บทที่ 29 เป็นสนมรักช่างยากยิ่ง
กฎแห่งวังหลวงของราชวงศ์จิ้นนั้นหากพระสนมถูกเรียกมาปรนนิบัติองค์จักรพรรดิที่ตำหนักฉางเล่อจักต้องพักที่หอซีหน่วน
เพื่อความสะดวกในการพักผ่อนองค์จักรพรรดิจึงได้ดัดแปลงส่วนของห้องบรรทมให้เป็นเก้าห้อง ทุกห้องจะมีแท่นบรรทมสามแท่น หากเหล่าสนมมาปรนนิบัติพระองค์ก็จะให้พักอยู่ที่แห่งนี้
สำหรับที่แห่งนี้เฉินหรูอี้ทั้งรู้สึกแปลกหน้าและคุ้นเคย
ในอดีตคราที่นางยังเป็นหวงโฮ่วนั้น หากต้องปรนนิบัติองค์จักรพรรดิพระองค์จะทรงเสด็จไปที่ตำหนักของนาง มีเพียงวันอภิเษกราตรีเดียวเท่านั้นที่นางพำนักอยู่ในตำหนักฉางเล่อหลังจากนั้นก็ไม่มีอีกเลย แน่นอนว่าหากเป็นหวงโฮ่วและองค์จักรพรรดิต้องไม่ทรงบรรทมที่นี่ ดังนั้นตลอดทางที่เดินเข้ามาในตำหนักฉางเล่อ ใจของนางก็เริ่มเต้นไม่เป็นส่ำอยู่ตลอด ยังดีที่มิได้ทะลุออกมานอกอก
ครั้งสุดท้ายที่นางเข้ามาในตำหนักฉางเล่อก็คือคราที่อยู่ในร่างขันทีน้อย ผลสุดท้ายถูกองค์จักรพรรดิสั่งให้ลากออกไปโบยเพราะกลิ่นเหม็นอบอวลบนร่างตน
เพียงนึกถึงเหตุการณ์นั้นและหันกลับมามองฐานะในตอนนี้ของตนแล้ว ช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน เมฆากับโคลนตม หากมิใช่เกรงว่านางกำนัลขันทีข้างกายตนจะคิดว่านางเป็นสตรีคลุ้มคลั่งนางคงโก่งคอตะโกนก้องว่า “ข้าเฉินหรูอี้ได้กลับมาอีกครั้งแล้ว” ออกไปจริงๆ
องค์จักรพรรดิทรงรับสั่งให้คนจัดเตรียมห้องด้านในสุดไว้ ภายในห้องเป็นระเบียบเรียบร้อยงดงามยิ่งทั้งมีกลิ่นเครื่องหอมชั้นดีลอยอบอวลไปทั่วห้อง
ตลอดทั้งบ่ายนั้นเฉินหรูอี้มัวแต่วุ่นวายกับการจัดเก็บของที่องค์จักรพรรดิทรงพระราชทานให้จึงรู้สึกหิวเสียจนหน้าอกแบนติดไปกับสันหลังแล้ว บัดนี้ก็เลยเวลารับประทานอาหารเย็นมาแล้วด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาที่นี่อีกทั้งนางยังเป็นเพียงสนมรักจอมปลอมจึงมิกล้าใช้ให้ห้องเครื่องเตรียมอาหารให้ตน พลันสายตาเหลือบไปเห็นจานผลไม้สองจานวางอยู่จึงจัดการกินเสียเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่เศษซากเพื่อแก้ขัดไปพลางก่อน
ขอเพียงคืนนี้นางพำนักค้างคืนที่ตำหนักฉางเล่อก็นับว่าแผนการได้สำเร็จลุล่วงแล้ว เหล่าบรรดาสนมทั่วทั้งวังหลังจักได้ประจักษ์แก่สายตาตนว่านางเป็นสนมที่องค์จักรพรรดิทรงโปรดปรานเพียงใด นางไหนเลยจะรู้ว่าองค์จักรพรรดิกระทำการใดล้วนทำอย่างสมจริง ดึกดื่นคืนนั้นพระองค์กลับเสด็จมาเพื่อบรรทมกับนาง
ยามนั้นนางได้เข้าสู่นิทรารมณ์ไปเสียนานแล้ว ในฝันนางกำลังแทะขาหมูอย่างเอร็ดอร่อย
นางรู้สึกเหมือนมีดวงตาอันเย็นเยียบคู่หนึ่งลอยอยู่บนฟ้าคอยจับจ้องมองนางคล้ายรอให้นางเผลอแล้วค่อยกระโจนเข้ามาขย้ำนางเหมือนที่นางแทะขาหมูอย่างไรอย่างนั้น
นางรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งกายจึงผวาตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่ยังรู้สึกเหมือนอยู่ในฝันไม่เสื่อมคลายคล้ายมีคนกำลังจ้องมองนางอยู่ แต่ตำหนักฉางเล่อมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา นางกำนัลที่มาเปลี่ยนเวรกับหยวนสี่หยวนเป่าก็เฝ้าอยู่หน้าประตูหากเข้ามาในห้องจริงก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีเสียงเลยสักนิด
เฉินหรูอี้เกิดตายมาหลายครา เรื่องภูตผีวิญญาณนางเชื่อสนิทใจ ยิ่งคิดยิ่งผวาขนบนร่างนางค่อยๆลุกชี้ชันขึ้นทีละชั้นทีละชั้นแม้แต่เส้นผมยังแทบชี้ตาม
นางค่อยๆ ดึงเอาผ้าห่มผืนบางที่ถูกนางถีบร่นไปด้านข้างขึ้นมาคลุมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
เวลานี้เองจึงได้ยินเสียง “ฮึ” เย็นเยียบดังขึ้นเหนือศีรษะ
“อ้ายเฟย ตื่นแล้วยังมิรีบมาต้อนรับเจิ้นอีก”
เฉินหรูอี้แม้ขวัญผวาเสียแทบไม่มีสติแต่พระสุรเสียงขององค์จักรพรรดินางยังจำได้ดี จึงถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก เลิกผ้าห่มออกลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วคุกเข่าถวายพระพรต่อองค์จักรพรรดิ
“ฝ่าบาทมาได้อย่างไรเพคะ?”
นางเบิกตาโตดำขลับของนางขึ้น ใบหน้าที่ซ่อนไว้ใต้ผ้าห่มเมื่อครู่นี้มีเหงื่อผุดพราย เส้นผมยุ่งเหยิงติดตามหน้าผากปรากฏเป็นภาพที่น่าขันสิ้นดี “ฝ่าบาททรงกระหายหรือไม่เพคะ? เชี่ยเซินจะให้คนไปนำน้ำหยางเหมย*เย็นๆ จากตำหนักหมิงกวางมาถวาย รสชาติหวานๆ เปรี้ยวๆ ดื่มแล้วชื่นใจยิ่งนะเพคะ”
เห็นท่าทางประจบเอาใจเช่นนั้นของนางกลับทำให้ความไม่พอใจที่มีอยู่เต็มท้องของเซียวเหยี่ยนหายไปเกือบครึ่ง
เขาพูดได้หรือไม่ว่า เป็นสนมควรจักต้องอ่อนโยนดั่งสายน้ำ จักต้องมีทั้งความน่ารักเช่นหญิงสาวและต้องว่าง่ายอย่างสาวใช้ ถึงยามแง่งอนก็มิควรเก็บงำแต่เมื่อถึงคราต้องโอนอ่อนก็อย่าได้ทำตัวดั่งเปลวเพลิงที่พร้อมจะปะทุตลอดเวลา เพื่ออวดศักดาตน
“เจิ้น ก็ต้องมานอนน่ะสิ!”
พระองค์ทรงย่างพระบาทไปเพียงไม่กี่ก้าวก็ประทับนั่งลงบนฝั่งในสุดของแท่นบรรทม แล้วทรงนอนแผ่หลาเป็นอักษร “ต้า”**ลงบนแท่นบรรทมคล้ายไม่มีเฉินหรูอี้อยู่กระนั้น
ยามนี้เฉินหรูอี้เพิ่งสังเกตเห็นไฟในห้องที่ไม่ทราบว่าถูกจุดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด แสงไฟสีเหลืองนวลสว่างไปทั่วทั้งห้อง พระองค์ทรงฉลองพระองค์ตัวในเป็นผ้าฝ้ายสีเหลืองลักษณะการแต่งกายสำหรับบรรทม พระเกศาเกล้าไว้เรียบร้อยแต่มิได้สวมใส่มกุฎทอง
เมื่อองค์จักรพรรดิทรงมิได้สวมเสื้อคลุมมังกร มิได้สวมพระสุวรรณมงกุฎ มิได้ใส่เครื่องประดับหยกทองอันล้ำค่า ทรงฉลองพระองค์แบบเรียบง่ายเช่นนี้จึงดูออกว่าพระองค์นั้นยังเป็นเพียงบุรุษที่อายุไม่มากเท่านั้น แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะทรงตรากตรำเกินไปหรืออย่างไร แววตาแห่งความคึกคะนองเมื่อหลายปีก่อนนั้นถึงหายไปอย่างไร้ร่องรอยเปลี่ยนเป็นความสุขุมเข้ามาแทนที่
มิต้องกล่าวว่าพระองค์ทรงเสด็จมาเพื่อบรรทม แม้ทรงตรัสว่ามาเพื่อร่วมอภิรมย์กับนาง เฉินหรูอี้ก็มิกล้าขัดข้องแม้เพียงครึ่งคำ ผู้ใดกำหนดให้นางต้องเป็นสตรีขององค์จักรพรรดิถึงสองครั้งสองครากันเล่า ยิ่งมิต้องกล่าวถึงความช่ำชองของพระองค์ ที่เรียกว่าจักรพรรดิผู้ช่ำชองนั้นเนื่องด้วยไม่ว่าท่วงท่าใดๆ นางล้วนไม่มีทางเสียเปรียบเป็นแน่
แต่ทว่านางยังจำภารกิจที่ตนได้รับมอบหมายได้อย่างแม่นยำ เดิมทีให้นางคอยเป็นโล่ป้องเกาทัณฑ์ให้แม่นางหลินมิใช่หรือ ขอเพียงแต่แม่นางหลินอย่าได้เห็นนางเป็นศัตรูหัวใจจนสุดท้ายพุ่งเกาทัณฑ์ใส่นางเสียเองก็พอ
นางไม่แม้แต่จะครุ่นคิดว่าองค์จักรพรรดิทรงต้องพระทัยแม่นางหลินผู้นี้ที่ตรงไหน แต่หากแม่นางหลินเห็นนางเป็นศัตรู เพียงแค่อุปนิสัยอันเย่อหยิ่งทะนงตนมิเกรงกลัวสงครามปะทะอันใดของแม่นางหลินอีกทั้งเบื้องหลังยังมีองค์จักรพรรดิที่รักษาตนดุจหยกงามเพื่อแม่นางหลินคอยหนุนหลังอยู่ คาดว่านางยังมิทันต่อต้านก็คงถูกสั่งประหารอย่างไร้เยื่อไยไปเสียก่อนแล้ว
“แล้ว แล้วแม่นางหลินจะ....คิดมากหรือไม่เพคะ?” เชี่ยเซินจงรักภักดีต่อฝ่าบาทดุจจันทร์กระจ่างฟ้า แต่บุรุษสตรีอยู่ร่วมห้องหอหากแพร่ออกไปกลับมิใคร่น่าฟังนัก แม่นางหลินอยู่นอกวังจะ....
“หุบปาก”
เซียวเหยี่ยนหันหน้าชำเลืองมองเฉินหรูอี้ที่มักกล่าวแย้งพระองค์อยู่เสมอ “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว หากเป็นผู้อื่นเจิ้นมิกล้าพูด แต่สำหรับเจ้าแม่นางหลินกลับวางใจยิ่งนัก...เจ้าสนใจแต่เพียงเรื่องที่เจิ้นมอบหมายให้ทำก็พอ เรื่องอื่นมิต้องถามมิต้องยุ่ง”
นางเองก็ปรารถนางให้แม่นางหลินมิเห็นตนเป็นศัตรูเช่นกัน แต่สายพระเนตรอันแสนดูแคลนนั้นขององค์จักรพรรดิหมายความว่ากระไร?
เฉินหรูอี้นิ่งงันไป ต่อให้หน้าอกนางจะแบนราบ แต่อย่างไรก็เป็นสตรี อีกทั้งงดงามดุจบุปผา วาจาก็อ่อนหวาน แต่เมื่อพระองค์มีแม่นางหลินแล้วก็ไม่อาจยอมรับความจริงที่คนทั่วไปล้วนประจักษ์ ทรงทอดพระเนตรผู้อื่นเป็นดั่งอุจจาระกองหนึ่งไปเสียสิ้น
“อีกอย่าง”
เซียวเหยี่ยนหลับตาลงเอ่ยเน้นวาจาทีละคำว่า “เจิ้นตื่นง่าย เจ้าก็ระวังหน่อยแล้วกัน ดึกดื่นมิอนุญาตให้กัดฟัน กรน ผายลม หรือทำเสียงจิ๊จ๊ะใดๆ มิเช่นนั้นเจิ้นจะเอาเจ้าไปโยนสระไท่เยเสีย”
“......” ที่กล่าวมาล้วนเป็นเรื่องธรรมชาติ นางควบคุมได้ที่ไหนกัน?
เฉินหรูอี้รู้สึกหดหู่ยิ่ง นางเคยนอนคนเดียวมาตลอดจึงมิได้ใส่ใจว่าตนมีปฏิกิริยาเช่นไรเมื่อหลับฝัน
นางยังคงจดจำที่ถูกองค์จักรพรรดิรับสั่งให้คนลากนางไปโบยในคราที่เป็นขันที ภาพนั้นยังฝังลึกในจิตใจ ดังนั้นทุกคราที่พบเจอองค์จักรพรรดินางมักเกิดความรู้สึกหวาดกลัวและต้องประจบสอพลออยู่เสมอ นางได้ลบเลือนจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่มิเกรงกลัวต่ออำนาจใดเมื่อคราที่นางเป็นหวงโฮ่วไปจนหมดสิ้น
คนเรานั้นเมื่อหมัดต่อยถูกตนจึงรู้จักเจ็บ
“เหตุใดจึงมิตอบคำ เจ้าเป็นสุกร*หรือไร?” เงียบอยู่นาน เมื่อมิได้ยินเสียงตอบคำองค์จักรพรรดิจึงทรงกริ้ว
เฉินหรูอี้รู้สึกอดสูเสียจนอยากเอาศีรษะชนกำแพงตายไปเสีย “ฝ่าบาทมิใช่ให้เชี่ยเซิน “หุบปาก” หรือเพคะ?” เสียงนั้นบ่งบอกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจเหลือประมาณ
ครานี้คล้ายเป็นการออกหมัดใส่ดอกฝ้าย เซียวเหยี่ยนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแต่กลับมิอาจหาความผิดใดได้อีกจึงส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชาคราหนึ่งแล้วหมุนกายหันหลังให้กับเฉินหรูอี้
“นอน!” องค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยสุรเสียงกริ้วโกรธ
เฉินหรูอี้ได้แต่เคืองในใจมิกล้าเอ่ยปากพูดไปจึงค่อยๆ นอนลงบนเตียง เพียงแต่คืนนี้มิอาจนอนหลับได้อย่างสบายอารมณ์ด้วยกลัวว่าองค์จักรพรรดิจะเอานางไปโยนสระไท่เยจริงดั่งคำพระองค์ทรงตรัสไว้
แต่คิดไปวนมาก็เพียงหนึ่งราตรีเท่านั้น ไม่นอนก็มิเป็นไร ในคราที่เป็นขันทีคอยปรนนิบัติรับใช้ก็มิใช่มิเคยทำเช่นนี้นางจึงฝืนทนจนถึงฟ้าสาง
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเมื่อองค์จักรพรรดิลืมพระเนตรขึ้นจ้องมองนางประโยคแรกกลับกล่าวชมเชยนาง ทรงชมว่าท่านอนของนางไม่เลวทั้งยังนอนหลับอย่างเงียบเชียบคล้ายไร้ซึ่งตัวตน เพื่อความสมจริงพระองค์จึงทรงจะบรรทมที่นี่ต่อไปอีก
บรร..ทม....ที่....นี่...ต่อ....ไป...อีก
ช่วยข้าด้วย!
เป็นสนมรักช่างยากยิ่ง!
เฉินหรูอี้แทบเสียสติไปโดยพลัน เล่นละครวันเดียวก็เพียงพอแล้ว เหตุใดองค์จักรพรรดิต้องเล่นให้สมบทบาทถึงเพียงนี้? นางเพียงกลัวว่าถึงตอนที่ละครปิดฉากลงอย่างสวยงามนั้น ชีวิตของนางก็คงต้องบอกลาไปก่อนละครจบเป็นแน่
*หยางเหมย เป็นผลไม้จีน เรียกอีกอย่างว่ายัมเบอร์รี่ หรือเรด เบย์เบอร์รี่ มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว
*อักษรต้า 大 ในภาษาจีนมีลักษณะคล้ายคนนอนแผ่หลาจึงใช้นำมาเปรียบเปรยท่านอน
*สุกร คือหมู สำหรับคนจีนแล้วการด่าว่าเป็นสุกรหมายถึงโง่เขลา