ตอนที่ 15 การมาถึง
“จะให้โอกาสมันไม่ได้ ต้องให้อาเหลียงติดตามข้าตลอดเวลา” ซือไป่หรงกังวลใจจริงๆ ว่าเจ้าเด็กที่ชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงจะลอบทำร้ายตนระหว่างภารกิจ “ไว้ชีวิตเจ้าเด็กนี่ไว้ชั่วคราวก่อน ไม่ข้องแวะอะไรกับมัน รอภารกิจเสร็จสิ้น เฮอะๆ คอยดูว่าข้าจะจัดการมันอย่างไร”
อัศวินจันทร์เงินอายุยี่สิบสองปีอย่างนั้นหรือ
อัศวินจันทร์เงินและชั้นสมญานั้นต่างกันเพียงขั้นเดียว...แต่ขั้นนี้นั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
จากอัศวินธรรมดาฝึกฝนจนเป็นอัศวินจันทร์เงิน อาศัยคุณสมบัติของพรสวรรค์ อาศัยวิถีการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมก็มีความหวังที่จะบรรลุได้ เช่นซือไป่หรงนั้นก็เพราะมีพรสวรรค์ที่ดีพอ และด้วยการปลูกฝังของตระกูล เขาก็ฝึกฝนจนสำเร็จเป็นอัศวินจันทร์เงินได้ในชั่วอึดใจ จากนั้น...ก็ติดอยู่ที่ชั้นจันทร์เงินแล้ว
อัศวินจันทร์เงินจะขึ้นถึงชั้นสมญาได้ มีเงื่อนไขเรื่องจิตวิญญาณสูงยิ่ง จำเป็นต้องถึงขั้น “ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง” แล้วจากนั้นอาศัยพลังจากฟ้าดินจึงจะบรรลุถึงชั้นสมญาได้
ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งหรือ
ซือไป่หรงสำเร็จเป็นอัศวินจันทร์เงินมานานปี ถังสงและเหลียงยงก็ล้วนสำเร็จเป็นอัศวินจันทร์เงินมานานปี แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่า “ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง” นั้นคือเรื่องอันใดกัน
……
นักเวทย์นั้นกลับไม่เหมือนกัน
เหล่าอัศวินอาศัยร่างกาย ส่วนนักเวทย์ให้ความสำคัญกับสติปัญญามากกว่า
เหล่านักเวทย์จำเป็นต้องค้นคว้าเรื่องฟ้าดิน พิเคราะห์ธรรมชาติ และค้นคว้ากฎเกณฑ์ต่างๆ มากมาย จึงจะสามารถเข้าถึงเวทมนตร์ได้ทั้งหมด ดังนั้นนักเวทย์ยิ่งมีพลังแกร่งกล้าเท่าใด สติปัญญาก็ยิ่งเลิศล้ำขึ้นเท่านั้น โดยทั่วไปจะเป็นปรมาจารย์เวทย์ชั้นจันทร์เงินได้นั้น...สติปัญญาล้วนไม่ธรรมดา ดังนั้น “อวี๋จิ้งชิว” จึงสามารถทำให้คนตะลึงงันได้ ยังเยาว์วัยเช่นนี้ก็เลิศล้ำถึงเพียงนี้ หากค้นคว้าเรื่องฟ้าดิน พิเคราะห์ธรรมชาติต่อไป...ในชีวิตร้อยกว่าปีต่อจากนี้ เป็นไปได้มากว่าจะถึงขั้น “ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง”
นักเวทย์จะถึงขั้นฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งได้ ต้องอาศัยการค้นคว้า
ส่วนอัศวินอยากจะถึงขั้นฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งได้นั้นยากนัก อัศวินมากมายล้วนโลกแคบ ไม่รู้สักนิดว่าจะไปถึงขั้น “ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง” ได้อย่างไร ดังนั้นแม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะเป็นอัศวินจันทร์เงินวัยยี่สิบสองปี แต่ก็เห็นได้ชัดว่า ผู้คนไม่ได้ให้ความสำคัญเท่ากับอวี๋จิ้งชิว คนทั่วไปล้วนเชื่อว่า...ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยพรสวรรค์ร่างกายที่ดี ตลอดเส้นทางการฝึกฝนไร้อุปสรรค แค่ชั่วอึดใจก็ถึงชั้นจันทร์เงินแล้ว
แม้เขตแดนวิถีหอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงจะถึงขั้นปรมาจารย์ ได้รู้แจ้งแล้ว แต่กว่าหกปีมานี้เขาก็ยังคงฝึกฝนอยู่ที่หอไม้ไผ่บนภูเขาด้านหลังมาโดยตลอด สัมผัสรับรู้ฟ้าดินและธรรมชาติ วิถีหอกยาวก็ยิ่งราบเรียบเป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่ถึงบัดนี้ก็ยังไม่เคยถึงขั้นฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง
แต่ร่างกายที่แข็งแกร่งของเขา ได้มอบพลังชั้นยอดของชั้นสมญาให้กับเขา เมื่อสายเลือดพลังระเบิด พลังก็เพิ่มเป็นเท่าทวี
พอจะจัดเป็นแถวหน้าในบรรดาชั้นสมญาได้แล้ว
“แค่เจ้าเด็กโชคดีคนหนึ่ง กล้าท้าทายข้าเช่นนั้นหรือ ช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ” ซือไป่หรงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วก็กลับไปยังห้องลำเรือ
“จิ้งชิว” ซือไป่หรงเดินไปอยู่ข้างอวี๋จิ้งชิว
“มีเรื่องอันใด” อวี๋จิ้งชิวที่นั่งหลับตาบำเพ็ญอยู่ตรงนั้นลืมตาขึ้นมา
“เมื่อไปโจมตีปราการเมืองตระกูลหลู ต้องระวังหน่อยนะ โดยเฉพาะตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้น เจ้าเด็กนี่อายุน้อยเกินไปจิตใจไม่ค่อยมั่นคง ข้ากังวลว่าถึงเวลานั้นเขาจะทำพังหมด”ซือไป่หรงกดเสียงลงต่ำแล้วพูด “ถึงตอนนั้นเจ้าอยู่กับข้าและอาเหลียง พวกเราต้องปกป้องเจ้าได้แน่นอน”
“เขาจะทำพังหรือ เหตุใดเขาจึงจะทำพังเล่า” อวี๋จิ้งชิวงุนงง
“เจ้าระวังก็พอแล้ว”ซือไป่หรงไม่ได้พูดให้ละเอียดก็เดินจากไปเสียแล้ว
คิ้วงามของอวี๋จิ้งชิวเลิกขึ้นเล็กน้อย พลางมองซือไป่หรงที่อยู่ไกลออกไป ทั้งยังมองไปยังหนุ่มน้อยชุดดำตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่อีกด้าน แล้วก็แอบร่ำร้องว่า “ก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งสองล้วนไปที่ดาดฟ้าเรือ หรือว่ากระทบกระทั่งอะไรกันขึ้นมา ดูแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงคนนั้นก็ไม่ใช่คนมุทะลุนี่นา เฮ้อ หวังว่าภารกิจครั้งนี้คงไม่เกิดอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้นหรอกนะ”
นางแอบกังวลใจอยู่บ้าง
“หายใจออก…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น หัวใจค่อยๆ เต้นช้าลงเรื่อยๆ ลมหายใจก็ช้าลงเรื่อยๆเช่นกัน แต่สัมผัสโลกรอบข้างกลับยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอายแต่ละสายโดยรอบล้วนชัดเจนยิ่ง ทั้งกลิ่นอายของอวี๋จิ้งชิว ถังสง ซือไป่หรง เหลียงยง และผู้ขับเรือบินสองคนนั้น เขาถึงขั้นสัมผัสถึงลมที่พัดอย่างบ้าคลั่งอยู่ด้านนอกได้
หัวใจดุจน้ำนิ่ง สงบนิ่งราวกระจก ส่องสะท้อนฟ้าดินและธรรมชาติภายนอก
……
ท้องฟ้าเริ่มสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ
เรือบินสีขาวเงินบินอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆมาตลอด
“ถึงแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ ฟื้นคืนลมหายใจปกติกลับมา เลือดที่ไหลเวียนก็ฟื้นกลับมา เขามองตรงไปยังด้านนอก เขาสัมผัสได้ว่าความเร็วของเรือบินนั้นกำลังลดลงไม่หยุดอย่างเห็นได้ชัด
“ทุกท่าน เตรียมตัวลงไปได้แล้วขอรับ อีกไม่นานก็จะถึงปราการเมืองตระกูลหลูแล้ว” คนของหอภูผามังกรที่ขับเรือบินเอ่ย
“จะถึงแล้วหรือ”
“อีกไม่นานก็จะได้รบแล้ว”
ทุกคนล้วนลุกขึ้น ใกล้จะได้ออกศึกครั้งใหญ่ในอีกไม่ช้านี้ จิตใจของแต่ละคนล้วนแตกต่างกันไป
ภารกิจที่อันตรายเช่นนี้ ซือไป่หรงเพิ่งจะเคยรับเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงนำทหารคุ้มกันในตระกูลซึ่งเป็นอัศวินจันทร์เงินมาด้วย เขารู้สึกทั้งหวาดหวั่น ทั้งจิตใจไม่สงบ ยิ่งอยากจะแสดงพลังต่อหน้าอวี๋จิ้งชิว
ส่วนถังสงนั้นกลับสงบเป็นอย่างยิ่ง ผู้เฒ่าที่อยู่มาถึงหนึ่งร้อยหกสิบกว่าปี จะเป็นคลื่นลมที่หนักหน่วงรุนแรงเพียงใดเขาล้วนเคยประสบมาหมดแล้ว
เหลียงยงนั้นมีความละเอียดรอบคอบอยู่บ้าง เพราะเขาต้องปกป้องซือไป่หรงให้ดี
อวี๋จิ้งชิวมารับภารกิจเป็นครั้งแรก แม้จะตื่นเต้นไปบ้าง แต่จิตใจของนักเวทย์ทำให้นางสามารเผชิญกับทุกสิ่งได้อย่างสงบนิ่งมาตลอด
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นหรือ ในฐานะที่เป็นพลังรบชั้นสมญา เขาไม่มีความเกรงกลัว มีเพียงความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับปราการเมืองตระกูลหลูอย่างเต็มที่เท่านั้น
“ทุกท่าน”
ทั้งห้าเดินมาถึงดาดฟ้าเรือ เมื่อมองลงไปด้านล่างก็สามารถเห็นปราการเมืองอันองอาจนั้นได้ ในยามนี้เรือบินอยู่ห่างจากด้านล่างเพียงสามร้อยกว่าเมตรเท่านั้น แต่เพราะลวดลายเวทมนตร์ที่ผิวของเรือบินสร้างหมอกขึ้นมาปกคลุมเอาไว้ คนที่อยู่ด้านล่างจึงมองไม่เห็นเรือบินแม้แต่น้อย
“เดี๋ยวอีกสักครู่ข้าจะร่ายเวทมนตร์ปกคลุมทุกท่าน พวกเราทะยานลงไป ก็จะลอบเข้าไปในปราการเมืองตระกูลหลูได้อย่างเงียบเชียบแล้ว” อวี๋จิ้งชิวพูด “หากสามารถแทรกซึมเข้าไปได้อย่างเงียบเชียบ สังหารหลูหวายหรูนั่นเสียเลย เช่นนั้นก็คงดียิ่งแล้ว”
“ประเสริฐ ทำตามที่จิ้งชิวว่าเถิด” ซือไป่หรงพูดออกมาเป็นคนแรก
“มีปรมาจารย์เวทย์ชั้นจันทร์เงินสักคนร่วมทาง นับเป็นโชคดีของข้า” ถังสงก็พูดพลางหัวเราะแห้งๆ
“เคร้ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับดึงด้ามหอกสองด้ามออกมาจากกล่องอาวุธที่สะพายอยู่ เริ่มต่อหอกเทพหิมะเหินเข้าด้วยกัน
ซือไป่หรงเห็นแล้วก็เบ้ปาก เมื่อพลิกมือ ในมือก็ปรากฏกระบี่ใหญ่คู่หนึ่ง
คนทั้งหมดล้วนเตรียมพร้อม สามารถประจัญบานได้ทุกเวลา
“ฟิ้ว...”อวี๋จิ้งชิวที่สวมอาภรณ์เขียวถือคทาเวทย์ด้ามหนึ่งไว้ในมือ ทันใดนั้นม่านลมหมุนก็โอบล้อมคนที่อยู่ตรงนั้น
“พวกเราลงไปกันเถิด” อวี๋จิ้งชิวพูด
“ไป”
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว
ทั้งห้าทะยานลงจากเรือบินพร้อมกัน ที่จริงแล้วพลังของพวกเขาไม่ว่าคนไหน ทะยานลงมาจากท้องฟ้าสูงสามร้อยกว่าเมตรก็ล้วนไม่มีปัญหา ลมหมุนนั้นก็เพื่อปรับจุดที่จะลงและเพื่อเร้นกายเท่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังด้านล่าง ขณะที่กำลังลงมานั้น ลมหมุนช่วยจัดให้พวกเขาลอยตรงไปยังหลังคาปราการเมืองชั้นในของปราการเมืองตระกูลหลู ทั้งปราการเมืองชั้นในดูราวกับวัตถุแปลกประหลาดทรงแปดเหลี่ยมหมอบอยู่ที่นั่น ขณะเดียวกันด้านล่างก็เกิดลมขึ้นมา เสียงลมหวีดหวิว หอบหมุนเอาต้นไม้ใบหญ้าขึ้นมา ทำให้ทหารของปราการเมืองยากที่จะลืมตาขึ้นได้
สวบ สวบ สวบ สวบ สวบ
ด้วยความช่วยเหลือจากลมหมุนนั้น ทั้งห้าก็ลงมาอยู่บนหลังคาได้อย่างเงียบเชียบ
“ไป พวกเราเข้าไปกันเถิด” สองมือของซือไป่หรงถือกระบี่เล่มใหญ่ พร้อมออกศึกเต็มที่
“วิ้ง...”
หลังคาปราการเมืองชั้นในใหญ่โตนัก บัดนี้มีแสงสีแดงแสบตาสว่างขึ้นมา ภายใต้แสงนั้น พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งห้าไร้ทางหลบหนีได้
“มีมือสังหาร” น้ำเสียงเยียบเย็นเสียงหนึ่งแพร่ออกไปจากปราการเมืองชั้นใน สะท้อนก้องไปทั่วทุกที่ในปราการเมือง “อยู่บนหลังคานั่น ฆ่าพวกมันเสีย”
“มือสังหาร”
“อยู่นั่นเอง ฆ่าพวกมันเสีย”
ทหารจำนวนมากเดินรักษาการณ์อยู่บนกำแพงปราการเมืองชั้นนอก ทหารรักษาการณ์ที่ต่างๆ ในปราการเมืองชั้นในก็ปรากฏกายขึ้นทันที พลันมีธนูทลายดาวเกินสองร้อยคันเล็งตรงมาที่นี่ ที่ทราบกันนั้น ตระกูลหลูก็มีปรมาจารย์เวทย์ชั้นดาวตกท่านหนึ่งที่ถนัดด้านการแปรธาตุ ทั้งยังมีอัศวินชั้นดาวตกสี่คน พลังเช่นนี้ แน่นอนว่าทหารของปราการเมืองก็ย่อมเตรียมการไว้ดียิ่ง
“พวกเราถูกจับได้แล้ว” ถังสงเปิดปากพูด
“เฮอะ ถูกจับได้แล้วอย่างไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่เสียหน่อย ฆ่าพวกมันให้หมด”ซือไป่หรงยิ้มเย็น
“ครั้งนี้พวกเรามุ่งเป้าไปที่ตระกูลหลู หากพวกเจ้าขัดขวาง พวกเราก็ได้แต่ส่งไปตายเท่านั้น” อวี๋จิ้งชิวที่ถือคทาเวทย์อยู่เปิดปากพูด น้ำเสียงของนางกังวานน่าฟัง สะท้อนไปทั่วทุกที่ในปราการเมือง ขณะเดียวกัน ที่มาพร้อมกับเสียงของนางก็คือในรัศมีหลายลี้โดยรอบนั้นเกิดลมหนาวและน้ำค้างแข็งขึ้นจนนับไม่ถ้วน อุณหภูมิอากาศรอบด้านลดลงอย่างรวดเร็วในฉับพลัน
น้ำค้างแข็งหนาทึบจับตัวกันอยู่บนพื้น พื้นดินบางส่วนถูกน้ำแข็งปกคลุมโดยสมบูรณ์ ทั้งปราการเมืองตระกูลหลูอันมหึมานั้นเปลี่ยนแปรเป็นปราการเมืองน้ำค้างแข็งอันมหึมา บนร่างของทหารทั้งหมดล้วนมีน้ำค้างแข็งจับตัวอยู่ แต่ละคนล้วนตัวสั่นงันงก
“หนาว หนาวจัง” ทหารหลายคนกระเสือกกระสนล้มลงไปกับพื้น
“หากถอยออกจากเขตแดนน้ำค้างแข็งพวกเจ้าจะรอดชีวิตได้ มิเช่นนั้นหากยังตัวแข็งเช่นนี้ต่อไป ก็ต้องแข็งตายเท่านั้น” อวี๋จิ้งชิวพูด นางยังมีใจเมตตาปรานีเหล่าทหารตัวเล็กๆ เหล่านี้
“ฟู่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังน้ำค้างแข็งรอบด้าน เมื่อสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิอันหนาวเหน็บยิ่ง เขาก็ถอนใจด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง มิเสียทีที่นักเวทย์อวี๋จิ้งชิวถนัดพวกเวทมนตร์น้ำแข็งมากที่สุด เพียงยกไม้ยกมือขึ้นมา บริเวณที่เขตแดนน้ำค้างแข็งควบคุมนั้นก็ปกคลุมทั้งปราการเมืองพอดิบพอดี อุณหภูมิอันหนาวเหน็บยิ่งนั้นยังไม่ถึงขั้นทำให้คนแข็งตายได้ในชั่วอึดใจ พลังควบคุมเช่นนี้ช่างร้ายกาจเสียจริง
แน่นอนว่าหากถูกแช่แข็งเป็นเวลานานแล้ว ก็ย่อมทำให้คนตายได้
“รีบไปเร็ว รีบไปเร็ว” พวกทหารที่ร่างกายแข็งแกร่งรีบดึงเหล่าทหารที่อ่อนแอกว่าหนีออกไปข้างนอก พวกบ่าวรับใช้ในปราการเมืองชั้นในก็หนีออกไปเช่นกัน ทหารสองสามพันคนเมื่อตกอยู่ใน “เขตแดนน้ำค้างแข็ง” ไร้ซึ่งแรงต้านทานใดๆ แต่ละคนทำได้เพียงหนีออกไปเท่านั้น สถานการณ์ที่หนาวเหน็บถึงเพียงนี้ พวกเขาล้วนแข็งจนตัวสั่นงันงก นิ้วมือชาเสียจนไร้ความรู้สึก ย่อมไม่มีทางใช้ธนูทลายดาวได้อยู่แล้ว
“ไปกันเถอะ” อวี๋จิ้งชิวถือคทาเวทย์ อีกสี่คนล้วนอยู่รอบข้าง ทั้งหมดล้วนถลาลงมาจากหลังคา ในเมื่อไม่สามารถลอบเข้าไปอย่างเงียบๆ ได้ เช่นนั้นก็ต้องโจมตีต่อหน้าแล้ว
……
“เฮอะ เจ้าพวกทึ่มฝูงหนึ่ง ไม่มีประโยชน์อันใดเลยสักนิด” เมื่อมองเห็นเหล่าทหารล้วนหนีออกไปข้างนอกแต่ไกล หลูหวายหรูแค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชาคราหนึ่งพลางทะยานไปยังระเบียงอย่างรวดเร็ว รีบมุ่งไปยังที่ลับในปราการเมืองชั้นใน “เห็นทีคงต้องอาศัยผู้พิทักษ์กฎทั้งหลายแล้ว หากพวกเจ้าไม่เข้ามาก็แล้วไป แต่ถ้ากล้าเข้ามาในปราการเมืองชั้นในที่ข้าสร้างแล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็ต้องตายสถานเดียว”
หลูหวายหรูมั่นใจมากพอ
ยันต์มนตรากับดักกลไกของเขา...อัศวินจันทร์เงินจะมาคนหนึ่ง สามคน ห้าคนก็ล้วนต้องตายทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าที่นี่ยังมีใต้เท้าทูตสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งอาศัยอยู่ด้วย นี่ทำให้เขามั่นอกมั่นใจยิ่งนัก
……………………………………………………………………………………………