บทที่ 1 จากบ้าน

ตอนที่ 1 จากบ้าน

เด็กหนุ่มนามไท้จูนั่งอยู่ริมถนนของหมู่บ้านดวงตาเหม่อมองไปยังท้องฟ้า ชื่อจริงของเขาคือหวังหลิน แซ่หวังเป็นตระกูลช่างไม้ซึ่งเป็นที่รู้จักในหมู่บ้านและมีร้านค้าสาขาอยู่มากมาย

พ่อของไท้จูเป็นบุตรคนที่สองของภรรยารองจึงไม่สามารถสืบทอดธุรกิจครอบครัวได้ หลังจากแต่งงานจึงออกจากเมืองมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เนื่องจากฝีมือช่างที่ยอดเยี่ยม ครอบครัวของไท้จูจึงได้รับการยอมรับจากคนในหมู่บ้าน ส่งผลให้ครอบครัวไท้จู้มีอาหารการกินสมบูรณ์

ไท้จูเป็นเด็กฉลาดชอบอ่านและชอบคิดเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะของหมู่บ้าน ทุกๆครั้งที่พ่อของเขาได้ยินคนในหมู่บ้านชมเชยก็ต้องยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ

แม่ไท้จูก็รักและดูแลเป็นอย่างดี กล่าวได้ว่าตั้งแต่เล็กจนโตไท้จูได้รับทั้งความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ รวมถึงคาดหวังไว้สูงมากในตัวเขา ในขณะที่เด็กคนอื่นทำนา เขากลับอยู่ที่บ้านเพื่ออ่านหนังสือ

ยิ่งมีความรู้มากเท่าไหร่เขายิ่งอยากออกไปสำรวจโลกกว้างนอกหมู่บ้านมากเท่านั้น ไท้จูมองข้ามหนังสือไปที่จุดสิ้นสุดของถนนก่อนจะปิดหนังสือลงและเดินตรงออกไปจากบ้าน

พ่อของเด็กหนุ่มได้นั่งสูบยาสูบอยู่บริเวณสวน ผู้เป็นพ่อสูดลมหายใจลึกก่อนเอ่ยถามบุตรชายซึ่งเพิ่งจะเปิดประตูออกมา

"อ่านหนังสือไปถึงไหนแล้วละ"

เด็กหนุ่มตอบกลับเพียงไม่กี่คำ

ผู้เป็นพ่อเคาะบ้องยาสูบในมือก่อนจะลุกขึ้น

"ไท้จู ลูกต้องเรียนให้หนักนะ ปีหน้าจะมีสอบรับราชการ ทุกคนรู้ว่าลูกต้องไปได้ไกล อย่าใช้ชีวิตทั้งหมดจมปลักอยู่กับหมู่บ้านเล็กๆนี่เลย"

"โธ่ เจ้าก็ไปกดดันลูกทุกวัน ข้ามั่นใจว่าไท้จูต้องสอบติดแน่นอน" ผู้เป็นแม่เอ่ยก่อนจะเรียกสามีและบุตรชายไปทานอาหารค่ำ

ไท้จูนั่งลงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเริ่มรับประทานเนื้อที่แม่ตั้งใจปรุงเป็นอย่างดี

"พ่อ อาสี่จะมาบ้านเราใช่ไหม" ไท้จูถามขึ้น

"ดูจากเวลาแล้ว เขาน่าจะมาถึงเร็วๆ นี้แหละ" ผู้เป็นพ่อกล่าวก่อนจะบอกให้ภรรยาตนเตรียมอาหารสำหรับผู้มาใหม่

แม่ของไท้จูกล่าวขึ้น “อาสี่เป็นคนที่ดีต่อพวกเรามาก ด้วยความช่วยเหลือของอาสี่ธุรกิจขายไม้ของครอบครัวเราจึงประสบความสำเร็จ เราควรจะหาโอกาสตอบแทนนะ” เพียงสิ้นคำ เสียงรถม้าดังแว่วจากหน้าประตู ม้าหยุดลงพร้อมเสียงเรียก

"พี่สอง เปิดประตูให้ข้าหน่อย" ไท้จูรู้สึกตื่นเต้นมาก รีบเดินไปเปิดประตูและพบกับชายวัยกลางคน

เขายิ้มและหัวเราะพร้อมลูบหัวไท้จู "ไท้จูไม่ได้เจอตั้งหกเดือนโตขึ้นเยอะเลยนะ"

พ่อของไท้จูกล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้ม "น้องสี่ข้าว่าแล้วว่าเจ้าจะมาตอนนี้ เข้ามาๆ ไท้จูเอาอาหารมาให้อาเขากินหน่อย" ไท้จูเข้ามาในบ้าน จัดแจงหาที่นั่งให้อาและเช็ดด้วยแขนเสื้อพร้อมส่งสายตาเป็นประกายไปที่ชายวัยกลางคน

อาสี่พูดติดตลกว่า"ไท้จู ขยันจังเลยนะ คราวก่อนไม่เห็นขนาดนี้"

ผู้เป็นพ่อมองไปยังบุตรชายพลางยิ้มออกมา "คงจะเป็นวิธีบ่นของไอ้เด็กคนนี้ว่าทำไมเจ้าไม่มาเร็วกว่านี้"

ชายวัยกลางคนเห็นดังนั้นจึงหัวเราะ "ไท้จู อาไม่ได้ลืมสัญญาหรอกนะ"

พลันดึงหนังสือสองเล่มออกมาและวางบนโต๊ะ ไท้จูตื่นเต้นมาก เด็กหนุ่มหยิบขึ้นมาอ่านทันทีราวกับมันเป็นของเล่นที่เขาชื่นชอบ ผู้เป็นแม่มองไปยังบุตรชายอย่างเอ็นดูก่อนจะหันไปถามชายวัยกลางคน "เหลาซีพี่ของเจ้าเล่าเรื่องให้ฟังเยอะเลย คราวนี้ทำไมไม่อยู่สักสองสามวันหล่ะ"

อาสี่ส่ายหัวพร้อมกล่าวว่า "ช่วงนี้ข้ายุ่งกับงานในครอบครัวมาก คงต้องรีบกลับพรุ่งนี้แล้ว แต่หากทุกอย่างเสร็จสิ้นข้าจะกลับมาเยี่ยมอีก"

อาสี่ส่งสายตารู้สึกผิดไปยังผู้เป็นพี่ชาย เห็นดังนั้นผู้ถูกมองจึงได้แต่เอ่ยว่า "น้องสี่อย่าไปสนใจพี่สะใภ้ของเจ้าเลย งานของเจ้าสำคัญที่สุด เราไว้พบกันวันหลังก็ได้"

ชายวัยกลางคนจ้องไปยังผู้เป็นพี่ก่อนจะเอ่ยถาม "ปีนี้ไท้จูอายุสิบห้าปีแล้วใช่ไหม"

"ไอ้ตัวเล็กนี้จะสิบหกในปีนี้แล้ว อ่านั่นสิ สิบปีผ่านไปไวเหมือนโกหก" ผู้เป็นพ่อพลางมองไปยังบุตรชาย

อาสี่หยุดคิดและพูดด้วยเสียงจริงจัง "พี่สอง พี่สะใภ้ มีอย่างหนึ่งที่ข้าอยากปรึกษากับพวกท่าน เหิงยั่วกำลังเปิดรับนักเรียนใหม่ ตระกูลเราสามารถเสนอชื่อได้สามคน และข้าได้รับสิทธิ์ให้เลือกหนึ่งในสาม" พ่อไท้จูนิ่งอึ้งมองไปยังผู้เป็นน้องราวกับไม่เชื่อสายตา

"สำนักเหิ่งยั่ว? แต่นั่นมันสำนักสำหรับเซียนไม่ใช่เรอะ"

"พี่สองถึงแม้นั่นจะเป็นสำนักสำหรับเซียน แต่ตระกูลเราก็มีชื่อเสียงเหมือนกันนะ ลูกชายข้าไม่ชอบอ่านหนังสือแต่มีฝีมือดาบดี ข้าหวังว่าพวกเซียนจะยอมรับเขา มันเป็นโอกาสที่ดี แต่ข้าเห็นไท้จูมาแต่เด็ก เขามีความฉลาดชอบเรียนรู้บางทีอาจจะเหมาะสมสำหรับสอบเข้าสำนักนั่นมากกว่า"

หญิงวัยกลางคนเพียงหนึ่งเดียวรู้สึกดีใจจนพูดไม่ออก

อาสี่เอามือลูบหัวไท้จู "พี่สอง น้องสะใภ้ เดี๋ยวข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง ให้ไท้จูได้มีโอกาสเลือกอนาคตที่ดี"

ไท้จูรู้สึกสับสน พยายามทำความเข้าใจเรื่องที่อาสี่และพ่อแม่พูดคุยกัน

“เซียน? อะไรคือเซียน?” ไท้จูเอ่ยอย่างแผ่วเบาราวกับพูดกับตนเอง อาสี่จ้องมองไปยังเด็กหนุ่มอย่างเคร่งเครียด

"ไท้จู เซียนคือคนที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ เป็นสิ่งที่พวกเราไม่สามารถเทียบได้เลย" เมื่อเด็กหนุ่มได้ฟังดังนั้นก็เกิดความรู้สึกสนใจ

พ่อแม่ของไท้จูโค้งขอบคุณอาสี่อย่างขอบบุญคุณ แต่เขากลับดึงทั้งสองขึ้นไว้ก่อนกล่าว "พี่สองไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก แม่ท่านดูแลข้ามาแต่เล็ก ถ้าไม่มีท่านข้าคงไม่อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ และไท้จูก็เป็นหลานของข้าเช่นกัน"

ได้ยินดังนั้นผู้เป็นพี่ทำได้แต่เพียงร้องไห้อย่างตื้นตันก่อนจะพยักหน้า "หวังหลินลูกต้องจำไว้ให้ขึ้นใจว่าอาสี่ดีต่อครอบครัวเรามากแค่ไหน ไม่เช่นนั้นพ่อจะไม่นับเจ้าเป็นบุตร" ไท้จูรู้สึกตกใจ ถึงแม้เขาจะยังไม่เข้าใจคำว่าเซียนมากนัก แต่การที่เห็นพ่อให้ความสำคัญกับมันมากถึงขนาดนี้ จึงคุกเข่าให้อาสี่แล้วคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ชายวัยกลางคนดึงไท้จูขึ้นและกล่าวออกมา "เด็กน้อย เหลือเวลาเตรียมตัวไม่มากนัก ข้าจะมารับตอนสิ้นเดือน"

เย็นวันนั้น ไท้จูนอนหลับแต่หัวค่ำ หูได้ยินแต่เสียงของพ่อและอาสี่จากในสวน พ่อของเขามีความสุขมาก ปกติพ่อไม่ค่อยดื่มสุราแต่วันนี้กลับชวนอาสี่ดื่มด้วยกัน

“เซียน? จริงๆแล้วเซียนคืออะไรกัน?” ไท้จูตื่นเต้นมาก นี่คงเป็นโอกาสที่เขาจะได้ทำตามความฝันในวัยเยาว์ โอกาสที่จะออกไปสู่โลกกว้าง!!

เช้าวันต่อมาอาสี่จากไปแล้ว พ่อและแม่พาไท้จูเข้าไปยังหมู่บ้าน ระหว่างทางเด็กหนุ่มได้สังเกตว่าพ่อดูหนุ่มขึ้น ดวงตาวาววับเต็มไปด้วยความสดใส เขามีความคาดหวังยิ่งกว่าตอนที่จะให้ไท้จูสอบรับราชการเสียอีก

ในหมู่บ้านนั้นไม่มีความลับ แม้แต่ลูกสุนัขเกิดทุกคนในหมู่บ้านยังรู้ ดังนั้นในไม่ช้าทุกคนก็ได้ทราบเรื่องของไท้จู สายตาพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา

"หวังเจี่ยมีลูกฉลาด ตระกูลเขาเสนอชื่อให้เข้าเรียนที่เหิงยั่ว"

"ข้าเห็นไท้จูมาตั้งแต่ยังเล็ก เขาเป็นเด็กฉลาด น่าจะได้เป็นนักเรียนเหิงยั่วได้ตามที่พวกเราหวัง"

"ไท้จูมีความสามารถมาก พอโตขึ้นคงไม่ลืมพวกเราหรอกนะ"

คำพูดต่างๆ มากมายลอยเข้าหูเด็กหนุ่ม ข่าวเรื่องไท้จูได้สิทธิ์เข้าสอบสำนักเหิ่งยั่วกลายเป็นข่าวที่พูดกันไปทั่ว ทุกๆครั้งที่พ่อแม่ของเขาได้ยิน ก็มักจะหัวเราะอย่างดีใจ

ยามที่ไท้จูเดินอยู่คนเดียวในหมู่บ้าน ชาวบ้านทุกคนล้วนเชิญเขาเข้ามา ไท้จูได้กลายเป็นแบบอย่างให้เด็กๆในหมู่บ้านไปแล้ว

ครึ่งเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก ข่าวของไท้จูดังไปถึงหมู่บ้านอื่นแม้อยู่ห่างไปถึงแปดลี้ ชาวบ้านต่างมาดูไท้จูและร่วมแสดงความยินดี ทุกคนที่มาต่างก็ซื้อของขวัญมาฝาก ซึ่งพ่อและแม่ของไท้จูไม่มีทางเลือกจึงต้องรับเอาไว้ พอทุกคนกลับไปแล้วพ่อไท้จูจึงจัดเตรียมของตอบแทน เมื่อไหร่ที่ไท้จูได้เป็นเซียนเขาจะได้ไม่ต้องกังวลที่จะตอบแทนชาวบ้าน

ขณะนี้ผู้ดีตระกูลหวังพลันรู้ว่าเหลาซีให้สิทธิ์ของตนเองแก่ไท้จูแทนที่จะให้ลูกตัวเองและร่วมแสดงความยินดีคนแล้วคนเล่า พ่อไท้จูรู้สึกได้รับความสำคัญ เพราะหลายปีมานี้เหล่าผู้ดีของตระกูลมักจะดูถูกเหยียดหยาม พ่อและแม่ของไท้จูได้พูดคุยกับแขกคนแล้วคนเล่า เกิดความรู้สึกเหมือนขจัดความทุกข์ในใจที่มีมาหลายปี

นอกจากนี้ยังมีครูอาจารย์ประจำหมู่บ้านช่วยเขียนจดหมายเชิญชวนไปให้คนรู้จัก ครูท่านนั้นไม่ได้เรียกร้องทรัพย์สินอะไรเลย สิ่งที่ต้องการคือให้ไท้จูบอกคนอื่นๆ ว่าเขาเป็นผู้สอนไท้จูมา

แน่นอนว่าไท้จูปฏิเสธไม่ได้เพราะมันเป็นความจริง หลังจากออกหนังสือเชิญชวน พ่อไท้จูต้องจัดโต๊ะกว่าร้อยตัวเพื่อทำการต้อนรับ ทุกคนมาเพื่อชมเชยไท้จูอย่างไม่หยุดหย่อน แม่และไท้จูเองต้องคอยต้อนรับแขกและคอยแนะนำ

"ท่านนี้คือปู่สาม ตอนข้าออกมาจากตระกูล ปู่สามคอยช่วยเหลือเรามากเลย ไท้จูลูกอย่าลืมที่จะตอบแทนบุญคุณท่านนะ" ผู้เป็นพ่อกล่าวกับหวังหลินขณะที่เข้าไปประคองชายสูงอายุคนหนึ่ง

ชายแก่มองไปที่ไท้จูและกล่าวว่า

"อาาา เหลาอี้เวลาผ่านไปนานแล้วสินะลูกของเจ้าก็โตขึ้นมาก หากเทียบกับเจ้าแล้วเด็กคนนี้คงยอดเยี่ยมมากแน่นอน"

พ่อของไท้จูหน้าแดงก่อนจะยิ้ม "ปู่สาม ไท้จูฉลาดมาแต่เด็กแล้ว ได้โปรดอย่าเทียบเขากับข้าเลย เชิญทางนี้"

แม่ไท้จูช่วยประคองชายแก่เดินต่อไป หลังผ่านไปแล้วผู้เป็นพ่อจึงได้กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ "ตาแก่นั่นไม่ชอบข้าและเป็นคนไล่ข้าออกจากบ้านมาเอง แถมยังเอาความสำเร็จของเจ้ามาเสียดสีพ่อ"

ไท้จูพยักหน้าอย่างเข้าใจ "อาสี่จะมาวันนี้ไหม"

พ่อไท้จูส่ายหัว "อาสี่ทิ้งจดหมายเอาไว้บอกว่าจะไม่กลับมาจนกว่าจะถึงสิ้นเดือนจริงๆ"

ในเวลานั้น มีรถม้าอีกคันแล่นเข้ามา หลังจากหยุดลงชายแก่อายุราวๆ ห้าสิบปีเดินออกมามองพ่อของไท้จูพร้อมถอนหายใจแล้ว "เหลาอี้ ยินดีด้วยนะ"

ผู้เป็นพ่อแสดงสีหน้าสับสนก่อนกล่าวขึ้น "พี่...."

ชายแก่มองไท้จูพลางยิ้มแย้ม "เหลาอี้นี้ลูกของเจ้าใช่ไหม มันจะสอบผ่านเรอะ"

พ่อไท้จูขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน "ถึงแม้ไท้จูไม่ได้แข็งแรงกว่าใครๆ แต่เขาก็ฉลาดมาแต่เด็ก แต่ด้วยโชคชะตาทำให้เขาถูกเลือกได้สิทธิ์สอบ"

"ก็ไม่แน่ สำนักเซียนมีการคัดเลือกลูกศิษย์ที่เข้มงวดยิ่งนัก ข้ามองแล้วเด็กอ่อนนี้ไม่มีปัญญาหรอก" เสียงหยาบกระด้างดังมากจากเด็กชายอายุราวๆ 16-17 ปีซึ่งเพิ่งก้าวลงจากรถม้า ใบหน้าหล่อเหลาแต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความดูถูกอย่างชัดเจน หวังหลินและพ่อมองไปที่เขาโดยไม่พูดอะไร

ชายแก่หน้าเปลี่ยนสีพร้อมกล่าวว่า "หวังโจว กล้าดียังไงถึงมาหยาบคายอย่างนี้นี่อาและลูกพี่ลูกน้องของเจ้านะ หวังหลินมาทักทายกันหน่อยสิ" หลังจากพูดเสร็จเขาได้หันไปพูดกับพ่อไท้จู

"ลูกของข้าปากไม่ค่อยดี หวังว่าเหลาอี้คงไม่ถือโทษ แต่ว่า..." ชายแก่ชะงักก่อนเปลี่ยนเรื่องกลางคัน

"เหลาอี้ การฝึกฝนเป็นเซียนไม่ใช่เรื่องธรรมดา เจ้าต้องเชื่อมั่นในโชคชะตา เหตุที่สำนักเหิ่งยั่วให้เด็กจากตระกูลเราเข้าเรียนเพราะพวกเขาเห็นพรสวรรค์ในตัวลูกของข้าหรอกนะ”

พ่อไท้จูถอนหายใจ "ถ้าลูกชายท่านทำได้ ลูกของข้าก็ทำได้"

หวังจัวกล่าว "ท่านอา ข้าขอแนะให้ท่านอย่าหวังสูงไปเลย การฝึกเซียนมันยากลำบาก หมื่นปีถึงสำเร็จสักคน ไอ้เด็กโง่นี่กล้าดียังไงเทียบกับข้าผู้ที่สำนักเลือกให้เป็นศิษย์" ชายแก่สีหน้าภาคภูมิใจแต่ก็ทำเป็นห้ามปรามลูกตนเองก่อนจะจับมือกับพ่อไท้จูเดินเข้าไปในงาน

"ไท้จู ลูกไม่ต้องกดดันตัวเองมากไปนะ ถ้าเป็นเซียนไม่ได้ก็มาสอบข้าราชการปีหน้า" พ่อของไท้จูข่มความโกรธเอาไว้พลางจับบ่าลูกชาย

“ท่านพ่อไม่ต้องกังวล ข้าจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกเลือก” หวังหลินกระซิบเสียงแผ่ว ผู้เป็นพ่อตบไหล่หวังหลินหนักแน่น จ้องมองด้วยสายตาคาดหวัง

พวกเขาพบกับญาติอีกมากมายหลายคน ท้ายที่สุดพ่อไท้จูก็เดินเข้าไปในงาน "ครอบครัวที่รักของข้า ขอบคุณที่มาถึงหมู่บ้านนี้ ข้าขอไม่พูดมากแต่ในวันนี้ลูกของข้าได้รับเลือกให้เข้าสอบที่เหิงยั่ว เป็นวันที่ข้าตื่นเต้นมากที่สุด ข้าไม่มีอะไรจะพูดนอกจากขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมฉลอง" พูดจบพ่อไท้จูก็ดื่มเหล้าองุ่นจนหมดแก้ว

"เหลาอี้ ลูกของเจ้าฉลาดมาแต่เกิดแล้วไม่แปลกที่จะถูกเลือกเหมือนหวังจัว"

"พี่สอง ไท้จูทำเจ้าสมหวังแล้วสินะต่อไปเจ้าคงมีความสุขไม่น้อย"

คำชื่นชมดังมาจากทั่วทุกสารทิศแต่ก็ยังมีบางส่วนที่แม้จะชื่นชมยินดีแต่จริงๆแล้วเต็มไปด้วยความดูแคลนเช่นพ่อของหวังจัว เขามองไปยังบุตรชายของตนสลับกับไท้จูก่อนจะสำนึกขึ้นในใจว่าหากเหล่าเซียนไม่ได้ตาบอด ไท้จูไม่มีทางเป็นผู้ถูกเลือกอย่างแน่นอน

พ่อของไท้จูได้พาหวังหลินไปแนะนำตามโต๊ะต่างๆ ในวันนั้นพ่อไท้จูดื่มเหล้าองุ่นไปมาก เขาไม่เคยมีความสุขอย่างนี้เลย

หลังจากญาติๆได้จากไปแล้ว หวังจัวได้พูดข้างหูไท้จู "ไอ้โง่ คนอย่างเจ้าสอบไม่ผ่านหรอก เจ้าไม่เหมาะสมกับการเข้าเรียน" สิ้นคำเด็กหนุ่มก็จากไปด้วยรอยยิ้มดูถูกพร้อมกับพ่อตนเอง

ไท้จูเอนหลังลงบนเตียง เด็กหนุ่มคิดอย่างคาดหวังว่าจะต้องได้เข้าเรียน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม!

หลายเดือนผ่านไปอาสี่ของไท้จูก็ได้เดินทางมาถึง พ่อไท้จูรีบไปต้อนรับแต่กลับพบว่าผู้เป็นน้องเต็มไปด้วยอารมณ์เร่งร้อน

"พี่ชาย พี่สะใภ้ ข้าอยู่นานไม่ได้ ต้องไปพร้อมกับไท้จูตอนเช้าพรุ่งนี้เลย ใกล้ถึงเวลาที่สำนักเหิงยั่วจะรับศิษย์แล้ว"

พ่อไท้จูแสดงสีหน้าเสียใจ "ไท้จูไปกับลุงเถอะ ถ้าไม่ได้เรียนก็ไม่เป็นไรกลับมาที่บ้านได้"

จากนั้นแม่ของไท้จูก็ได้กล่าวว่า "เชื่อฟังอาสี่นะลูก อย่าสร้างปัญหา อดทนให้มากเข้าไว้ แม่จะเตรียมชุดใหม่และอาหารโปรดของลูกไว้ให้ คิดถึงลูกนะ หากสอบไม่ผ่านก็กลับมาหาแม่ได้" สิ้นคำผู้เป็นแม่ก็ร้องไห้ ตั้งแต่เกิดไท้จูไม่เคยออกจากหมู่บ้านเลย นี่เป็นครั้งแรกของครอบครัว

อาสี่พูดอย่างสะเทือนใจ "ไท้จูพ่อแม่ของเจ้าหวังเอาไว้มาก พี่ชาย พี่สะใภ้ อีกไม่กี่วันจะต้องมีการเฉลิมฉลองใหญ่เป็นแน่ วันนี้อย่าพึ่งไปไหน พรุ่งนี้ข้าจักพาท่านไปยังที่ที่ประกาศผล"

อาสี่หนุนหลังไท้จูขึ้นไปยังรถม้า ก่อนที่รถจะเคลื่อนออกไป

ผู้เป็นแม่มองตามรถม้าที่ค่อยๆเลือนหายไปก่อนเอ่ยขึ้น "คุณคะ ไท้จูไม่เคยออกไปไหนไกลเลย หวังว่าลูกคงไม่โดนรังแกนะ" นางกล่าวด้วยดวงตาเศร้าใจ

"เขาโตแล้ว อย่ากังวลไปเลย เขาออกเดินทางเพื่ออนาคตที่สดใส" พ่อไท้จูสูบยาเข้าปอดด้วยใบหน้ากังวลใจอยู่ลึกๆ

…………………….