมาถึงตรงนี้องค์จักรพรรดิก็ทรงกลัดกลุ้มพระทัยเป็นอย่างมาก พระพักตร์เต็มไปด้วยความโทมนัส การเปลี่ยนสีพระพักตร์อันรวดเร็วเช่นนี้แม้แต่เฉินหรูอี้ที่อยู่วังหลังมานานยังต้องละอายใจว่าตนไม่อาจสู้ได้

ครั้นได้ฟังองค์จักรพรรดิตรัสเช่นนี้แล้วคล้ายกับว่าทั้งสองล้วนมีใจปฏิพัทธ์ต่อกัน มิได้เป็นเช่นที่นางคิด นางจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาทันใด ทว่าเมื่อทั้งสองต่างมีใจต่อกันเช่นนี้แล้วองค์จักรพรรดิยังต้องใช้นางทำอันใดอีก

กำลังครุ่นคิดอยู่ก็ได้ยินพระสุรเสียงทุ้มลึกตรัสขึ้นอีกครา

“แม่นาง...แม่นางหลินมิชอบให้เจิ้นใกล้ชิดกับหญิงอื่น ดังนั้นก่อนที่นางจะเข้าวังมาเจิ้นล้วนไม่อาจแตะต้องสตรีอื่นได้ เจิ้นดูจากปฏิกิริยาเจ้าก็รู้ว่าเจ้าต้องเคยได้ยินเรื่องราวของนางมาก่อน หากเจิ้นไม่อาจรักษากายไว้เพื่อนางได้ ด้วยอุปนิสัยเช่นนั้นของนาง นางต้องผิดใจกับเจิ้นและไม่ยอมเข้าวังมาเป็นแน่ ส่วนเจิ้นตั้งแต่มีนางก็มิได้สนใจหญิงใดอีกเลย เจ้าก็รู้ดี” เซียวเหยี่ยนพูดไปพลางจ้องตาเฉินหรูอี้ไปพลาง แม้นปากบอกว่า “เจ้ารู้ดี” แต่สายตากลับบอกชัดว่า “เจ้ารู้กับผีน่ะสิ”

เซียวเหยี่ยนเอ่ยวาจาไม่ตรงกับใจตนเช่นนี้ เฉินหรูอี้ก็รู้สึกเมาขึ้นมาเช่นกัน

“แม่นางหลินเย่อหยิ่งรักศักดิ์ศรี แม้นนางเข้าวังมาแล้วก็ไม่มีทางคิดเรื่องชิงดีชิงเด่นกับผู้ใดเป็นแน่ เจิ้นคิดว่าควรต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อนางและอนาคตของเรา นี่คือภารกิจที่เจิ้นจะมอบให้เจ้า” เซียวเหยี่ยนพลันหันหน้ามาจ้องตาเฉินหรูอี้ นัยน์ตาหงส์คู่นั้นส่งประกายแวววาวดุจดวงดารา

“เจิ้นจะให้ลาภยศแก่เจ้า รับรองว่าเจ้าจะสุขสบายไปตลอดชีวิต ขอเพียงเจ้ารักษาตำแหน่งสนมผู้ได้รับการโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิไว้ให้มั่น เมื่อแม่นางหลินเข้าวังมาเจ้าก็ต้องเป็นดั่งโล่กำบังให้นาง คอยดูแลปกป้องนางมิให้ผู้ใดรังแกนางได้ เจ้าทำได้หรือไม่ ตอบคำเจิ้นมา”

นั่นหมายความว่าก่อนที่แม่นางหลินจะเข้าวังมานางต้องช่วยปกป้องความบริสุทธ์ของพระองค์มิให้ต้องไปบรรทมร่วมกับสนมนางอื่น เมื่อองค์จักรพรรดิทรงทลายปราการอันยากลำบากนั้นพังลงได้และรับแม่นางหลินเข้าวังมา นางก็จะกลายเป็นโล่กำบังภัยและองค์รักษ์ของแม่นางหลิน

เฉินหรูอี้นิ่งงันไป นี่กลับมิใช่เรื่องยากอันใดเพราะต่อให้ไม่ต้องเป็นโล่กำบังให้แม่นางหลิน สถานะของนางในวังตอนนี้ก็เปรียบเสมือนเป้าเดินได้ที่คอยตั้งรับกับคมดาบในที่แจ้งและเกาทัณฑ์ในที่ลับอยู่มิรู้วาย

เพียงแต่ที่นางฟังมาทั้งหมดนั้นกลับรู้สึกว่ามันแปลกพิกลอะไรเช่นนี้นะ?