บทที่ 34 ฝึกฝน

ตอนที่ 34 ฝึกฝน

ด้วยบทร่ายไปจนถึงขั้นรวบรวมลมปราณระดับเก้า หวังหลินจึงเริ่มฝึกฝนของตัวเองอย่างต่อเนื่อง เขากลับมาสู่วงจรชีวิตอย่างสันโดษอีกครั้ง ขณะเดียวกันความตึงเครียดหนักปรากฏเหนือสำนักเหิงยั่ว

เหล่าศิษย์สายในทุกคนเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมการประลอง ถ้าพวกเขาก้าวเข้าสู่อันดับต้นได้เมื่อนั้นทั้งสมบัติวิเศษ ยาเซียน ยันต์เซียน หินวิญญาณและรางวัลอื่นๆก็เป็นของเขา

สิ่งที่ทำให้สายตาพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาในเวลานี้ก็คือ ทางสำนักได้นำสมบัติวิเศษชิ้นใหญ่ที่เรียกกันว่า แหวนคู่จันทราเพื่อเป็นรางวัลสำหรับผู้ได้อันดับหนึ่ง

แหวนคู่จันทราเป็นของผู้อาวุโสในสำนักเมื่อสามร้อยปีก่อน มันเต็มไปด้วยพลังป้องกันอย่างดีเยี่ยม

ดังนั้นเหล่าศิษย์สายในทุกคนจึงได้เตรียมตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างลับๆ

ส่วนการแข่งขันศิษย์หน้าใหม่ ตั้งแต่มีศิษย์สายในเข้ามาใหม่ไม่กี่คน ทุกคนต่างเดาว่าผู้ชนะในการแข่งขันจะเป็นหวังจัว

ส่วนศิษย์สายนอก พวกเขาได้เริ่มมีความเกลียดชังกันเอง การแข่งขันเพื่อการกลายเป็นศิษย์สายในคือโอกาสที่จะมีชีวิตรอด ทุกคนต่างเตรียมตัวอย่างลับๆ

บรรยากาศเคร่งเครียดนี้ไม่เป็นผลอะไรกับหวังหลิน นอกจากการฝึกเซียน เขายังฝึกวิชาเซียนอันใหม่ ก่อนจะถึงสิ้นเดือนหวังหลินได้ออกจากโรงเรือนและมุ่งหน้าไปที่ลานกลาง

พอเปิดใช้วิชาเซียนอำพราง พลังปราณในร่างเขาได้ปลอมแปลงตัวเองให้กลายเป็นขั้นรวบรวมลมปราณระดับแรกอย่างรวดเร็ว

เขาพบว่าผู้คนในโรงเรือนต่างน่ารำคาญและขัดขวางการบ่มเพาะ ดังนั้นจึงได้แก้ตัวด้วยการออกไปฝึกฝนในสถานที่เงียบๆ

หลังจากมาถึงพื้นที่ลานกลางเขาก็เดินเข้าไปข้างใน ชั่วครู่ต่อมาก็มาอยู่ด้านหน้าสวนสมุนไพรของซุนต้าซื่อและพูดขึ้นอย่างเคารพ “ศิษย์หวังหลินขอเข้าพบท่านอาจารย์”

“ทำไมเจ้าอยู่ที่นี่?” ประตูสวนสมุนไพรไม่ได้เปิดออก ราวกับซุนต้าซื่อไม่ชอบศิษย์คนนี้เท่าไหร่

การแสดงออกของหวังหลินกลับมาเป็นปกติ เขาพูดอย่างสุภาพ “ระดับการบ่มเพาะของศิษย์นั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดินและข้ากลัวว่าไม่อาจเอาชนะได้ในการแข่งขันจนทำให้ท่านอาจารย์เสียหน้า ดังนั้นข้าอยากละเว้นการประลองนี้”

ซุนต้าซื่อเย้ยหยัน “หืมมมม ดูเหมือนว่าเจ้าจะทราบดี เด็กน้อย ดูศิษย์ผู้อาวุโสซู่สิ หวังจัวยังหนุ่มยังแน่นทั้งยังเป็นขั้นรวบรวมลมปราณระดับแรกสูงสุด เขาสามารถบรรลุระดับสองเวลาไหนก็ได้ ถ้าเจ้าออกไปสู้ก็ไร้ประโยชน์ แค่นิ้วเดียวคนอื่นๆก็สังหารเจ้าได้แล้ว ข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้าเป็นญาติกัน แล้วจะเป็นเรื่องใหญ่โตอันใด?”

หวังหลินไม่ใส่ใจ “หวังจัวเป็นคนฉลาดตั้งแต่เด็กและเขามีพรสวรรค์ เขาไม่เห็นใครอยู่ในสายตา”

ซุนต้าซื่อขบคิดเล็กน้อยและถามขึ้น “เจ้าได้ออกไปหาน้ำเต้าเพิ่มในครึ่งปีที่ผ่านมาหรือไม่?”

หวังหลินส่ายหัวเผยการแสดงออกว่าทำอะไรไม่ถูก “นี่มันก็แปลกประหลาดจริงๆ ข้าได้เข้าไปในภูเขาตั้งหลายครั้งแต่กลับไม่พบน้ำเต้าเลย”

ซุนต้าซื่อน้ำเสียงเย็นเยียบ “เจ้ามีอะไรจะพูดอีกไหม? ถ้าไม่ก็ไปได้แล้ว ทุกครั้งที่ข้าเห็นเจ้า ข้าจะเริ่มโกรธ!” ทุกครั้งที่เขาได้ละสายตามาที่หวังหลิน เขาแทบจะไม่สามารถระงับความโกรธตัวเองได้ และอยากจะสังหารหวังหลินเพื่อให้คนอื่นๆไม่หัวเราะเยาะเขา

หวังหลินโค้งคำนับและพูดอย่างสุภาพ “ท่านอาจารย์ ศิษย์เบื่อที่จะพักในภูเขาที่นี่จริงๆ ข้าอยากจะออกไปข้างนอกจนถึงหลังปีใหม่ ท่านคิดเช่นไรบ้าง?”

ซุนต้าซื่อปฏิเสธและพูดขึ้น “ออกไปนอกภูเขาหรือ? เจ้าทำไม่ได้ ข้าเกือบจะลืมเจ้าไปแล้วแต่ในอีกสี่ปีข้างหน้าจะมีการประลองระหว่างสำนักขึ้น เวลานี้ท่านเจ้าสำนักได้มีคำสั่งว่าหลังจากปีใหม่ ให้ศิษย์สายในส่วนใหญ่ปิดประตูฝึกฝนอย่างเข้มข้น เจ้าควรจะไปบอกว่าอย่าทำลายชื่อเสียงข้าในการประลองข้ามสำนักก็พอ”

“ฝึกฝนอย่างเข้มข้น?” หวังหลินตกตะลึง

“ทุกยี่สิบปีต้องมีการประลองระหว่างสำนักเกิดขึ้น นั่นเป็นกฏ แม้ซวนต้าวซ่งจะเป็นมิตรกับสำนักเราโดยผิวเผิน แต่เบื้องหลังพวกเราก็ขัดแย้งกันอยู่หลายครั้ง ร้อยปีที่ผ่านมาพวกเราพ่ายแพ้ทุกครั้งจนน่าอาย ซึ่งจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงได้มีการฝึกฝนเข้มข้นเกิดขึ้น เจ้าฟังข้าให้ดี ถ้าหลังจากสี่ปีนี้ถ้าเจ้าไม่ก้าวหน้าอะไรเลยและสร้างความอับอายแก่ข้าระหว่างการประลอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าจะเตะเจ้าออกจากสำนัก!” หลังจากพูดเช่นนั้นซุนต้าซื่อก็ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ

หวังหลินถอนหายใจอย่างเงียบๆ จากน้ำเสียงซุนต้าซื่อที่ไม่เป็นมิตรแล้วดูเหมือนว่าการไปฝึกฝนนอกสำนักจะเป็นไปไม่ได้ เขาพยักหน้าและจากไป

หลังกลับมาที่โรงเรือน หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อย ตั้งแต่ที่ไม่สามารถไปฝึกข้างนอกได้ ก็ต้องใช้การฝึกอันเข้มข้นนี้เพื่อฝึกเซียนอย่างเหมาะสม

วันต่อมาการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ฉากเหตุการณ์ดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก หวังหลินไม่ได้ออกไปไหน เขาใช้เวลาเพื่อบ่มเพาะและสร้างพื้นฐานระดับสองให้แข็งแรง

สองสามวันต่อมาหวังหลินก็ได้ยินเรื่องนินทาของเหล่าศิษย์สายนอกเกี่ยวกับศิษย์สายใน ศิษย์พี่จ้างได้อันดับหนึ่งเพราะไม่มีศิษย์ระดับม่วงคนไหนประลองด้วย

ส่วนหวังจัว ไม่แปลกใจที่เขาจะได้เป็นผู้ชนะในศิษย์หน้าใหม่ เขากลายเป็นหยิ่งยโสมากขึ้นและไม่เห็นศิษย์หน้าไหนที่อายุเท่าเขาอยู่ในสายตา

ยามเช้าอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เสียงระฆังดังขึ้นทั้งสำนัก มันดังห้าครั้งนั่นหมายถึงว่าให้ศิษย์สายในทุกคนต้องรีบออกไปที่โถงหลัก

หวังหลินไม่ได้ยินเสียงระฆังจากในมิติความฝัน นั่นจนถึงซุนต้าซื่อเตะประตูโรงเรือนเขาเข้ามาอย่างโกรธเกรี้ยวและปลุกเขา หวังหลินรีบเก็บหินลูกปัดและเปิดประตูเพื่อไปห้องฝึกลับ เขาเห็นเพียงใบหน้าโกรธเกรี้ยวของซุนต้าซื่อ ทั้งยังตะโกนขึ้น “หวังหลินเจ้าตายหรืออย่างไร? ไม่ได้ยินเสียงระฆังหรือ? สารเลวเอ้ย! ศิษย์สายในทุกคนต่างเข้าร่วมฝึกฝนอันเข้มข้นแต่เจ้ากลับทำตัวแบบนี้! เจ้าทำให้ข้าเสียหน้าไม่พออีกหรือ! เจ้า...เจ้าจะทำให้ข้าเป็นบ้า!”

หวังหลินยกคิ้วขึ้นและเงียบเสียง

ซุนต้าซื่อมองหวังหลินด้วยสีหน้าปั้นยาก เขารู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาดุด่าว่ากล่าวศิษย์เพราะว่าหัวหน้าสำนักและศิษย์พี่อาวุโสกำลังรออยู่ เขาจับหวังหลิน ก้าวไปบนเมฆเจ็ดสีและเหาะไปบนฟ้า

พวกเขาก็มาถึงด้านหน้าโถงหลักด้วยความเร็วสูงสุด ซุนต้าซื่อโยนหวังหลินไปบนพื้นอย่างรุนแรงและกระซิบเสียงค่อย “หวังหลินตามข้ามา ถ้าเจ้าทำให้ข้าเสียหน้าอีกครั้ง ข้าจะฝืนกฏสำนักและฆ่าเจ้าซะ!” คำสุดท้ายของซุนต้าซื่อเต็มไปด้วยจิตสังหาร เขาจนปัญญากับศิษย์คนนี้แล้วและตัดสินใจว่าต้องหาเหตุผลเตะศิษย์คนนี้ออกจากสำนักให้ได้

หวังหลินลูบไหล่ตัวเอง ถ้าเขาไม่ได้บรรลุขั้นรวบรวมลมปราณระดับสองและตกลงไปแบบนั้น แขนเขาคงหักไปแล้ว หวังหลินก้มหัวและกล่าวกระซิบ “ศิษย์จะเชื่อฟัง”

ซุนต้าซื่อถอนหายใจ เขาจัดระเบียบชุดตัวเองและเดินเข้าไปในโถงกลาง หวังหลินหายใจลึก ข่มความโกรธของตัวเองเอาไว้พลางเดินเข้าไปเช่นกัน

โถงหลักสำนักเหิงยั่วเป็นสถานที่ใหญ่โตอลังการ มันเป็นโถงกว้างประดับประดาด้วยเหล่ารูปปั้นเซียนของสำนักหลายสิบรูป ทั่วโถงหลักเต็มไปด้วยสัมผัสอันน่าเกรงขาม

หลังจากหวังหลินติดตามซุนต้าซื่อเข้ามาในโถง สายตาหลายคู่จ้องมองเขา หวังหลินหายใจอย่างยากลำบากและก้มหัวตัวเองอย่างรวดเร็ว

……………………………………