Chapter 002

บทที่ 2 คนสูงต่ำย่อมรู้ตนเอง

ตระกูลหนิงแห่งหมู่บ้านเป่ยหลิวอำเภอหยางเฉิงเมืองเจ๋อโจว ตั้งแต่บรรพบุรุษขุดพบถ่านหินก้อนแรกบนเขาในหมู่บ้านเป่ยหลิว จนถึงวันนี้ก่อตั้งตระกูลมาสองร้อยเจ็ดสิบปีแล้ว

เมื่อร้อยกว่าปีก่อนตระกูลหนิงไม่เพียงร่ำรวยมหาศาลแล้วเท่านั้น หลังรากฐานมั่นคง หัวหน้าตระกูลหนิงก็ใช้ทรัพย์สินของตระกูลวางรากฐานการศึกษาของตระกูลเชิญอาจารย์ชื่อดังยอดบัณฑิตมา ลูกหลานในตระกูลก็ไม่ทรยศความคาดหวังอันยิ่งใหญ่ หลังจากนั้นในช่วงเวลาร้อยปีก็มีบัณฑิตก้งเซิง[footnoteRef:1]สี่สิบคน บัณฑิตจวี่เหริน[footnoteRef:2]ยี่สิบคน บัณฑิตจิ้นซื่อ[footnoteRef:3]เก้าคน เข้าเป็นบัณฑิตฮั่นหลินหกคน ได้ชื่อว่า “มากคุณธรรมหนึ่งตระกูลเก้าจิ้นซื่อ พระราชทานเกียรติยศสามรุ่นหกฮั่นหลิน” [1: บัณฑิตก้งเซิง (贡生) บัณฑิตที่สอบการสอบขุนนางในระดับภูมิภาคแล้วมีผลคะแนนดี มีความสามารถจนได้รับคัดเลือกเข้าไปศึกษาในโรงเรียนในเมืองหลวง] [2: บัณฑิตจวี่เหริน (举人) บัณฑิตที่สอบผ่านการสอบขุนนางในชั้นต้น หรือบัณฑิตที่ถูกเสนอชื่อให้เข้าสอบการสอบขุนนางในรอบต่อไป] [3: บัณฑิตจิ้นซื่อ (进士) บัณฑิตที่สอบผ่านการสอบขุนนางในรอบสุดท้ายซึ่งจัดโดยราชสำนัก]

ร้อยปีที่ผ่านมาลูกหลานสี่สิบกว่าคนเป็นขุนนาง ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลหนิงขจรขจายไปทุกแห่งทั้งเหนือใต้ จากบันทึกประวัติตระกูล สถานที่ต่างๆ เมื่อได้คนตระกูลหนิงไปเป็นขุนนางถึงกับตั้งศาลถึงสิบกว่าแห่ง

ตอนนี้หนิงเหยียนบุตรคนรองของผู้เฒ่าหัวหน้าตระกูลก็เป็นรองเจ้ากรมโยธาฝ่ายขวา

สำหรับตระกูลใหญ่อายุร้อยปีแบบนี้ มีคนกล้ามาท้าทายสร้างความวุ่นวายเช่นนี้ช่างเหนือความคาดหมาย ไม่อาจยอมทนได้เด็ดขาด

นายหญิงสี่โกรธจัดขึ้นบ้างแล้ว

“เห็นตระกูลหนิงเราเป็นอะไร ใครกล้ามาแขวนคอก็แขวนไปสิ!” นางลุกขึ้นยืน “พี่สะใภ้ใหญ่ท่านไม่ต้องไปเจอนาง ข้าจะไปเจอนาง พูดกับนางให้รู้เรื่อง”

พูดจบก็หมุนกายเดินออกไปตามที่พูด

“น้องสะใภ้สี่” นายหญิงใหญ่ตระกูลหนิงรีบร้องเรียกจะลุกขึ้น

นายหญิงสามกดเธอไว้

“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านไม่ต้องจัดการแล้ว ให้พวกเราไป” นางกล่าวขึ้น

นายหญิงใหญ่ตระกูลหนิงสีหน้าอับจนมองพวกนางหมุนตัวออกไปข้างนอก

“พวกเจ้าคุยกับนางดีๆ นางน่าสงสารนัก อย่าขู่นางเลย” นางพูดขึ้นมาอย่างร้อนรน “แล้วก็อย่างไรก็ต้องไว้หน้าตระกูลฟาง”

“หน้าตระกูลฟาง?ตระกูลฟางไม่ไว้หน้าพวกเรา พวกเราทำไมต้องไว้หน้าพวกเขา”

ไม่พูดถึงตระกูลฟางก็แล้วไป พอพูดขึ้นนายหญิงสามยิ่งโกรธ ไม่รอนายหญิงใหญ่พูดอีก ก็พาบรรดาหญิงรับใช้เดินออกไป

ในห้องความสงบเงียบกลับคืนมา บนใบหน้าของนายหญิงใหญ่หนิงไม่มีความร้อนรนอย่างเมื่อครู่อีก สีหน้านิ่งเรียบมองเด็กสาวสามคนที่ยืนอยู่ด้านข้างทีหนึ่ง

“คุณหนูจวินทำไมถึงคิดใช้วิธีการฆ่าตัวตายมาขู่ตระกูลของพวกเราได้?” อยู่ๆ นางก็ถามขึ้น

เด็กสาวทั้งสามสบตากันครั้งหนึ่ง แววตาเป็นประกาย

“ใครจะรู้เล่า คงได้ยินเรื่องพี่สิบจะหมั้นหมายกับคุณหนูตระกูลหยางเลยนั่งไม่ติดแน่” เด็กสาวคนหนึ่งพูดขึ้น

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ตั้งแต่นางได้พบหน้าพี่สิบครั้งหนึ่งในเทศกาลโคมไฟเมื่อวันที่สิบห้าเดือนแปด ก็ยิ่งไม่รู้จักยางอาย รังควานติดพัน ยังดีพี่สิบไม่ค่อยอยู่ที่ตระกูล นางประกาศไปทั่วในหมู่คุณหนูในเมืองว่าตัวเองเป็นว่าที่พี่สะใภ้ของพวกเรา” เด็กสาวอีกคนพูดขึ้นมาอย่างเกลียดชัง “พอได้ยินว่าพี่สิบจะหมั้นขึ้นมากะทันหัน นางก็เป็นบ้าขึ้นมา”

สายตาของนายหญิงใหญ่หนิงเลื่อนลงมาที่หนิงอวิ๋นเยี่ยนผู้ไม่พูดไม่จา

“เยี่ยนเยี่ยน เรื่องคุณหนูตระกูลหยาง เป็นเจ้าบอกนางสินะ” นางกล่าวขึ้น

หนิงอวิ๋นเยี่ยนเบ้ปากเล็กๆ ของตน

“ข้าไม่ได้บอกนะ ปกติข้าไม่ให้นางสงสัยหลบเลี่ยงไม่พูดกับนาง” นางกล่าวขึ้น พอพูดถึงตรงนี้ก็หัวเราะรื่นเริงขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าก็แค่บอกหลินจิ่นเอ๋อร์ แต่ข้ากำชับนางแล้วว่าไม่ให้บอกคนอื่น”

ที่กำชับไปคงไม่ใช่สิ่งนี้แน่ คงจะเป็นเรื่องอื่น ดูท่าคงจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุณหนูจวินผูกคอฆ่าตัวตาย

เด็กสาวอายุสิบกว่าปีทำสิ่งใดได้ซื่อไร้เดียงสาและไม่รู้จักหวาดกลัว

นายหญิงใหญ่ขมวดคิ้วน้อยๆ

“เรื่องนี้ตระกูลจะจัดการเอง พวกเจ้าพี่น้องไม่อนุญาตให้เข้ามายุ่ง กันไม่ให้โดนนางลากชื่อเสียงลงไปด้วย”

แต่นางไม่ได้ซักไซ้ถามเรื่องนี้ต่อ ยิ่งกว่านั้นไม่ได้ตำหนิ

เด็กสาวทั้งสามก็รับคำท่าทางดีใจ

“รู้อยู่แล้วเชียวว่าไม่ต้องกังวล” หนิวอวิ๋นเยี่ยนยื่นมือมาจับข้อศอกของมารดายิ้มเริงร่าพูดขึ้น “นางจะตายก็เป็นนางเองที่อยากตาย พวกเรากลัวอะไรนาง”

“อีกอย่าง นางไม่ใช่ไม่ตายหรือ” เด็กสาวอีกคนหนึ่งพูดขึ้น ในดวงตาเต็มไปด้วยแววเหยียดหยัน “ตัวเองยังไม่กล้าตาย ยังจะเอาเรื่องนี้มาขู่ตระกูลของเรารึ? นางคิดว่านางเป็นใครกัน”

นายหญิงใหญ่หัวเราะไม่พูดคำ

“ท่านแม่ ข้าคัดอักษรเสร็จแล้ว”

“ท่านป้าใหญ่ ข้าก็คัดเสร็จแล้ว”

เหล่าเด็กสาวพูดเสียงอ่อนเสียงหวานเปลี่ยนเรื่อง

“ดี ข้าดูสิ คัดไม่ดี ต้องถูกลงโทษนะ” นายหญิงใหญ่ตระกูลหนิงกล่าวขึ้น

บรรดาเด็กสาวรีบเข้ามาพยุงนายหญิงใหญ่เดินไปที่ห้องเล็กฝั่งตะวันออก เสียงพูดเสียงหัวเราะครื้นเครงอบอุ่น

คุณหนูตระกูลจวินคนนั้นไม่นับเป็นเรื่องอะไรทั้งนั้น

.....................................

เมื่อได้ยินเสียงขานเรียกนายหญิงดังมาจากด้านนอก สาวใช้ตัวน้อยที่กำลังยื่นมือไปบิดของหวานที่วางอยู่บนโต๊ะก็รีบยืดตัวตรง

ม่านประตูแหวกออก เสียงฝีเท้าหยุดลงในห้อง

คุณหนูจวินที่หรุบตานิ่งสงบมาตลอดเงยขึ้นมองนายหญิงสองคนนี้

“เฮ้? พวกเจ้าใครเป็นนายหญิงใหญ่ตระกูลหนิงล่ะ? ”สาวใช้ตัวน้อยจ้องเขม็งถามขึ้น

ครั้งก่อนที่พวกนางมาแม้แต่ประตูชั้นในก็ไม่ได้เข้า ไม่ต้องพูดถึงได้พบตัวนายหญิงใหญ่ ครั้งนี้ในที่สุดก็ได้เข้าประตูมาแล้ว ทั้งยังมีนายหญิงมาพบพวกนางด้วย

เพียงแต่หญิงทั้งสองต่างสวมชุดแต่งตัวหรูหราอย่างปกติ ใครถึงจะเป็นนายหญิงใหญ่?

มีนายอย่างไรก็มีขี้ข้าอย่างนั้น ช่างหยาบคายไร้มารยาทเสียจริง

ในสายตาของนายหญิงตระกูลหนิงทั้งสองฉายแววดูถูก

“มีเรื่องอะไร เจ้าก็พูดกับพวกเราเถอะ” นายหญิงสามงพูดขึ้น

สาวใช้ตัวน้อยยังจะพูดอะไรสักอย่าง คุณหนูจวินยกมือขึ้นห้ามไว้

“ดี” นางลุกขึ้นยอบกายเคารพ พร้อมกันนั้นก็ยื่นมือไปลูบผ้าแพรขาวบนโต๊ะ

นายหญิงสามกับนายหญิงสี่พลันคิ้วกระตุก

ขู่อีกแล้ว

“คุณหนูจวิน เรื่องการหมั้นหมายนี้ก็พูดไปชัดเจนแล้ว ตระกูลของยายเจ้าก็เข้าใจชัดเจนแล้ว คำพูดของพวกเราคนนอกเจ้าไม่ฟัง เจ้าก็ไปถามพวกเขาดูเถอะ พวกเขาเป็นครอบครัวของเจ้า” นายหญิงสี่เปิดปากพูดขึ้นก่อน

“ที่พวกท่านพูดข้าเข้าใจชัดเจนแล้ว ไม่จำเป็นต้องถามอีก” คุณหนูจวินพูดขึ้น ปัดผ้าแพรขาวบนโต๊ะออก ที่แท้ข้างใต้มีกระดาษแผ่นหนึ่งโดนทับอยู่ “ในเมื่อพูดชัดเจนแล้ว ก็คุยกันว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไรเถอะ”

นางส่งกระดาษแผ่นนั้นข้ามมา

นี่คือสิ่งใด?

นายหญิงสามกับนายหญิงสี่มองกระดาษบางๆ ที่ส่งข้ามมา รอจนเห็นตัวหนังสือบนกระดาษชัดก็พลันตระหนก

หนังสือหมั้น!

นายหญิงสามยื่นมือไปคว้ามาตรวจดูอย่างไม่อยากจะเชื่อ

เป็นหนังสือหมั้นที่ลงชื่อย่อคนสามรุ่น ผู้เจรจางานหมั้น เจ้าหน้าที่งานแต่งและมรดกไว้ชัดเจน สัญญาหมั้นหมายที่เขียนได้เช่นนี้ อย่างไรก็ไม่มีทางเป็นแค่ตอนแรกพลั้งปากพูดอย่างที่นายหญิงใหญ่ตระกูลหนิงเล่า

นายท่านผู้เฒ่าตระกูลหนิงเขียนหนังสือหมั้นเอาไว้จริงๆ ตั้งใจจะแต่งงานดองสองตระกูลเข้าด้วยกัน อย่างน้อยตอนนั้นก็ตั้งใจจริง ส่วนหลังจากนั้นเมื่อไหร่และทำไมกลับใจ ปิดปากสนิทไม่พูด นายท่านผู้เฒ่าตระกูลหนิงไม่อยู่แล้วก็ไม่มีใครรู้อีก

ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เคยหยิบหนังสือหมั้นออกมา?

ไม่มีหนังสือหมั้น ตระกูลฟางก็ดี คุณหนูจวินก็ดี จะเป็นจะตายทำเรื่องใหญ่โตเพียงใดก็จัดการได้ แต่ถ้าหากมีหนังสือหมั้นอยู่ในมือ คุณหนูจวินเกิดฆ่าตัวตายไปจริงๆ ตระกูลหนิงของพวกเขาก็ลำบากแล้ว

นี่เป็นการข่มขู่ดังที่คิด นายหญิงสามกับนายหญิงสี่สบตากันทีหนึ่ง

“คุณหนูจวิน ไม่ใช่พวกเราไม่ยอมรับหนังสือหมั้นของเจ้า” นายหญิงสี่พูดขึ้นเสียงเครียด “เพียงแต่นายท่านผู้เฒ่าของตระกูลเราที่ผ่านมาไม่เคยหยิบหนังสือหมั้นนี้ออกมาเลย สิบกว่าปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยพูดถึงการหมั้นหมายนี้”

“พวกท่านไม่รู้ไม่เคยเห็น ก็เป็นเรื่องของพวกท่าน ไม่เกี่ยวกับข้า” คุณหนูจวินมองพวกนางแล้วกล่าวขึ้น เสียงของนางยังคงนุ่มละมุนเหมือนเดิม ไม่มีอารมณ์รุนแรงขึ้นมาแม้แต่นิด เหมือนกันกับสีหน้าของนางเรียบเฉยไม่มีขมวดมุ่น

นี่ไม่เหมือนคุณหนูจวินผู้หยาบคายยโสคนนั้นที่หนิงอวิ๋นเยี่ยนบรรยายเมื่อครู่

มาถึงอำเภอหยางเฉิงได้ครึ่งปี ไม่หยิบหนังสือหมั้นออกมา แต่กลับทำเพียงป่าวประกาศ โวยวายจนคนรู้กันทั่ว ตอนนี้หยิบหนังสือหมั้นออกมา ตระกูลหนิงคิดอยากจบเรื่องเงียบๆ ก็ไม่ง่ายขนาดนั้นแล้ว

นางทำแบบนี้คงคำนวนไว้แล้ว

นายหญิงสี่กำลังจะพูดขึ้นอีก นายหญิงสามหนิงห้ามนางไว้ มองประเมินคุณหนูจวินทีหนึ่ง ยิ้มขึ้นมาบางๆ

“คุณหนูจวิน เจ้ารู้ว่าสิ่งใดเรียกว่าแต่งงานหรือไม่? แต่งงานคือผูกพันเป็นครอบครัว ไม่ใช่ผูกแค้น” นางกล่าวขึ้น “บางครั้งทำบางอย่างก็ใช้เล่ห์กลบ้างได้ บางครั้งก็ใช้เล่ห์กลไม่ได้ ไม่อย่างนั้นถึงแม้เจ้าจะสมหวังชั่วเวลาหนึ่ง แต่ต้องทนทุกข์ชั่วชีวิต”

ใช้ร้อยเล่ห์แสนกลแต่งเข้ามาในตระกูลหนิง สามีไม่ชอบ พ่อแม่สามีเกลียดชัง ถึงแม้จะได้ครองตำแหน่งภรรยาเอก วันคืนจะผ่านไปดีได้สักเท่าใด ยิ่งไปกว่านั้นวิธีทำให้ภรรยาเอกถอยจากตำแหน่งก็มีมากยิ่งกว่ามาก

นายหญิงสามเกิดที่ชางโจว บรรพบุรุษตอนตั้งตระกูลเป็นผู้คุ้มกัน เช่นเดียวกับตระกูลหนิง ทุกวันนี้ไม่เพียงเป็นตระกูลพ่อค้าอย่างเดียว ลูกหลานจำนวนมากก็ร่ำเรียนหนังสือเป็นขุนนาง แต่กิจการสำนักคุ้มภัยก็ยังคงดำเนินกิจการอยู่ บิดาของนายหญิงสามเป็นผู้รับผิดชอบดูแลสำนักคุ้มภัย ดังนั้นลูกหลานที่เป็นหญิงนอกเหนือจากเรียนหนังสือคัดอักษรก็ยังร่ำเรียนวรยุทธ์มาบ้าง

นายหญิงสามแม้จะไม่ได้เรียนมาสักเท่าใด แต่อารมณ์ก็แตกต่างไปจากสตรีในห้องหอทั่วไป ดุร้ายอยู่หลายส่วน

เจ้าเข้าประตูตระกูลเราได้ พวกเราก็ทำให้เจ้าเป็นไม่สู้ตายได้

คำพูดนี้เป็นคำขู่โจ่งแจ้งอย่างไม่ต้องสงสัย

“คุณหนูจวิน คนสูงต่ำย่อมรู้ตนเอง เจ้าไม่คู่ควรเป็นสะใภ้ตระกูลหนิงของพวกเรา” นายหญิงสี่ที่มาจากตระกูลบัณฑิตไม่ได้ข่มขู่แต่พูดออกมาตรงๆ

เด็กสาวผู้สูญเสียบิดามารดาจนต้องมาพึ่งพิงตระกูลของมารดาตรงหน้า ทั้งไม่โกรธและไม่กลัวแต่กลับยิ้ม

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกท่านคิดจะทำอย่างไรให้ข้าถอนหมั้นหมายครั้งนี้ เอาหนังสือหมั้นฉบับนี้คืนไป” นางถามขึ้น

……………………………………….