ตอนที่ 21 รับยา
ชายคนสุดท้ายเป็นเด็กหนุ่มอายุราวยี่สิบปี ใบหน้ายาวคล้ายกับม้าและพูดขึ้นอย่างดูถูก “ศิษย์น้องหวัง เจ้าปิดด่านฝึกตนไปสามเดือนแล้ว จึงไม่รู้เรื่องนี้ เรื่องหวังหลินเป็นเรื่องตลกที่สุดในสำนักตอนนี้แล้วหละ ตามเรื่องที่แม่นางเสี่ยวบอกกล่าว เขาใช้วิธีแบบนั้นเพื่อเข้าเป็นศิษย์สายใน”
หวังจัวได้ฟังดังนั้นหัวเราะลั่น “ข้าเพียงตกใจน่ะที่มันเข้ามาสำนักได้เพราะใช้วิธีแบบนั้น แต่ตราบใดที่พรสวรรค์ของมันยังน่าเป็นห่วง ต่อให้ทั้งชีวิตก็คงไม่อาจบรรลุถึงขั้นรวบรวมลมปราณระดับแรกได้เลยด้วยซ้ำ เหตุใดเจ้าต้องแสดงความโง่งมแล้วสร้างความอัปยศให้แก่ตระกูลหวังของเราด้วย?”
“ศิษย์น้องหวังเจ้าพูดผิดแล้ว แม้พรสวรรค์จะสำคัญแต่ความเพียรต่างหากเล่าที่สำคัญยิ่งกว่า การฝึกเซียนแท้จริงคือการฝืนกฏสวรรค์ ถ้าไม่มีความเพียรมันก็ไม่สำคัญว่าเจ้าจะมีความสวรรค์มากแค่ไหน” หญิงสาวที่ชื่อโจวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ส่วนสตรีชื่อเสี่ยวเข้าไปใกล้หวังจัวและเอ่ยกล่าว “สิ่งที่พี่หวังว่านั้นถูกแล้ว หวังหลินล้วนแต่ดูโง่เขลา เขาก็ดูไม่เหมือนคนฝึกเซียนเลย”
หวังหลินหัวเราะ เขาเข้าใจเหตุการณ์ซับซ้อนพวกนี้แล้ว หวังจัวชอบแม่นางโจว แต่แม่นางเสี่ยวกลับชอบหวังจัว ดังนั้นนางจึงพยายามทำลายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก่อนนี้
เสียงหัวเราะของหวังหลินทำให้หวังจัวทำท่าทางไม่พอใจอย่างมาก เขาฟึดฟัดและพูดขึ้น “หวังหลิน ข้าแนะนำให้เจ้าออกจากสำนักเหิงยั่วซะ ไม่เช่นนั้นถ้าเจ้าไม่ตายก็คงพิการเมื่อถึงการประลองศิษย์ในสิ้นปี”
หวังหลินเคยได้ยินจากผู้อาวุโสซุนว่าศิษย์ทุกคนจะต้องสู้กันในศึกประลองยุทธ์ช่วงท้ายปี ซึ่งผู้ชนะจะได้รับสมบัติพิเศษ การแข่งจะแบ่งออกเป็นสองระดับ หนึ่งคือแข่งเพื่อตำแหน่งสิบยอดฝีมือ อีกหนึ่งคือเหล่าศิษย์ใหม่จะสู้กันเพื่อชิงตำแหน่งสุดยอดหน้าใหม่
หวังหลินใช้เวลารำลึกโดยไม่ใส่ใจต่อคำยั่วยุของอีกฝ่าย “ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องข้า ทำไมเจ้าจะต้องมากังวลกับความเป็นความตายกับขยะเช่นข้ากันเล่า?”
หวังจัวหัวราะอย่างเยือกเย็น “ข้ากังวลเพราะว่าเราต่างเป็นญาติกัน แต่เมื่อเจ้าไม่รับความหวังดี ในงานประลองเจ้าก็อย่ามาโทษข้าทีหลังล่ะ เพราะข้าจะไม่ปราณีเจ้าแน่!” ดวงตาอันเย็นเหยียบส่องประกายอย่างวาวโรจน์
หวังจัวโตขึ้นมาพร้อมกับเหยียดหยามครอบครัวหวังหลินมาตั้งแต่วัยเด็ก แม้ไม่เคยพบเจอกันมาก่อน แต่เขามักจะได้ยินพ่อของเขาพูดถึงพ่อของหวังหลินบ่อยๆว่าพยายามเกลี้ยกล่อมปู่เพื่อหวังฮุบมรดกก้อนโตและกระทั่งหักหน้าพ่อเขา แต่นี่เพราะครอบครัวอื่นไม่ได้ตาบอดเรื่องพ่อหวังหลิน ทั้งนี้ต้องขอบคุณคนอื่นๆในตระกูลซึ่งคอยช่วยพ่อของหวังจัวจนได้รับความยุติธรรมและชัยชนะกลับไป โดยความเที่ยงธรรมนี้มีส่วนแบ่งคือมรดก ดังนั้น ตลอดมาเขาจึงรู้สึกว่าครอบครัวของหวังหลินเป็นความเสื่อมเสียต่อตระกูลหวัง ทั้งพ่อและลูกเหมือนกันทั้งคู่ซึ่งเป็นความอับอายของตระกูล
ถึงกระนั้นเมื่อเขาโตขึ้นจึงรับรู้ได้ว่าพ่อของเขาพูดต่างกันออกไปแต่เขาก็เป็นคนหยิ่งทะนงมาตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนที่เขามองพ่อตนเองจึงเริ่มรู้สึกโดดเดี่ยว
เสี่ยวชิงกระอักกระอ่วน จากนั้นจึงเอ่ยต่อหวังจัวอย่างนุ่มนวล “พวกเจ้าเป็นญาติกันเหรอ?”
ทั้งสองล้วนประหลาดใจ เหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกัน
เสี่ยวชิงเห็นหวังจัวแสดงสีหน้าไม่พอใจ จนนางต้องรีบกล่าว “พี่หวังจัว เขาไม่เข้าใจความปรารถนาดีของท่าน ท่านก็ไม่ต้องโกรธไป พี่เป็นยอดบุรุษ ช่างชาญฉลาดกว่าเขานัก ฉะนั้นไม่ต้องหวังให้เขาเข้าใจต่อความเมตตาของท่านนักหรอก หลังจากนี้ เมื่อเขาพบเจอกับความสูญเสีย เขาจะเข้าใจทุกอย่างในสิ่งที่พี่พูดเอง ครอบครัวของข้าก็มีญาติเช่นนี้อยู่มากมาย บางคนก็อย่างที่เห็น ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่สามารถเป็นคนยอดเยี่ยมได้แบบพี่ ความจริงข้าเข้าใจความรู้สึกนะ ท่านอยากให้เขาแกร่งขึ้น”
หวังจัวมองเสี่ยวชิงพูดจนนางเขินอายเล็กน้อย เขาจ้องนางแต่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นการเหน็บแหนมหรือเห็นด้วย
หวังหลินฟังสาวน้อยคนนั้น ทันใดนั้นจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียงดัง “หวังจัว ดูเหมือนข้าจะเข้าใจเจ้าผิดไปสินะ ใช่เจ้าดีต่อข้า ข้าจะจำไว้ให้ขึ้นใจเลย ต้องขอขอบคุณเจ้าแล้ว หึ!”
ขณะนั้น ประตูเปิดออกกะทันหัน ปรากฏเป็นเด็กหนุ่มออกมาด้วยใบหน้าอันสดใส เขาคือหวังเฮ่า
พลันกระแอมดังออกมาดึงดูดความสนใจด้วยและพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “วันนี้ยาวิญญาณยังคงไม่เสร็จดี เจ้าจะต้องรอรอบของตัวเองเนื่องจากอาจารย์กำลังกลั่นตัวยาอยู่ ฉะนั้นข้าจะเรียกพวกเจ้ามาแบบตัวต่อตัวเมื่อทำเสร็จแล้ว”
หวังจัวจ้องหวังเฮ่าเขม็ง เขาขบฟันแต่ความจริงคงเกรงต่อการกระทำผิดกฏของสำนัก หลังจากหวังเฮ่าได้กลายเป็นลูกมือของผู้อาวุโสลำดับสาม เขาก็รับผิดชอบการแจกจ่ายยาในคลังสมุนไพร ถ้าไปรุกรานเขาแล้วผู้อาวุโสลำดับสามสืบสาวเอาเรื่อง ถึงตอนนั้นมั่นใจเลยว่ายาเดือนนี้ได้ถูกงดแน่
หลังจากหวังเฮ่าพูดจบ ก็กวาดสายตาไปแต่ก็ประหลาดใจเมื่อพบหวังหลิน เขารีบสับเท้าก้าวเข้ามากระซิบ “พี่ไท้จู ยินดีด้วยที่กลายเป็นศิษย์เต็มตัว ช่วงที่ได้ยินเรื่องของท่าน ข้าก็อยากจะไปหาเพื่อพูดคุยเสียอยู่หรอก แต่ข้ามีงานอยู่ที่นี่เลยไม่อาจออกไปพบท่านได้ ไม่ต้องกังวลที่เขาลือกันหรอกนะ เพียงแค่ท่านจดจ่อฝึกฝนทักษะเซียนก็พอ ท่านก็จะสามารถล้างแค้นพวกที่ดูหมิ่นท่านได้ทั้งหมด”
หวังหลินรู้สึกอุ่นใจพลางตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ขอบใจนะหวังเฮ่า”
หวังเฮ่าถอนหายใจดัง “ที่บ้านตระกูลวันนั้น ข้าจะไปพูดบางอย่างกับท่านด้วย แต่ข้าถูกท่านพ่อเขม่นเอาซะก่อน พี่ก็รู้ว่าจะเป็นยังไง ข้าไม่อยากเออออตามพวกเขาหรอก พี่ไท้จูโปรดอภัยให้ข้าด้วย”
หวังหลินส่ายหัว “มันเป็นอดีต ทำไมต้องเอ่ยถึงมันเล่า ข้าแค่ต้องการฝึกฝนและไปถึงระดับแรกด้วยการรวบรวมพลังปราณให้ได้ไวๆก็เท่านั้น”
หวังเฮ่ามองไปรอบๆขณะที่ไม่ใครดูอยู่ เขาดึงตัวออกมายัดสิ่งหนึ่งใส่มือหวังหลินแล้วกระพริบตาให้ ระหว่างนั้นเสียงเย็นเยียบดังออกมาจากในห้อง
“ลูกมือ ทำไมเจ้ายังไม่กลับมาอีก?”
หวังเฮ่าสบถขึ้นดังๆ แล้วรีบวิ่งกลับเข้าคลังสมุนไพร
หวังหลินดูของที่อยู่ในมือ และพบว่ามันคือยาสามเม็ดสีออกหม่นจนระยิบระยับ เขาเก็บเข้าช่องกระเป๋าเงียบๆแล้วนั่งลงกับพื้นขัดสมาธิเพื่อฝึกการหายใจระหว่างรอคอย
หนึ่งในสี่คนนั้นเห็นหวังหลินนั่งลง เขาก็นั่งตามและเริ่มบ่มเพาะ เหลือยืนอยู่สามราย
หวังจัวพยายามทำให้แม่นางโจวชิงรู้สึกดีแต่เสี่ยวชิงก็ขัดจังหวะเขาเมื่อตอนต้น
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและท้องฟ้ายามมืดก็เข้ามาถึง ขณะนั้นดวงจันทร์จึงลอยขึ้นเป็นสง่า ประตูคลังสมุนไพรเปิดออกอีกครั้ง หวังเฮ่าออกมาพร้อมกับถาดในมือดูท่าทางเหนื่อยล้า
หินปราณระดับต่ำและเม็ดยาโปร่งใส 5 เม็ดบนถาดดูระยิบระยับ
แต่ละคนออกมารับไปหนึ่งต่อหนึ่ง หวังหลินเป็นคนสุดท้าย หลังจากดึงมันออกมาจากส่วนแบ่ง เขาก็ยิ้มรับพลางประสานมือให้หวังเฮ่าก่อนจะจากไป
หวังหลินจดจำบุญคุณของหวังเฮ่าขึ้นในใจ เม็ดยาทั้งสามที่เขาได้รับมานั้นเป็นเม็ดยารวมปราณ!
…………………………..