บทที่ 30 แผ่นป้ายหยก
เฉินหรูอี้คิดไม่ถึงว่าองค์จักรพรรดิตรัสเพียงประโยคเดียวแต่นางกลับต้องพำนักอยู่ที่นั่นถึงสามวัน
เคราะห์ดีที่นางถามหยวนเป่าจึงรู้ว่าตนมีวิสัยนอนหลับเป็นเช่นไร ขอเพียงนางหลับก็มิต่างอันใดกับคนตายไม่แม้แต่จะขยับตัวเลยสักนิด แม้แต่เสียงงึมงำก็ไม่มี นางจึงกล้าหลับอย่างสบายใจได้ในสองราตรีที่เหลือ
วังหลังไม่เคยมีความลับยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องใหญ่อย่างการเลื่อนขั้นของพระสนม
ด้วยจักรพรรดิจางเหอทรงเป็นที่เลื่องลือว่าเป็นผู้มิโปรดเลื่อนขั้นแก่สนมนางใด ผู้ใดเลยจะทราบถึงคราออกโรงกลับน้ำพระทัยกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ครั้นทรงมีราชโองการให้เลื่อนขั้นกลับเลื่อนขึ้นเป็นถึงพระสนมเอกขั้น 2 แม้แต่พระสนมที่ทรงให้กำเนิดพระราชโอรสพระราชธิดาแก่พระองค์ก็ยังถูกเบียดไว้ด้านหลัง ในวังหลังแห่งนี้นางเป็นรองแค่ต่งกุ้ยเฟยเท่านั้น
ในวันที่เฉินหรูอี้ได้รับพระราชทานเลื่อนขั้นนั้นใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูปผู้คนทั้งวังหลังล้วนทราบกันถ้วนทั่ว
ผู้คนต่างคิดว่าจักรพรรดิจางเหอทรงโปรดปรานสนมเฉียนซึ่งเป็นสนมคนใหม่ แล้วก็จะทรงค่อยๆลืมเลือนสนมที่อยู่ตำหนักหมิงกวางผู้นั้นไป ผู้ใดเลยจะคาดคิดเพียงเสด็จดำเนินด้วยกันในอุทยานหลวงเพียงหน นางก็สามารถรั้งคืนดวงหทัยขององค์จักรพรรดิกลับมาได้ ทั้งยังได้รับการพระราชทานเลื่อนขั้นเสียจนหน้าบานใหญ่ถึงเพียงนี้
องค์จักรพรรดิเป็นผู้ปิดประตูจุดธูปเทียน*เช่นนั้น เหตุใดเมื่อเสด็จไปตำหนักหมิงกวางถึงได้บ้าคลั่งถึงเพียงนี้ แสดงน้ำพระทัยอันล้นเหลืออย่างไม่มีเก็บงำ?
จนกระทั่งเฉินหรูอี้พำนักอยู่ตำหนักฉางเล่อติดต่อกันถึงสามราตรี ทั้งวังหลังจึงเดือดประทุขึ้น เหล่าบรรดาสนมล้วนร้อนใจ มิอาจทนอยู่ได้ โอสถคลายวิตกของสำนักแพทย์หลวงกลายเป็นที่ต้องการอย่างมากจนไม่เพียงพอต่อนางสนมทั้งหลาย
ตั้งแต่ที่เฉินหวงโฮ่วทรงสวรรคตไป องค์จักรพรรดิก็ทรงซึมเศร้าโทมนัสไม่มีพระทัยไปคิดโปรดปรานสนมคนใดอีกเลย จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งปีด้วยถูกไท่โฮ่วทรงตักเตือนจึงได้ย่างกรายเข้าวังหลัง ครานั้นทรงมีรับสั่งเรียกสนมเพียงไม่กี่คนไปรับใช้ปรนนิบัติแต่พระองค์ล้วนมิทรงโปรดปราน พวกนางจึงถูกองค์จักรพรรดิลืมทิ้งไปภายในพริบตาดุจบุปผาร่วงโรยก็มิปาน ไหนเลยจะคาดเดาได้ว่านางกำนัลที่เพียงขับร้องบทเพลงเป็นแห่งตำหนักหมิงกวางผู้นี้จะเป็นดุจดั่งอากาศที่คอยดึงดูดให้องค์จักรพรรดิลุ่มหลงมัวเมา ทั้งที่หลังจากพ้นโทษทัณฑ์ของต่งกุ้ยเฟยนางต้องตกในสถานการณ์อันกดดันแต่กลับพลิกฟื้นตัวขึ้นมาได้ ไม่เพียงกลับมาเป็นที่โปรดปรานอีกครั้ง แต่ช่วงเวลาเพียงหันหน้ากลับเหยียบบรรดาสนมให้จมอยู่ใต้ฝ่าเท้าได้
ย้อนระลึกไปถึงเฉินหวงโฮ่วแม้นมิใช่สตรีที่มาจากตระกูลใหญ่เลื่องชื่ออันใด แต่อย่างไรก็เป็นลูกหลานบัณฑิต ซ้ำองค์ไท่โฮ่วยังคัดเลือกด้วยพระองค์เอง
แม้นองค์จักรพรรดิทรงคะนึงหาหวงโฮ่วที่สวรรคตไปแล้วมิเสื่อมคลาย บรรดาสนมก็ล้วนไม่มิอันใดโต้แย้งเพราะถึงอย่างไรทั้งสองพระองค์ก็เป็นสามีภรรยากัน ทั้งยังเป็นแค่คนตายไม่อาจขัดขวางอันใดผู้อื่นได้ แต่พวกนางล้วนมิใคร่กระจ่างแจ้งนักว่าเหตุใดรสนิยมขององค์จักรพรรดิถึงได้เปลี่ยนแปลงรวดเร็วยิ่ง หญิงงามในวังหลังมีเป็นร้อยเป็นพันหลากหลายรูปแบบ เหตุใดถึงได้ชมชอบสตรีที่ไม่มีกระทั่งหน้าอกทั้งสะโพกซึ่งเป็นเพียงนางกำนัลที่พอจะขับร้องเพลงได้บ้างก็เท่านั้น
หรือเมื่อเฉินหวงโฮ่วเสด็จสวรรคตได้นำเอาสุนทรียะของพระองค์ไปด้วยหรือไร? เหตุใดถึงได้รสนิยมลดต่ำได้รวดเร็วถึงเพียงนี้...
เหล่าสนมต่างร้อนใจดั่งไฟสุมทรวงพากันวิ่งโร่ไปยังตำหนักหย่งโซ่วเพื่อนำไฟดวงนี้มอบให้แด่ต่งกุ้ยเฟย ในเมื่อองค์จักรพรรดิทรงมีรับสั่งเรียกสนมไปปรนนิบัติแล้วนั้น เช่นนี้ควรต้องมีการเลือกแผ่นป้ายหยกพระองค์จะได้ลองลิ้มชิมหลากหลายรส ทุกรูปแบบล้วนได้ชิมลิ้มจึงจะดีที่สุด
คราที่เฉินหวงโฮ่วยังมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น จำนวนครั้งและจำนวนคนของพระสนมที่สามารถเข้ารับใช้ปรนนิบัติองค์จักรพรรดิได้นั้นล้วนขึ้นอยู่กับหวงโฮ่ว ทรงเคร่งครัดเข้มงวดในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แผ่นป้ายหยกก็ทรงมอบแด่กรมวังโดยตรง องค์จักรพรรดิมิทรงสนพระทัยต่อกิจการภายในวังหลัง หากผู้ใดไม่เชื่อฟังถูกหวงโฮ่วแขวนชื่อนั้นหมายความว่าคนผู้นั้นจะไม่มีโอกาสได้พบพระพักตร์องค์จักรพรรดิอีกเลย ด้วยเหตุนี้หวงโฮ่วจึงสามารถกำราบเหล่าสนมให้อยู่ในกำมือตนได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ต่งกุ้ยเฟยคือผู้รับหน้าที่ต่อจากเฉินหวงโฮ่ว นางเพียงร้องหนึ่งคำ ผู้คนขานรับนับร้อย บัดนี้คนก็ได้จากไปแล้วอำนาจการปกครองวังหลังล้วนตกอยู่ในมือของต่งกุ้ยเฟย เพียงไม่มีนามเรียกขานว่าหวงโฮ่วเท่านั้น แต่ความจริงกลับไม่ต่างอันใดกับหวงโฮ่วเลย
แต่สิ่งที่ต่งกุ้ยเฟยต้องการจริงๆ กลับเป็นพระนามเรียกขานว่าหวงโฮ่วอย่างถูกต้องตามกฎมณเฑียรบาล
นางเป็นพระมารดาของพระโอรสองค์โต บรรดาศักดิ์สูงส่งเหนือผู้ใด กิจการภายในวังหลังนางก็ล้วนดูแลจัดการอย่างเรียบร้อย นางมิได้อยากหยุดอยู่แค่ตำแหน่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
บุปผามิสวยสดถึงร้อยราตรี ชีวีมิอยู่สุขถึงพันทิวา นางมิเชื่อว่าองค์จักรพรรดิจะหยุดพระองค์เองไว้เพียงเท่านี้ได้ ผู้ใดจะล่วงรู้สักวันอาจมีนางจิ้งจอกโผล่มายั่วยวนองค์จักรพรรดิให้ลุ่มหลงมัวเมาแล้วให้กำเนิดพระราชโอรสแก่องค์จักรพรรดิ ถึงตอนนั้นค่อยป้องกันก็สายเกินไปเสียแล้ว
หากกล่าวถึงสตรีสกุลจ้าวแห่งตำหนักหมิงกวางนั้นต่งกุ้ยเฟยมิเคยเห็นอยู่ในสายตา นางคิดเสมอว่าพระองค์เพียงเกิดเบื่อหน่ายจึงหาของเล่นแก้เบื่อก็เท่านั้น แต่ความเร็วในการเลื่อนขั้นที่มิเคยมีมาก่อนเช่นนี้ แม้นตอนนี้จะยังไม่กระทบอันใดต่อนาง แต่นางก็มิอยากให้มีคนผูกขาดพระองค์ไว้เพียงผู้เดียว หากเวลานานไปอาจเปลี่ยนเป็นโปรดปรานนางขึ้นมาจริงๆ ได้
อีกอย่างต่งกุ้ยเฟยรับหน้าที่ต่อจากเฉฉินหวงโฮ่วมีหรือจะไม่เข้าใจว่าหากสามารถมีอำนาจในการจัดการรายชื่อพระสนมที่มีคุณสมบัติเข้าปรนนิบัติรับใช้องค์จักรพรรดิไว้ในมือได้ก็เท่ากับนางได้ยื่นมือไปจ่อที่คอหอยของเหล่าสนมทุกคนแล้ว
ตั้งแต่เฉินหวงโฮ่วเสด็จสวรรคตไปการมีรับสั่งเรียกสนมไปปรนบัติองค์จักรพรรดินั้นล้วนขึ้นอยู่กับความพอพระทัยของพระองค์ กรมวังก็มิได้ส่งแผ่นป้ายหยกไปให้พระองค์อีก
แต่การไปพำนักที่ตำหนักฉางเล่อของเฉินหรูอี้ครานี้ได้ปลุกความคิดนี้ของเหล่าสนมขึ้นมาอีกครา
ต่งกุ้ยเฟยเองก็อยากจะก้าวหน้าขึ้นไปอีกสักก้าวซึ่งหากเรียกขานให้ไพเราะก็คืออยากแบ่งเบาภาระขององค์จักรพรรดิแต่หากจะพูดให้ชัดมันก็คือวิธีการแทรกแซงอำนาจวิธีหนึ่ง
ต่อให้จะกล่าวยกยอนางว่าสูงส่งเพียงใดแต่ถึงอย่างไรก็มิใช่หวงโฮ่วอย่างถูกต้องจนสามารถสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องการเลือกพระสนมที่จะทำหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้องค์จักรพรรดิได้ตามใจชอบ เมื่อนางเป็นผู้อยู่ตรงกลางจึงตัดสินใจเรียกขันทีผู้ดูแลเรื่องห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิมาเลียบเคียงถามไถ่ว่าได้เตรียมแผ่นป้ายหยกไว้ให้องค์จักรพรรดิเลือกสนมเข้าปรนนิบัติหรือไม่เพราะหากพระองค์ทรงต้องใช้เมื่อใดจะได้มีพร้อม
ขันทีผู้ดูแลเรื่องห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิเป็นขันทีเฒ่าที่อยู่ในวังมานานจึงมิอยากล่วงเกินต่งกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดาของพระโอรสทั้งยังอาจได้เลื่อนขั้นเป็นหวงโฮ่วในอนาคตผู้นี้ แต่ยามนี้ห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิกลับมีพระสนมจ้าวซึ่งกำลังเป็นที่โปรดปรานครอบครองอยู่ เขาจะบุ่มบ่ามล่วงเกินผู้ใดทั้งที่สถานการณ์ยังไม่แน่ชัดเช่นนี้ได้อย่างไร?
ด้วยเหตุนี้เขาจึงให้ลูกศิษย์ในโอวาทตนออกหน้ารับแทนโดยให้เขาหาโอกาสเหมาะๆ เลียบเคียงพระราชประสงค์ขององค์จักรพรรดิดู
น่าเสียดายที่คนฉลาดแม้นคิดพันตลบก็ล้วนผิดพลาดได้ เขาไม่อาจคาดคิดว่าลูกศิษย์ตนจะรีบร้อนไปในเวลาเสวยพระกายาหารค่ำ ยามนั้นบริวารเดินไปมาขวักไขว่แต่ด้วยสีอาภรณ์ของเขามิเหมือนผู้อื่น เมื่อองค์จักรพรรดิทรงทอดพระเนตรเห็นเขาจึงเรียกให้เข้าไปหา
ขันทีน้อยเห็นองค์จักรพรรดิทรงเบิกบานพระทัยอย่างพบเห็นได้น้อยยิ่ง ถึงกระทั่งว่าทรงแย้มพระสรวลเสียด้วย พลันมิอาจแยกแยะเหนือใต้ออกตกจึงลืมคำสอนของอาจารย์ที่กำชับว่าขณะเอ่ยถามควรลงน้ำหนักเบาที่ใดเน้นส่วนไหนไปเสียสิ้นได้แต่เอ่ยปากโพล่งถามออกไปโต้งๆ ว่า “ฝ่ายห้องบรรทมควรต้องจัดเตรียมแผ่นป้ายหยกให้ฝ่าบาทหรือไม่พะย่ะค่ะ?”
ทั่วทั้งตำหนักตกเข้าสู่ความเงียบในทันใดแม้แต่ฝีเท้าของนางกำนัลที่เดินเข้ามาในขณะนั้นก็เปลี่ยนเป็นเบาลงโดยพลันไร้ซึ่งสุ้มเสียงประหนึ่งแมวกำลังจับหนูก็มิปาน
เคราะห์ดีที่ขนมเจ่าหนี*ที่เฉินหรูอี้เพิ่งกัดกินเข้าไปมิติดคอนางตายไปเสียก่อน
ตอนที่บรรดาสนมโวยวายเว้าวอนให้ต่งกุ้ยเฟยจัดการเรื่องแผ่นป้ายหยกนี้นางก็นั่งฟังอยู่ด้วย นางเองก็เฝ้ารอชมละครฉากสนุกนี้อยู่เช่นกัน ด้วยนางทราบดีว่าองค์จักรพรรดิทรงรักษาตนดุจหยกงามเพื่อแม่นางหลิน มิยอมแม้ให้ผู้ใดแตะต้อง เหตุใดบรรดาสนมถึงได้กระโดดเต้นไปมาทั้งที่มันเป็นเพียงแผนลวงเท่านั้น
แต่คิดไม่ถึงว่าต่งกุ้ยเฟยจะลงมือรวดเร็วปานนี้ยังมิทันข้ามวันก็ส่งคนมาถามต่อหน้าพระพักตร์องค์จักรพรรดิเสียแล้ว
เพียงแต่คนที่นางเลือกมา... ถูกลมตะวันออกเฉียงใต้ในเดือนเจ็ดพัดจนเสียสติไปแล้วหรือไร? ถึงได้ถามออกมาโต้งๆ เช่นนี้
นางลอบชำเลืองมององค์จักรพรรดิ พระพักตร์นิ่งขรึมดุจวารี สายพระเนตรเย็บเยือกดุจธารน้ำแข็งพันปี นางจึงค่อยๆ กลืนอาหารที่เคี้ยวอยู่ในปากลงไปอย่างเงียบเชียบด้วยหวาดกลัวความพิโรธขององค์จักรพรรดิจะทำให้นางตกใจตายไปอีกครา
*ขนมเจ่าหนี หรือ 枣泥糕 เป็นขนมโบราณของจีน ซึ่งนำเอาพุทราจีนมาต้มน้ำแล้วผสมรวมกับแป้งออกมาเป็นขนมเจ่าหนี