บทที่ 28 เลื่อนขั้น
จักรพรรดิจางเหอขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ในราชสำนักมีเหล่าขุนนางเก่าแก่มากมาย วังหลังก็มีไท่โฮ่วคอยกำกับดูแล จักรพรรดิน้อยจึงมิกล้าทำอันใดที่เกินควร แต่ถึงอย่างไรก็เป็นถึงจักรพรรดิผู้ครองแผ่นดินจึงไม่มีผู้ใดสามารถกดพระเศียรควบคุมให้พระองค์ทำตามใจตนได้ โดยเฉพาะเรื่องในวังหลัง ขอเพียงมิใช่เรื่องที่เกินกว่าเหตุ ผู้อื่นก็ไม่มีสิทธิ์ออกปากทัดทาน
หลังจากที่องค์จักรพรรดิน้อยขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุได้สิบสี่พรรษา พระองค์ก็ทรงเริ่มทำตามพระทัยองค์เองมากยิ่งขึ้น
ในความเข้าใจของเฉินหรูอี้นั้น ความชื่นชอบของพระองค์ที่มีต่อเรื่องรักใคร่มันมากมายเกินกว่าคำว่าชื่นชอบของใครสักคนหลายเท่านัก
แต่ทว่าตอนนี้องค์จักรพรรดิทรงตรัสกับนางว่าจะทรงรักษาความบริสุทธิ์ดุจหยกงาม มิเข้าใกล้สตรีใดเพื่อสตรีนางหนึ่ง ทั้งยังตั้งใจเรียกนางมาเพื่อมอบภารกิจการทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์ “บุปผา” พระองค์ทรงเย้านางเล่นใช่หรือไม่?
แม่นางหลินแต่งงานกับบุรุษมาแล้วถึงสามคน นอกจากสามีที่ตายไปแล้วคนนั้นแล้วกับสามีอีกสองคนล้วนมีจุดจบที่มิใคร่จะดีนัก แต่องค์จักรพรรดิก็ทรงหลงใหลคลั่งไคล้ในตัวนาง
นางควรกล่าวว่า องค์จักรพรรดิจอมยุ่งหาเรื่องใส่องค์เองหรือแม่นางหลินนั้นเป็นผู้มีความสามารถมากที่ทำให้องค์จักรพรรดิผู้มีพระอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยมาตกอยู่ในกำมือนางได้กันแน่
ยิ่งเฉินหรูอี้คิดยิ่งรู้สึกว่าขนในกายตนล้วนลุกชันเกรียวกราว ฟื้นคืนชีวิตมาสามคราบัดนี้กลับได้มารับรู้ว่าจักรพรรดิจางเหอนั้นเป็นผู้ยึดมั่นในความรักแต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดนางจึงรู้สึกว่าช่างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเสียจริง
คราก่อนสนมจงพลั้งปากบอกนางว่าสนมจ้าวแท้จริงยังบริสุทธิ์อยู่ ครานี้องค์จักรพรรดิก็ทรงเล่าเรื่องราวในพระทัยกับนางอย่างถึงลูกถึงคน เรื่องราวเหล่านี้ล้วนสะเทือนใจนางอย่างรุนแรงไม่แพ้คราที่นางฟื้นคืนมาในร่างขันทีน้อยเลย
“เจ้าไม่เชื่อเจิ้น?”
เฉินหรูอี้มีสติกลับคืนมาในทันใด นางเห็นองค์จักรพรรดิหรี่พระเนตรจับจ้องมองนาง แววพระเนตรเย็นเยือกดุจธารน้ำแข็งทำเอานางหนาวไปถึงกระดูก
มารดามันเถอะ!เหตุใดนางคิดอันใดองค์จักรพรรดิล้วนทรงล่วงรู้เล่า?
ไม่พบกันหลายปีทรงฝึกฝนจนกลายเป็นปีศาจแล้วหรือไร? ไม่ว่าทำอันใดก็ไม่อาจปิดปังพระองค์ได้
“ไม่ใช่เพคะ ฝ่าบาทเข้าใจเชี่ยเซินผิดไปแล้วเพคะ” เฉินหรูอี้รีบเรียกสติตนให้กลับคืนมาอย่างเต็มที่ ยืดตัวตรงขึ้น ทำหน้าขึงขัง จึงสามารถหยุดพระหัตถ์ที่เตรียมยื่นมาบีบคอนางขององค์จักรพรรดิไว้ได้ นางสงสัยว่าหากนางเอ่ยช้ากว่านี้อีกสักนิด กรงเล็บขององค์จักรพรรดิก็คงเข้าถึงตัวนางไปแล้ว
“เชี่ยเซินเพียงกังวลว่าจะทำผิดต่อความเชื่อมั่นที่พระองค์ทรงมีต่อเชี่ยเซินเพคะ เชี่ยเซินไหนเลยจะกล้าสงสัยในตัวฝ่าบาท ? พระราชดำรัสของพระองค์หนักแน่นดุจทองคำมีค่าดั่งหยกงาม ทรงตรัสสิ่งใดล้วนมิคืนคำ เชี่ยเซินอาจแคลงใจในฟ้าและดิน อาจระแวงต่อโชคชะตาแต่ไม่อาจสงสัยฝ่าบาทได้โดยเด็ดขาดเพคะ ”
“พูดภาษาคนเถิด” เซียวเหยี่ยนกุมขมับตนรู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรงเริ่มสงสัยว่าคนที่ตนอุตส่าห์เลือกสรรมาอย่างดีที่แท้ก็เป็นเพียงตัวโง่งม
หากบอกว่านางฉลาดก็มักแสดงความเขลาออกมาอยู่ไม่ขาด หากบอกว่านางโง่เง่าแต่กลับรู้จักจำนรรจากว่าผู้ใด จากประสบการณ์ที่พระองค์ทรงเป็นจักรพรรดิมาหลายปี แม้แต่ในราชสำนักเองยังพบเห็นพวกที่พูดจายกยอปอปั้นคนโดยหน้าไม่แม้แต่จะเปลี่ยนสีใจมิเต้นแรงเช่นนางได้น้อยนัก
พระองค์ทรงถอดพระปัสสาสะโดยแรง สุราเหล่านี้เดิมทีไม่เคยมีผลอันใดต่อพระองค์แต่วันนี้กลับรู้สึกมึนเมาเล็กน้อย คาดว่าน่าจะเป็นเพราะวาจาอันหาสาระมิได้ของนางที่ทำให้พระองค์เป็นเช่นนี้
นัยน์ตาดำขลับของเฉินหรูอี้กลิ้งกลอกไปมา “เชี่ยเซินรับรองว่าภารกิจที่ฝ่าบาททรงมอบหมาย เชี่ยเซินจะทำอย่างเต็มที่แม้ต้องตายเป็นหมื่นครั้งก็ต้องกระทำให้สำเร็จ”
“.......” เป็นพระสนมอ้อนแอ้นแสนงอนอยู่แท้ๆ ไปฝึกพูดจากลิ้งกลอกเยี่ยงนี้มาจากที่ใดกัน?
เซียวเหยี่ยนกำหมัดแน่น “เอาล่ะ เจิ้นเข้าใจในเจตนาของเจ้าแล้ว เจ้ารีบกลับตำหนักเถอะ เจิ้นเห็นเจ้าแล้วรำคาญยิ่งนัก”
เห็นนางแล้วรำคาญก็แค่เปลี่ยนโล่กำบังอันใหม่เสียก็สิ้นเรื่อง เฉินหรูอี้คิดในใจแต่ฉากหน้ากลับไม่กล้าแสดงความคิดใดที่แตกต่าง นางถวายพระพรอย่างนบน้อมแล้วลาจากไป
กระทั่งยินเสียงประตูปิดลงเซียวเหยี่ยนจึงยกมือขึ้นถูหน้าตน เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เฉินฮวาย”
เฉินฮวายเอ่ยรับคำแล้วแหวกม่านเดินออกมาจากประตูด้านข้าง เขาใช้สายตากวาดมองไปบนโต๊ะอันเละเทะอย่างรวดเร็วในใจพลันเกิดอาการเกร็ง เขาฟังอยู่ด้านหลังแน่นอนว่าต้องได้ยินบทสนทนาอันหาสาระไม่ได้ระหว่างองค์จักรพรรดิและพระสนม
องค์จักรพรรดิทรงมีพระชนมายุมากเท่าใด เขาก็ติดตามพระองค์มามากเท่านั้น เพียงบั้นพระองค์บิดเบี้ยวไปเพียงเล็กน้อยเขาก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก แล้วจะฟังไม่ออกได้อย่างไรว่าบัดนี้องค์จักรพรรดิทรงสติไม่แจ่มใสเท่าใดนักด้วยทรงเริ่มมีอาการเมาสุราแล้ว
“ฝ่าบาทมีอันใดรับสั่งพะย่ะค่ะ?” เขาถามเสียงต่ำ
เซียวเหยี่ยนหยิบเล่นจอกสุราอันว่างเปล่าพลางเอ่ยถามด้วยท่าทางไม่ยี่หระว่า “เจ้าอยู่ด้านหลังได้ยินเจิ้นพูดสิ่งใดที่ไม่ควรพูดหรือไม่?”
เฉินฮวายครุ่นคิดอย่างละเอียด นอกจากพระองค์จะตรัสเกินจริงไปบ้างแล้ว ส่วนอื่นล้วนดีหมด ทั้งมิได้ทรงดื่มเมามายเสียจนไม่มีสติ
“กระหม่อมรู้สึกว่า ไม่มีพะย่ะค่ะ”
เซียวเหยี่ยนขมวดคิ้วมุ่น ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าคนที่ตนเลือกมานั้นมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง “แต่ก่อนมิเคยรู้สึกว่าสนมจ้าวเป็นคนกลิ้งกลอกลื่นไหลจับไม่อยู่ เหตุใดบัดนี้ถึงได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จะว่าโง่ก็มิใช่จะว่าเจ้าเล่ห์ก็ไม่เชิง”
เฉินฮวายนิ่งเงียบ มิใช่เพราะพระองค์ทรงเห็นว่าสนมจ้าวพลัดตกน้ำครานี้เปลี่ยนไปเป็นฉลาดยิ่งหรอกหรือถึงได้ทรงตัดสินพระทัยเลือกนาง? เหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นคนกลิ้งกลอกลื่นไหลไปในพริบตาเช่นนี้?
วังหลังของพระองค์ พระองค์ยังไม่แน่ชัดอีกหรือ ผู้จะอยู่เหนือคนได้ล้วนมิใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน บงกชขาวพิสุทธิ์ไร้ราคีล้วนถูกฝูงพยัคฆ์สุนัขป่าขจัดไปสิ้นแล้ว
“มิรู้ว่าเลือกถูกหรือเลือกผิดกันแน่....” องค์จักรพรรดิทรงดำดิ่งสู่โลกของพระองค์เองอีกครั้ง พระองค์ทรงทอดมองไปยังที่ไกลแสนไกลกล่าวรำพึงรำพันออกมากับองค์เอง
เฉินหรูอี้ออกจากตำหนักฉางเล่อก็นั่งเกี้ยวที่รับตนมากลับไปยังตำหนักหมิงกวาง
นางคิดว่าเรื่องนี้คงจบลงเพียงเท่านี้แต่กลับคาดไม่ถึงว่านางลิ้มรสชายังมิถึงครึ่งถ้วย ความหวาดกลัวที่ได้รับจากองค์จักรพรรดิเมื่อครูนี้ก็ยังมิทันสลายไป พระราชโองการเลื่อนขั้นให้นางก็มาเยือน ครั้นยินเสียงแหลมสูงของขันทีเมื่ออ่านยศตำแหน่งที่องค์จักรพรรดิประทานให้นางนั้น ความรู้สึกดุจมีแสงอัสนีแลบแปลบปลาบแล้วผ่าเปรี้ยงลงบนศีรษะนางอย่างไรอย่างนั้น
เป็นถึงเจาอี๋*ตำแหน่งพระสนมเอกขั้นสองลำดับที่หนึ่งเชียวนะ
นับว่าโชคดีที่นางคุกเข่าลงเพื่อรับราชโองการจึงมีรากฐานที่มั่นคง มิเช่นนั้นเรื่องราวอันน่าประหลาดใจดั่งแผ่นฟ้าเบื้องบนถล่มลงมาใส่ศีรษะนางเช่นนี้ นางคงเวียนหัวเป็นลมไปในทันใด
แค่ทำตัวเป็นโล่ป้องเกาทัณฑ์เท่านั้น องค์จักรพรรดิทรงพระทัยกว้างเกินไปแล้ว
เฉินหรูอี้น้ำมูกน้ำตาแทบไหลออกมา ยินดีปรีดาเสียแทบเป็นลมล้มพับ ตั้งแต่ที่นางตายไปครั้งแล้วครั้งเล่ากระทั่งรู้สึกว่าตนช่างโชคร้ายมากเหลือคณา ไม่เคยคิดเลยว่าฟื้นคืนอีกคราจะมีเรื่องดีเช่นนี้เกิดขึ้นกับนางได้ แม้ไม่ต้องร่วมอภิรมย์กับองค์จักรพรรดิแต่ก็ยังได้รับการปฏิบัติที่ดีเช่นนี้
ความปรีดาโถมเข้ามาเป็นระลอกระลอก นอกจากราชโองการเลื่อนขั้นให้นางแล้วยังมีบัญชีสิ่งของพระราชทานที่ยาวเป็นหางว่าวตามติดมาด้วย เฉินหรูอี้และบ่าวทั้งสองเหลือบมองเพชรนิลจินดาสิ่งของล้ำค่าและเครื่องใช้ต่างๆ ถูกยกเข้ามาในตำหนักหมิงกวางอย่างไม่ขาดสาย สายตากลอกไปมาเสียจนแทบบอด สุดท้ายจึงคุกเข่าลงคำนับขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณขององค์จักรพรรดิเป็นนานกระทั่งลุกขึ้นเดินยังเซถลา
เฉินหรูอี้รู้ว่าคนงานในตำหนักนี้ไม่ได้ทำงานเปล่าๆ จึงกำชับให้หยวนสี่และหยวนเป่ารวมเอาเงินตำลึงไปตบรางวัลให้พวกเขา
เมื่อเหล่าสนมที่พำนักอยู่ตำหนักหมิงกวางทราบข่าวนี้เข้าก็มาเยี่ยมเพื่อแสดงความยินดีถึงหน้าประตู เฉินหรูอี้ สั่งคนให้รีบปิดประตูสกัดกั้นไว้ แล้วทั้งนายบ่าวก็ทำทีเป็นยุ่งวุ่นวายกับการจัดสรรสิ่งของพระราชทานจนกระทั่งถึงเวลาจุดโคมไฟ ขันทีจากตำหนักฉางเล่อได้กลับมาอีกครั้งเพื่อถ่ายทอดกระแสรับสั่ง ครานี้มีรับสั่งว่าให้เฉินหรูอี้ไปปรนนิบัติที่ตำหนักฉางเล่อ
ดั่งคำที่ว่าเอารับเงินเขามาล้วนต้องตอบแทน องค์จักรพรรดิทรงมีน้ำพระทัยที่กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ พระราชทานสิ่งของมีค่ามากมาย เฉินหรูอี้ทราบดีว่านี่เป็นเพียงการแสดงละครให้ผู้คนในวังหลังได้ชม ด้านซ้ายตนคือหยวนสี่ด้านขวาคือหยวนเป่าทั้งสองต่างรีบเร่งตัวสั่นงันงกไปยังตำหนักฉางเล่อ แต่ละย่างก้าวทั้งเร็วและเบาคล้ายจะบินไปเสียอย่างนั้น
*เจาอี๋ เป็นชื่อเรียกตำแหน่งพระสนมเอกขั้น 2 ลำดับที่ 1 ซึ่งมีทั้งหมด 9 คน