บทที่ 22 กระจายปราณ

ตอนที่ 22 กระจายปราณ

หลังกลับเข้าห้อง หวังหลินจึงปิดประตูทันที เขาไม่ได้นำเม็ดยารวมปราณทั้งสี่ออกมาแต่เก็บมันเข้ากระเป๋า เขาต้องการเริ่มการทดลองกับลูกปัดหินก่อน

หวังหลินนำลูกปัดและน้ำเต้าออกมาอย่างระมัดระวัง เขาชั่งใจระหว่างผลดีและผลเสีย น้ำค้างเป็นสิ่งสำคัญต่อการฝึก ถ้าหากไม่มีน้ำค้างล่ะก็การฝึกจะดำเนินช้าลงอย่างมาก

แต่ขณะเดียวกัน ลายเมฆบนลูกปัดลึกลับก็ได้สร้างความอยากรู้อยากเห็นแก่เขา หลังจากขบคิดถี่ถ้วนเขาก็นึกได้ว่าครั้งหนึ่งน้ำเคยหมดไปแล้วสามารถรวบรวมใหม่ได้หากเขาต้องการใช้มัน ถ้ามีเมฆสิบก้อนน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นและอาจทำให้ความเข้มข้นของพลังปราณสูงได้อย่างไม่น่าเชื่อ

พอคิดดังนั้นจึงเอาน้ำเต้าที่มีน้ำค้างตอนเช้าออกมาทันที เตรียมชามหิน เทของเหลวคล้ายวุ้นจากน้ำเต้าออกมาช้าๆ หลังจากได้กลิ่น ร่างกายหวังหลินก็รู้สึกผ่อนคลาย

ไม่นาน น้ำค้างทั้งหมดก็เลื่อนไปอยู่ในชาม ส่งกลิ่นหอมให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจ

ชายหนุ่มก็เกรงว่าหากปล่อยทิ้งไว้นานมันจะแจ้งให้คนอื่นๆรู้กันหมด ดังนั้นเขาจึงนำลูกปัดใส่ลงไปด้านใน แล้วสังเกตอย่างระมัดระวัง ไม่นานจึงเห็นของเหลวนั้นกำลังลดลง

หวังหลินผิดหวังเล็กน้อย เขาคิดว่ามันจะดูดซึมในทันที ทว่ากลิ่นหอมจากของเหลวที่กำลังแผ่ออกกำลังจางหายไปแล้ว หลังจากลูกปัดถูกแช่ในน้ำ หวังหลินคิดอยู่สักพักแล้ววางชามไว้ใต้เตียง จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างบนเพื่อเริ่มฝึกการหายใจ

หนึ่งยาวและสามสั้นจังหวะการหายใจเป็นไปอย่างราบรื่น แม้ในสองเดือนก่อน เขาจะไม่สามารถดูดซับพลังปราณได้ก็ตาม ทว่าอย่างน้อยเขาก็คุ้นเคยกับรูปแบบแปลกๆนี้ทั้งยังรับรู้ถึงลมเข้าออกการหายใจได้ยาวนานขึ้น ความจริงก็เพราะทำแบบนี้เลยส่งผลให้เขาสามารถฝึกการหายใจได้โดยไม่ต้องนั่งสมาธิ

ไม่นานนัก ช่วงกลางคืนก็ผ่านพ้นไป หวังหลินลืมตาเปิดขึ้นในยามเช้า รีบหยิบชามหินออกจากใต้เตียงและพบว่าเหลือน้ำอยู่ครึ่งหนึ่ง กระนั้นเมฆทั้งสิบก็ยังไม่เผยออกมาให้เห็น

ชายหนุ่มไม่ย่อท้อ เหลือบมองชามหินอีกใบ ลังเลเพียงชั่วครู่ก่อนจะนำยารวมปราณออกมา เมื่อเสร็จสรรพหวังหลินจึงรู้สึกได้ทันทีถึงคลื่นความร้อนซึ่งไหลเป็นกระแสตามร่างกาย

หวังหลินใช้เวลาเป็นเดือนกับผู้อาวุโสซุน อย่างไรก็ตามทุกวันได้ผ่านพ้นไปในทางเดิม จนตอนนี้เริ่มจะคุ้นเคยและง่ายพอสำหรับตัวเขาเองแล้ว เมื่อช่วงค่ำมาถึงลมหายใจเขาจึงพ่นยาวออกเป็นไอขาว หวังหลินถอนหายใจและขมวดคิ้วพลางฝืนยิ้มไปด้วย “ยารวมปราณนี่มันคล้ายกับสมุนไพรของซุนต้าซือเลย น่าจะมีส่วนผสมของสมุนไพรอยู่หลายชนิด หลังกินไปมันทำให้ร่างกายข้ารู้สึกผ่อนคลายและเต็มไปด้วยพลังงาน แม้กระทั่งความหิวก็หายไปด้วย ที่น่าเสียดายคือเราไม่สามารถรวบรวมปราณหรือดูดซับพลังปราณเอาไว้ได้”

หวังหลินถอนหายใจ หวังจัวปิดด่านฝึกตนถึงสามเดือนจนก้าวสู่เข้าขั้นรวบรวมลมปราณระดับแรกได้ หวังหลินถึงแม้โดยผิวเผินจะไม่แสดงท่าทีอะไร แต่ลึกๆภายในเขาก็รู้ว่าพรสวรรค์เป็นสิ่งสำคัญต่อการเป็นเซียน

แต่หวังหลินก็ยังยืนหยัดว่าจะไม่ยอมแพ้ให้กับอีกฝ่ายอย่างง่ายๆ เขายังคงมีลูกปัดลึกลับอยู่ ทำให้ไม่ขาดเรื่องพลังปราณ แม้ปัจจุบันจะยังไม่สามารถดูดซับพลังปราณได้ แต่ต้องมีสักวันหนึ่ง ที่จะทำสำเร็จอย่างลุล่วงอยู่แน่ๆ

"สักวันหนึ่งงั้นเหรอ.." หวังหลินเบ้ปากเล็กน้อย หายใจเข้าลึกๆแล้วดึงชามหินออกมาจากใต้เตียง น้ำหลงเหลืออยู่น้อยนิดจนแทบจางหาย ทว่าเมฆทั้งสิบก็ยังไม่ปรากฏ

เขารีบนำน้ำเต้าชิ้นอื่นออกมาเทของเหลวภายใน เวลานี้น้ำกำลังไหลรินอย่างแผ่วเบาเกินกว่าปริมาณของชามหินเพราะบางส่วนเป็นน้ำค้างมันจึงมีน้ำปริ่มอยู่เหนือชาม หวังหลินดื่มของเหลวที่เหลือและเริ่มฝึกการหายใจต่อ

ความร้อนผุดขึ้นในร่างกายซึ่งแข็งแกร่งกว่าครั้งก่อน เขารู้สึกได้ว่าความร้อนได้ไหลเวียนไปตามร่างกายและรู้สึกกระหายน้ำอย่างรวดเร็ว หวังหลินฉีกยิ้มและเริ่มหายใจแบบหนึ่งยาวนานและสามสั้นเป็นจังหวะ

หลังจากนั้นไม่นาน หวังหลินพลันสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ ความร้อนไม่ได้แผ่กระจายช้าๆแบบเมื่อก่อน ทว่าตัวเขาก็ยังกำหนดลมหายใจต่อ สัมผัสได้แผ่วเบาว่าร่างของเขาโป่งพองราวกับบอลลูนที่ใกล้ถึงขีดจำกัด

หวังหลินหวาดหวั่น จึงรีบหยุดฝึกหายใจ ความเจ็บปวดจากอาการโป่งพองนั้นยังคงอยู่ เขาโพลงตาขึ้น แล้วพบกับเส้นเลือดปูดโปนอย่างน่ากลัวราวกับมีพญาธิอยู่ใต้ผิวหนัง

หวังหลินไม่ทราบว่ายาสมุนไพรที่เขาใช้ไปนั้นไม่สามารถผลิตพลังปราณจำนวนมากออกมาได้ ถึงแม้จะใช้เทคนิคการหายใจเพื่อดูดซับพลังปราณจากธรรมชาติทั้งสองทางเข้าด้วยกัน แต่เนื่องจากขาดพรสวรรค์ในร่างกาย พลังปราณจึงปั่นป่วนขึ้นอย่างกะทันหัน

จุดสำคัญที่สุดคือหญ้ากระจายปราณที่ป้องกันเขาไม่ให้รวมปราณได้สำเร็จ

แต่ยามนี้กลับต่างกันออกไป ชายหนุ่มดื่มน้ำค้างจากน้ำเต้า ซึ่งมีปริมาณพลังปราณมากกว่ายาสมุนไพรหลายชนิด มากกว่าที่เขาสูญเสียพรสวรรค์ ถ้าเขาไม่ได้ฝึกบ่มเพาะพลังมันก็จะกระจายหายไปในไม่ช้า แต่เป็นเพราะเขาใช้วิธีหายใจนี้ มันจึงไม่ต่างจากการเติมเชื้อเพลิงเข้ากองไฟดีๆนี่เอง

หวังหลินตระหนักแล้วว่ายามนี้กำลังพบเจออุปสรรคแต่ไม่ทราบว่าต้องใช้วิธีใดจัดการ สิ่งเดียวที่ทำได้คือมองดูเส้นเลือดของตัวเองขยายออก เมื่อเส้นโลหิตได้ถึงขีดจำกัด ความคิดนึงก็แล่นผ่าน ไม่มีเวลาให้คิดหารายละเอียดนัก เขากัดฟันและเริ่มบ่มเพาะเทคนิคหายใจหนึ่งยาวสามสั้นทันที

คิดได้ว่าหนึ่งยาวสามสั้นจะช่วยรวบรวมลมปราณ หากย้อนกลับลมหายใจก็ควรจะเป็นการกระจายลมปราณได้เช่นกัน

หวังหลินคาดเดาไว้ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น ผู้ฝึกเซียนส่วนใหญ่รู้จักเทคนิคการหายใจนี้เพราะว่ามันเป็นก้าวแรกก่อนที่จะบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณ

การหายใจนี้ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ปรากฏร่องรอยเล็กๆของพลังปราณรั่วไหลออกจากรูขุมขน แต่ก็ถูกลูกปัดดูดกลืนลงไปใต้เตียงแทบจะทันที

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ร่างโป่งพองของหวังหลินก็ปั่นป่วนน้อยลง ผิวนอกซึ่งเต็มไปด้วยเส้นเลือดเองก็ลดลงไปเช่นกัน ขณะนี้ร่างของเขาไม่มีพลังปราณกระจัดกระจายอยู่แล้ว หลงเหลือแต่เพียงกลิ่นสาบเอาไว้แทน ซึ่งลูกปัดหินไม่อาจดูดซับตรงส่วนนี้ได้จนมันเริ่มฟุ้งไปทั่วในอากาศ

เป็นโชคของหวังหลินที่ทำสำเร็จได้โดยบังเอิญ ซึ่งคือการขับพิษของสมุนไพรออกจากร่างกาย

ในการสกัดพิษของสมุนไพรกระจายปราณนั้นมีเพียงสองทาง หนึ่งคือใช้พลังปราณจำนวนมากฝืนขับมันออกไป ซึ่งเป็นวิธีที่ซุนต้าซือเคยทำให้ แต่หลังจากที่เขาเปลี่ยนใจกับหวังหลินและไม่ต้องการสูญเสียสมุนไพรอีกต่อไปดังนั้นจึงยอมแพ้และละเลยการรักษา

อีกวิธีเป็นการใช้เทคนิคกระจายปราณ จะทำให้ลบพลังปราณออกจากร่างคนคนหนึ่งได้ จากนั้นจึงเริ่มฝึกฝนได้จากจุดเริ่มต้น แต่ผู้อาวุโสซุนก็ไม่เลือกวิธีนี้ให้ เพราะร่างของหวังหลินขาดแคลนพลังปราณ หากค่อยรวบรวมมันไปทีละนิดก็จะสำเร็จได้ แต่อาการธาตุไฟแทรกก็จะเกิดขึ้นตามมาทันที พูดง่ายๆคือวิธีกระจายปราณนี้ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้นั่นเอง

เทคนิคกระจายปราณครั้งนี้กินเวลาไปทั้งวันทั้งคืน หวังหลินเหนื่อยล้าและนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง น่ายินดีที่เขายังสามารถรักษาชีวิตอันน้อยนิดนี้ไว้ได้ ตัดสินใจเลยว่าจะไม่ไปยุ่งกับเจ้าน้ำค้างนี่อีกในอนาคต

ความรู้สึกอื้ออึงแล้วก็ง่วงนอน ชั่วพริบตาหวังหลินจึงสลบไสลไม่ได้สติ

………………………………………