บทที่ 1 หญิงสาวที่มีการหมั้นหมายไว้แล้ว
แสงอาทิตย์ลอดผ่านหน้าต่างทอดเงาลายสลับซับซ้อนลงบนฉากกั้นลายภูเขาสายน้ำ[footnoteRef:1] [1: ฉากกั้นลายทิวทัศน์ธรรมชาติ]
ห้องรับรองแขกเล็กห้องนี้ของตระกูลหนิงไม่ได้ละเลยการดูแลเพียงเพราะมีขนาดเล็ก ยังคงจัดวางเครื่องหยกเครื่องทองอันแสนประณีตเอาไว้ ท่ามกลางความหรูหรายังมีความสง่าของตระกูลบัณฑิต
อากาศวันนี้ดีมาก ถ่านไฟในเตาภายในห้องก็เผาไหม้ได้ดี สาวใช้สวมเสื้อผ้าหน้าหนาวสองคนมีชั้นเหงื่อบางๆ ประดับอยู่บนปลายจมูก แต่ความอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลินี้ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกสบายเหมือนเก่า กลับให้ความรู้สึกอืดอัดและอบอ้าวเสียมากกว่า
มีคนเปิดประตูเดินเข้ามา พาสายลมของหน้าหนาวเข้ามาด้วย ไม่รู้ว่าลมเย็นหรือว่าเป็นคนที่เข้ามา ทำให้เด็กรับใช้ทั้งสองได้สติรีบเดินมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
คนที่เข้ามาก็เป็นสาวใช้ ยกเหยือกน้ำทองแดงอันเล็กประณีต พอสาวใช้ในห้องรับไปนางก็ไปหยิบถ้วยชาเคลือบลายครามจากโต๊ะด้านข้างมา
ตลอดการกระทำที่ไม่ได้ก่อเสียงอันใดเลย หากแต่ก็ทำลายบรรยากาศอันเงียบสงัดภายในห้องได้
“เชิญดื่มน้ำชาเจ้าค่ะคุณหนูจวิน” สาวใช้พูดเสียงเล็กเบา ยกน้ำชาเดินเข้ามา พร้อมกันนั้นก็มองผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทีหนึ่ง
นางเป็นเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าปี ดวงหน้างดงามดุจภาพวาด ไม่ใช้ฝุ่นชาด ทั้งไม่มีชุดเครื่องทองหรือมุกประดับเลยสักนิด บนร่างสวมเพียงชุดกระโปรงผ้าเนื้อดีสีเขียวที่เก่าจากการซะล้าง
แต่เมื่อนางนั่งอยู่ในห้องรับรองที่หรูหราแห่งนี้กลับไม่ทำให้เธอดูยากไร้ ตรงข้ามทำให้คนรู้สึกราวกับดอกกล้วยไม้ขาวท่ามกลางดงดอกไม้นานาพรรณ งดงามและสูงสง่า
ทว่าเมื่อสายตาของสาวใช้เลื่อนลงมาที่โต๊ะก็เหมือนถูกผึ้งต่อยเข้าหนึ่งที สายตาหลุบต่ำ อารมณ์ก็เริ่มปั่นป่วน
บนโต๊ะไม้แดงประดับหยกเขียวผ้าแพรขาวผืนหนึ่งวางอยู่ เด่นสะดุดตาตัดกับสีแดงและสีเขียว
ในขณะเดียวกัน นอกริมหน้าต่างนั้นก็มีหญิงสูงอายุคนหนึ่งกำลังมองมาที่ผ้าแพรสีขาวผืนนั้น
ตระกูลหนิงแห่งหมู่บ้านเป่ยหลิวอำเภอหยางเฉิง ไม่เพียงในตระกูลมีบัณฑิตฮั่นหลิน[footnoteRef:2]มาแล้วถึงสิบกว่าคน ยังครอบครองเหมืองถ่านหินเกือบครึ่งหนึ่งในเจ๋อโจว ดังนั้นหน้าต่างของห้องรับรองแขกเล็กนี้จึงไม่ได้เป็นหน้าต่างกระดาษเหมือนที่พบทั่วไป แต่เป็นแก้วที่มาจากทะเลใต้ [2: บัณฑิตฮั่นหลิน (翰林) เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางอย่างหนึ่งของประเทศจีนโบราณ คัดเลือกบัณฑิตที่มีความสามารถเข้ามาเป็นบัณฑิตฮั่นหลิน รับคำสั่งโดยตรงจากองค์ฮ่องเต้รับผิดชอบเอกสารสำคัญซึ่งเป็นความลับเกี่ยวกับราชสำนัก ตัวอย่างเช่นคำสั่งแต่งตั้งปลดเสนาบดี คำสั่งเคลื่อนกำลังทหารออกปราบปราม เป็นต้น เนื่องจากบัณฑิตฮั่นหลินมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญซึ่งเป็นความลับ จึงมีอำนาจค่อนข้างมาก บางครั้งถูกเรียกเป็น “เสนาบดีใน”]
ทั้งอำเภอหยางเฉิงหรือกระทั่งทั้งเจ๋อโจว ตระกูลที่ใช้แก้วแบบนี้ได้ก็มีเพียงสองตระกูลเท่านั้น
แก้วขุ่นนิดหน่อยแต่หญิงผู้นี้ก็ยังคงเห็นผ้าแพรสีขาวผืนนั้นรวมถึงหน้าตาของเด็กสาวคนนั้น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเห็นเด็กสาวคนนี้ ที่จริงเมื่อสองวันก่อนเด็กสาวผู้นี้ก็เคยมาแล้วครั้งหนึ่ง เพียงแต่ว่าครั้งนั้นนางไม่ได้วางผ้าแพรสีขาวผืนนี้ไว้
เด็กสาวยื่นมือรับน้ำชาไปดื่มเข้าคำหนึ่ง หัวคิ้วดูเหมือนจะขมวดนิดๆ แล้วคลายออก
เหมือนกับเป็นเพียงการคาดเดาของหญิงสูงวัย
มองผ่านแก้วหลากสีเครื่องหน้าของนางดูมัว ยิ่งไม่อาจเห็นสีหน้าเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นได้ชัด
หญิงสูงวัยเพียงมองเห็นเด็กสาววางถ้วยชาลง ที่นางรู้สึกเช่นนั้นก็เพราะน้ำชาที่อยู่ในห้องตอนนี้เป็นเพียงชาหลงจิ่งก่อนฝน[footnoteRef:3]เท่านั้น [3: ชาหลงจิ่งก่อนฝน (雨前龙井) ชาหลงจิ่งเป็นชาชนิดหนึ่งของจีน เนื่องจากอุณหภูมิส่งผลกับรสชาติชาอย่างยิ่ง อุณหภูมิยิ่งต่ำชายิ่งคุณภาพดี อุณหภูมิยิ่งสูงคุณภาพชายิ่งต่ำ ดังนั้นชาหลงจิ่งก่อนชิงหมิง (明前龙井) ที่เก็บก่อนช่วงเทศกาลชิงหมิงซึ่งอากาศยังคงหนาวเย็นแล้วค่อยๆอบอุ่นขึ้นจึงเป็นชาคุณภาพเยี่ยม ส่วนชาหลงจิ่งก่อนฝนที่เก็บหลังจากนั้นซึ่งเป็นช่วงที่อุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นชาชั้นที่ต่ำรองลงมา กล่าวกันว่า“ก่อนฝนคือของชั้นดี ก่อนชิงหมิงคือของชั้นเลิศ雨前是上品,明前是珍品”]
แม้เสื้อผ้าที่เด็กสาวสวมจะซอมซ่อ แต่กลับมาจากอีกตระกูลหนึ่งที่ใช้หน้าต่างแก้วได้จากทั้งเจ๋อโจว ตระกูลฟางร้านแลกเงิน
นางแซ่จวิน มารดาของนางแซ่ฟางเป็นคุณหนูคนโตของตระกูลฟาง แม้ว่าจะแต่งกับคนที่ค่อนข้างมีฐานะยากจน แต่ความอลังการของงานแต่งครั้งนั้นผ่านไปสิบกว่าปีผู้คนในเจ๋อโจวยังพูดถึงไม่เลิก
เช่นนี้คุณหนูของพวกเขาจะดื่มชาชั้นต่ำอย่างชาหลงจิ่งก่อนฝนลงที่ไหน อย่างน้อยครั้งที่แล้วที่นางมาเยือน ชาที่พวกสาวใช้ยกมาก็ยังเป็นชาหลงจิ่งก่อนชิงหมิง
หญิงสูงวัยมองไปในห้อง เด็กสาววางถ้วยชาลงนั่งหลังตรงท่วงท่าสง่างามไม่มีความหงุดหงิดแม้แต่นิด สาวใช้ตัวน้อยข้างตัวนางใช้มือดึงชายแขนเสื้อของนาง
“น้ำชาให้สาวใช้ของข้าถ้วยหนึ่ง”
หญิงสูงวัยได้ยินเสียงนุ่มๆ ออกมาจากในห้อง
สาวใช้ยกน้ำชาถ้วยหนึ่งส่งให้แก่สาวใช้ตัวน้อยผู้นั้นทันที สาวใช้ตัวน้อยรับไปดีอกดีใจ ดื่มคำเดียวจนหมด
“เอามาอีกถ้วย” สาวใช้ตัวน้อยยังพูดขึ้นมาอีก
ไม่มีทีท่าขลาดกลัวเหมือนเมื่อมาเยือนคราวก่อน แต่กลับมีท่าทางมั่นอกมั่นใจอยู่หลายส่วนกับท่าทางลิงโลดสมใจอยู่หลายส่วน
ดูท่าคงคิดว่าข่มให้พวกนางกลัวได้แล้วสินะ
ดวงตาของหญิงสูงวัยฉายแววเย้ยหยันขึ้นมา
“แม่เฒ่าซ่ง”
ตรงประตูเรือนมีสาวใช้คนหนึ่งโบกมือให้นางเงียบๆ
จากนั้นหญิงสูงวัยก็หันกายเดินออกไปจากข้างหน้าต่าง ทะลุทางเดินแคบทางหนึ่งเข้ามายังเรือนอีกหลังหนึ่ง ทางเดินนอกห้องหลักของเรือนหลังนี้มีสาวใช้แถวหนึ่งยืนอยู่ หัวเราะคิกคักเสียงเบา หลังม่านประตูผืนหนาปักลายดิ้นทองก็มีเสียงหัวเราะดังออกมาเช่นกัน
เมื่อเห็นหญิงสูงวัยเข้ามา เหล่าสาวใช้ที่คุยกันคิกคักอยู่ก็ทยอยทักทาย
“แม่เฒ่าซ่ง”
พวกนางพูดขึ้นมาอย่างสงบเสงี่ยม มีสาวใช้สองคนเลิกผ้าม่านขึ้น หญิงสูงวัยก้าวเข้าไป กลิ่นหอมไออุ่นปะทะใบหน้า ในห้องมีคนอยู่หลายคนนั่งบ้างยืนบ้าง แต่สายตาและการเคลื่อนไหวทุกสิ่งวนอยู่รอบตัวหญิงวัยกลางคนผู้อยู่ตรงกลาง
หญิงผู้นั้นอายุราวสี่สิบกว่าปี หน้าตางดงาม คิ้วยาวเรียว บนใบหน้ามีรอยยิ้มจางๆ กำลังฟังหญิงสองคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าพูดคุย
หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าสองคนอายุน้อยกว่านางเล็กน้อย แต่งตัวหรูหราตามแบบทั่วไป
ในห้องเล็กฝั่งตะวันออกเด็กสาวอายุสิบกว่าปีสามคนนั่งอยู่หน้าโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวใหญ่ พวกนางล้วนสวมเสื้อตัวน้อยสีแดงกับกระโปรงสีเหลือง หน้าตางดงาม ไม่เหมือนกับห้องข้างนอกที่มีเสียงหัวเราะเบาคึกคัก ทั้งสามกำลังจับพู่กันคัดตัวอักษรอยู่เงียบๆ
แม่เฒ่าซ่งไม่ได้เดินเข้าไปแจ้งทันที แต่รับน้ำชาจากมือของสาวใช้ด้านข้างส่งขึ้นไปแล้วยืนอยู่ข้างหญิงวัยกลางคนอมยิ้มฟังพวกนางคุยกัน
“พี่สะใภ้ใหญ่ เวทีละครของเดือนสิบเอ็ดตั้งที่หน้าศาลเจ้าก็แล้วกัน”
“เรื่องเชิญคณะละครคงต้องรบกวนน้องสะใภ้สามแล้ว พี่คงไม่ดูเรื่องนี้อีก”
“เดือนนี้คนอพยพไม่น้อย ภัยสงครามจากสงครามทางภาคเหนือยิ่งหนักขึ้นทุกที เรื่องทำทานแจกข้าวต้มข้าก็จะเตรียมไว้ด้วย”
“พี่สองกับพี่สะใภ้สองส่งคนกลับมาแจ้งเรื่องนี้แล้ว”
น้องสะใภ้พูดกัน หญิงวัยกลางคนล้วนอมยิ้มพยักหน้ารับ
“ดี จัดการตามนี้ดี ลำบากพวกเจ้าแล้ว” นางพูดสรุปขึ้นมา
นายหญิงใหญ่แห่งตระกูลหนิงเป็นคนอ่อนโยนมีเมตตา เคารพกตัญญูบิดามารดาของสามี ให้เกียรติน้องสะใภ้ คนในคนนอกล้วนชื่นชม
พูดจบประโยคนี้ นายหญิงใหญ่ถึงหันศีรษะมามองแม่เฒ่าซ่ง
“พบคนแล้วหรือ?” นางถามขึ้น
ประโยคไม่มีหัวไม่มีท้ายประโยคนี้ทำให้เสียงพูดคุยในห้องพลันหยุดลง
แม่เฒ่าซ่งส่งเสียงรับคำ
“พี่สะใภ้ใหญ่ คุณหนูตระกูลจวินคนนั้นทำไมมาอีกแล้วเล่า? ไม่ใช่ไปแล้วหรือ?” นายหญิงสามตระกูลหนิงที่อยู่ข้างๆ รีบถามขึ้น
นายหญิงใหญ่ตระกูลหนิงหัวเราะขึ้นมา วางถ้วยชาในมือลง
“ยังไม่ไป หาโรงเตี๊ยมข้างทางที่หนึ่ง ก่อเรื่องเล่นละครฆ่าตัวตายไปรอบหนึ่ง ตอนนี้ก็มาที่บ้านอีกแล้ว” นางพูดขึ้น
ฆ่าตัวตาย?
นายหญิงสามกับนายหญิงสี่ตระกูลหนิงสบตากันทีหนึ่ง
“นี่มันจะเกินไปแล้ว คนตระกูลฟางไม่จัดการบ้างหรือ?”
“บางทีอาจเป็นความตั้งใจของคนตระกูลฟาง”
พวกนางขมวดคิ้วพูดขึ้นมาด้วยความโกรธ
นายหญิงใหญ่ส่ายศีรษะน้อยๆ
“ตั้งใจคงไม่ใช่ อาจมีความลำบากอะไร” นางพูดขึ้น
น้องสะใภ้ทั้งสองหัวเราะขึ้นมา
“พี่สะใภ้ช่างมองคนอื่นในแง่ดีเสมอ” พวกนางถอนหายใจพูดขึ้น
เด็กสาวคนหนึ่งในห้องเล็กฝั่งตะวันออกผู้กำลังเงี่ยหูฟังการสนทนาฝั่งนี้หันศีรษะมาอย่างรวดเร็ว
“ท่านแม่ จวินเจินเจินทำเรื่องเช่นนี้ไม่แปลกสักนิด นางอยู่ที่ตระกูลฟางก็หยาบคายเอาแต่ใจ นายหญิงใหญ่ตระกูลฟางเพียงแค่ดุนางหนึ่งประโยค นางก็โวยวายจะฆ่าตัวตาย ยังจะไปฟ้องทางการว่าท่านป้าของนางทารุณ” นางพูดขึ้นเสียงดัง
คำพูดนี้ทำให้คนที่อยู่ในห้องต่างมีสีหน้าประหลาดใจ
“เยี่ยนเยี่ยน” นายหญิงใหญ่ขมวดคิ้วเรียก วิจารณ์ว่าร้ายผู้อื่นลับหลังอย่างไรก็ไม่ใช่กริยาอันดีงามที่คุณหนูตระกูลใหญ่พึงมี
เด็กสาวคนนี้คือบุตรสาวคนโตของนายหญิงใหญ่ตระกูลหนิง หนิงอวิ๋นเยี่ยนผู้เป็นลำดับที่สิบเจ็ดในรุ่นนี้ของตระกูลหนิง
“ท่านป้าใหญ่ ท่านป้าใหญ่ จริงค่ะจริงค่ะ นางถือว่าตนเป็นคุณหนูตระกูลขุนนาง ดูแคลนตระกูลของยายเป็นพิเศษ รังเกียจพวกนางว่าเป็นตระกูลพ่อค้า”
“ข้าก็รู้ ข้าเคยเห็นนางล้อเลียนพี่สาวฝั่งแม่ของนางกับคนอื่นในงานเลี้ยง พี่สาวฝั่งแม่ของนางร้องไห้ออกจากงานไปเลย”
เด็กสาวอีกสองคนก็รีบพูดตามขึ้นมา
เด็กสาวสามคนเปิดปากพูดเจื้อยแจ้ว เสียงอ่อนโยนของนายหญิงใหญ่ตระกูลหนิงปรามไว้ไม่อยู่ ในห้องกลายเป็นวุ่นวายขึ้นมา
คุณหนูจวินคนนี้เพิ่งมาอยู่ที่อำเภอหยางเฉิงได้เพียงครึ่งปีชื่อเสียงก็เลื่องลือคนรู้จักไปทั่ว ชื่อเสียงนี้ไม่ใช่ชื่อเสียงดีงามอะไรนัก
“ตระกูลฟางเป็นตระกูลพ่อค้าหยาบคายก็ช่วยไม่ได้” นายหญิงสามขมวดคิ้วพูดขึ้น “บิดาของคุณหนูจวินคนนี้อย่างไรก็เป็นบัณฑิต ทั้งยังเป็นผู้ว่าการของสักที่หนึ่ง เลี้ยงบุตรสาวให้ออกมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
เลี้ยงบุตรสาวออกมาเป็นแบบนี้ก็ช่างเถิด บุตรสาวของผู้อื่นไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลหนิงของพวกนาง แต่เด็กสาวตระกูลจวินผู้นี้กลับเอาแต่ร้องว่ามีสัญญาหมั้นกับตระกูลหนิง
“สัญญาหมั้นนี่เรื่องจริงหรือ?” นายหญิงสี่ตระกูลหนิงอดไม่ได้ถามขึ้น “นางมีสัญญาหมั้นกับเจาเอ๋อร์ของพวกเราหรือ?หรือว่าเป็นท่านพ่อสัญญาไว้? เรื่องใหญ่แบบนี้ ตอนท่านพ่อยังอยู่ไม่เห็นเคยพูด”
นายหญิงใหญ่ถอนหายใจ สีหน้าอับจน
“ข้าถามท่านแม่แล้ว ท่านแม่บอกว่าท่านพ่อกับนายท่านผู้เฒ่าตระกูลจวินมีวาสนาพบพานกันครั้งหนึ่ง” นางเล่าขึ้น “สิบห้าปีก่อน ท่านพ่อลาราชการท่องเที่ยวไปทั่ว เมื่อครั้งผ่านหรู่หนานเกิดล้มป่วย ได้ท่านหมอเฒ่าจวินที่กลับมาจากตรวจโรคผ่านทางมา ตรวจโรคสั่งยารักษาโรคร้ายให้ ท่านพ่อซาบซึ้งไม่สิ้น ได้ยินว่าลูกชายของท่านหมอเฒ่าจวินเพิ่งแต่งงานก็เลยพลั้งปากไปว่าจะดองญาติกับเขา ตอนนั้นเจาเอ๋อร์เพิ่งสามขวบ”
ซาบซึ้งไม่สิ้น พลั้งปากออกไป
ความนัยของแปดคำนี้หญิงทั้งสองในห้องเข้าใจในทันที
“นายท่านผู้เฒ่าตระกูลจวินในเมื่อเป็นหมอ รักษาคนก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดามิใช่รึ?” นายหญิงสามตระกูลหนิงกล่าวขึ้น “ท่านพ่อซาบซึ้งใจเผลอพูดออกไป ท่านหมอเฒ่าจวินผู้นั้นหรือจะไม่รู้หน้าที่ของการเป็นหมอ?”
ดูแล้วคงคิดจะเกาะไม้ใหญ่ หรือไม่ก็ไม่ดูฐานะของตัวเองเลยตกลงรับการหมั้นหมายครั้งนี้ไปจริงๆ
“พูดไปไม่แน่ว่าตอนนั้นท่านพ่ออาจถูกขู่บังคับก็ได้นะ” นายหญิงสี่ตระกูลหนิงส่ายศีรษะพูดขึ้น
ไม่อย่างนั้นการหมั้นหมายของหลานชายคนโตของลูกชายคนโตเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ท่านพ่อทำไมไม่เคยพูดถึง
“ท่านพ่อไม่พูด ที่แท้เรื่องเป็นอย่างไรข้าก็ไม่รู้แล้ว” นายหญิงใหญ่พูด ประโยคนี้เน้นเสียงหนักขึ้น “ท่านแม่กัดฟันยืนยันท่าเดียวว่าไม่มีเรื่องแบบนี้ ข้าก็จนปัญญา ก่อนหน้านี้ตอนตระกูลฟางส่งคนมาถาม ข้าก็อธิบายอ้อมๆ ไปแล้ว แต่ดูแล้วคุณหนูตระกูลจวินคงไม่ยอมฟัง ท่านแม่ร่างกายไม่ดี ข้าไม่กล้าให้เรื่องวุ่นวายไปถึงท่าน คุณหนูตระกูลจวินอายุยังน้อยซ้ำยังเสียครอบครัวน่าสงสารนัก ข้าก็ไม่กล้าบีบบังคับนาง...”
“ท่านแม่” หนิงอวิ๋นเยี่ยนหยุดคัดอักษรไปนานแล้ว เข้ามายืนฟังพลันตะโกนขึ้นว่า “นางน่าสงสาร พี่สิบไม่น่าสงสารหรือ พี่สิบสมควรซวยหรือ? พ่อแม่ของนางก็ไม่ใช่พวกเราทำร้ายตาย เรื่องอะไรต้องเอาเรื่องใหญ่ในชีวิตของพี่สิบมาชดใช้ให้นาง?”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว พี่สิบเป็นคนที่ขนาดองค์ฮ่องเต้ยังชื่นชมว่าเก่งกาจมีพรสวรรค์ จะมาถูกจวินเจินเจินคนเขลาหยาบช้าแบบนั้นดึงถ่วงได้อย่างไร” เด็กสาวอีกสองคนรีบผสมโรง
ในห้องวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง
นายหญิงใหญ่ดูเหมือนถูกเสียงโวยวายทำให้ปวดหัว สีหน้าอับจนยื่นมือมานวดศีรษะ
“แต่อย่างไรก็ไม่อาจมองเฉยๆ ดูคุณหนูตระกูลจวินผู้นี้ฆ่าตัวตายไปต่อหน้าได้นะ” นางกล่าวขึ้น
“ตอนนี้นางวางผ้าแพรขาวไว้บนโต๊ะ แสดงชัดว่าข่มขู่” แม่เฒ่าส่งพูดขัดขึ้นมา
“ครั้งที่แล้วผูกคอที่โรงเตี๊ยม ตอนนี้ไม่แน่จะมาผูกคอที่ประตูบ้านตระกูลหนิงของพวกเรา”
“นางกล้า!” นายหญิงสามคิ้วตั้งพูดขึ้น
……………………………………….