บทที่ 37 สี่ปี

ตอนที่ 37 สี่ปี

ศิษย์พี่จ้างมองหวังจัวอย่างเยือกเย็น “สิ่งสำคัญในการทะลวงระดับก็จริงที่ใช้พรสวรรค์ของตัวเองอย่างมาก บางคนเพียงแค่พยายามสองสามครั้งก็สำเร็จ ขณะที่บางคนใช้ทั้งร้อยปีหรือหมื่นปีกว่าจะสำเร็จได้ หรือไม่แม้แต่จะทะลวงได้ในชั่วชีวิต”

หวังหลินเผยใบหน้าเศร้าและถามขึ้น “ศิษย์พี่จ้าง การทะลวงผ่านทุกระดับต่างก็ยากเช่นนี้หรือ การทะลวงจากระดับสองไประดับสามและระดับสามไประดับสี่นั้นยากมากขนาดไหน?”

ศิษย์พี่จ้างพยักหน้า “ใช่แล้ว ในระดับถัดไปความยากจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ระดับสามไประดับสี่ และระดับห้าไประดับหก”

คำตอบของศิษย์พี่จ้างได้ดึงดูดศิษย์คนอื่นๆเข้ามา ศิษย์หญิงสาวคนหนึ่งถามออกมา “ศิษย์พี่คะ มันยากขนาดไหนจากระดับสามไประดับสี่หรือ? ตอนนี้ข้าอยู่ระดับสาม”

หวังหลินรู้จักคนที่ถาม นางคือแม่นางโจวที่หวังจัวหลงเสน่ห์

ศิษย์พี่จ้างครุ่นคิดชั่วขณะหนึ่ง “ก็ได้ แค่วันนี้ข้าจะบอกพวกเจ้าเรื่องคอขวดใหญ่ๆที่จะต้องเจอเมื่ออยู่ต่ำกว่าขั้นรวบรวมลมปราณระดับหก คอขวดแรกคือการทะลวงจากระดับสามไประดับสี่ ในบางคนมันช่างง่ายดายนักแตต่สำหรับคนอื่นๆ นี่มันอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ไม่อาจก้าวข้ามได้ทั้งชีวิต หัวใจหลักไม่ได้เกี่ยวกับพรสวรรค์ แต่เป็นหนึ่งในความเข้าใจความหมายจากคำพูดที่ว่า ‘ถนนคือการไม่ปราณี’ ”

เขาให้ทุกคนครุ่นคิดและพูดต่อ “เหล่าเซียนจำเป็นต้องตัดสัมพันธ์ทางโลกให้ได้ ถ้าพวกเจ้าสามารถทำได้ การเลื่อนจากระดับสามไประดับสี่ก็เป็นเรื่องง่าย ถ้าไม่ได้นั่นก็ยากพอควร คอขวดของระดับห้าไประดับหกคือการเปลี่ยนคุณภาพของพลังปราณในร่างกาย พลังปราณจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆในร่างกายพวกเจ้าและเมื่อถึงจุดหนึ่งการเปลี่ยนแปลงจะละเอียดและอยู่ในระดับลึกมากขึ้น จำเป็นต้องใช้พลังปราณจำนวนมากมายดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากติดอยู่ที่คอขวดนี้”

หลังจากหวังหลินฟังศิษย์พี่จ้างพูดจบ เขาก็ตกตะลึงและครุ่นคิดอย่างเงียบๆ

ศิษย์สายในคนอื่นต่างมีท่าทีแตกต่างกันออกไปและเริ่มถามคำถามต่อ ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลามืดค่ำที่ทุกคนจะต้องแยกย้าย

หวังหลินเดินรอบๆในหุบเขาตามเสียงน้ำไป ไม่ช้าทะเลสาปก็ปรากฏด้านหน้า

กลิ่นพลังปราณตลบอบอวลปล่อยออกมาจากแหล่งน้ำ หวังหลินเดินเข้าไปและดื่มน้ำไปหลายอึก แม้ว่ามันจะไม่เท่ากับน้ำพลังปราณจากลูกปัด แต่มันยังเพียงพอให้ช่วยเพิ่มพลังปราณให้แก่หวังหลิน

ดังนั้นหวังหลินจึงหยิบน้ำเต้าออกมาเติมน้ำลงไปทีละอัน หลังจากเวลาผ่านไปสักพักในที่สุดเขาก็เติมน้ำเต้าจนหมดและเดินกลับ รูม่านตาหดแคบลงเห็นศิษย์พี่สองยืนออกห่างไปอีกทางหนึ่ง ด้านข้างเขาราวกับเป็นผีตนหนึ่ง หวังหลินกำลังเติมน้ำอยู่เขาได้ตรวจสอบพื้นที่ด้วยสัมผัสวิญญาณอยู่บ่อยครั้งแต่กลับไม่พบอะไรเลย ถึงอย่างนั้นดูเหมือนว่าศิษย์พี่จางอยู่ที่นี่มานานแล้ว ทำเอาจิตใจหวังหลินได้หดลง

สายตาของจางขวงส่องสว่างขึ้นและพูดออกมา “น้องหวัง แม่น้ำนี่มีพลังปราณจำนวนมากและดีต่อการบ่มเพาะของเจ้า แต่ข้าเห็นเจ้าตระเตรียมน้ำเต้าจำนวนมากมาก่อนแล้ว เจ้าได้รู้มาก่อนหรือไม่ว่าจำเป็นต้องใช้มันเมื่อมาถึงที่นี่หรือ?”

หวังหลินนำของเก็บไปโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ท่านอาจารย์ได้บอกข้ามาก่อนว่าแม่น้ำน่าจะช่วยการบ่มเพาะของข้าได้ ดังนั้นศิษย์คนนี้จึงเตรียมมาหลายอัน”

จางขวงจ้องไปที่หวังหลินครู่หนึ่งและพูดขึ้น “เป็นเรื่องปกติที่ซุนต้าซื่อจะรู้เรื่องนี้ เจ้าควรจะกลับไปฝึกฝนได้แล้ว การเข้าสู่ระดับแรกขั้นรวบรวมลมปราณในเวลาสองปี ได้ดูเหมือนว่าศิษย์น้องช่างตั้งอกตั้งใจยิ่งนัก ทำดีมาก ข้าหวังว่าเมื่อเห็นเจ้าอีกครั้งจะอยู่ระดับสองแล้วนะ”

หวังหลินประสานมือเข้าหากันและจากไป เพียงหลังจากเขากลับมาที่ถ้ำตัวเองก็รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ยังดีที่เขาได้ฝึกฝนวิชาอำพรางระดับการบ่มเพาะของตัวเอง ไม่เช่นนั้นถ้าจางขวงรู้เข้าว่าเขาเข้าถึงระดับสามเรียบร้อยแล้วคงสงสัยแน่นอน หากจางขวงพยายามสังหารเขา หวังหลินก็คงไม่มีแรงพอจะโต้ตอบ

หวังหลินเตือนตัวเองอย่างเงียบๆ “เหล่าเซียนต่างเป็นมนุษย์ที่มีนิสัยแตกต่างกันมากมายหลายแบบ ความจริงพวกเซียนเหล่านี้โหดเหี้ยมอำมหิตกว่ามนุษย์ด้วยกันเองด้วยซ้ำ เพราะเช่นนั้นข้าต้องไม่ให้ใครรู้ว่ามีลูกปัดลึกลับนี่”

หลังจากดึงคันโยกเพื่อปิดผนึกถ้ำอีกครั้ง หวังหลินนั่งไขว้ขวาและเริ่มฝึกเซียน

หลักการในการตัดความสัมพันธ์ทางโลกและกิเลสทั้งหมดก็คือเพื่อป้องกันไม่ให้วอกแวกจากการฝึกเซียน แต่หลังจากเข้าสู่สำนักเหิงยั่วแล้วหวังหลินพบว่าเซียนส่วนใหญ่ไม่เพียงแต่ไม่ตัดขาดจากกิเลศตัวเองออก แต่ดันกลายเป็นแย่ขึ้นเรื่อยๆ

ผลลัพธ์ก็คือ คำพูดที่ว่า ‘ตัดกิเลสมนุษย์’ นั้นช่างคลุมเครืออย่างมาก แต่จากคำพูดของศิษย์พี่จาง หัวใจสำคัญในการข้ามระดับสามไประดับสี่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องความขัดแย้ง

หลังจากครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานานเขาก็ยังไม่พบเบาะแสอะไรอื่น หวังหลินรู้ว่าเขาไม่สามารถตัดขาดความสัมพันธ์กับครอบครัวตนเองได้ ส่วนหนึ่งของความโชคดีก็คือระดับสามไม่เหมือนกับสองระดับแรก แม้เขาจะทะลวงผ่านระดับไม่ได้ แต่พลังปราณยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดหวังหลินก็ยอมแพ้ที่จะทะลวงผ่านระดับสี่อย่างรวดเร็วและบ่มเพาะพลังปราณตนเองให้เพิ่มขึ้น

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งปี สองปี โดยไม่ทันได้คิด อีกสองปีก็ผ่านไปเรียบร้อย หวังหลินได้ปิดประตูฝึกฝนมาสี่ปีแล้ว เขาเหลือเพียงออกจากถ้ำเพิ่มขึ้นอีกครั้งเพื่อที่จะเติมเต็มน้ำไปสร้างพลังปราณในการบ่มเพาะ

สี่ปีในโลกแห่งความจริงคือยี่สิบห้าปีในโลกแห่งความฝัน รวมเวลาก่อนที่หวังหลินปิดประตูฝึกฝน เขาฝึกเซียนมา 27 หรือ 28 ปีได้แล้ว

ระดับการควบแน่นพลังปราณยังติดอยู่ที่ระดับสาม แต่จำนวนพลังปราณในร่างกายยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการฝึกฝนอันเข้มข้นเป็นเวลาสี่ปี เสียงตะโกนอย่างหยิ่งยะโสดังขึ้นจากข้างนอก “เหล่าศิษย์ชายหญิงทั้งหลาย สี่ปีผ่านมาแล้ว จงออกมาทันที หัวหน้าสำนักที่อยู่ที่นี่เพื่อเตรียมรับการกลับมาของพวกเจ้า”

ถ้ำบนหน้าผาทั้งหมดเปิดขึ้น เหล่าศิษย์สายในเดินออกมาโดยพร้อมเพรียงกันทีละคน

หวังหลินรู้สึกด้วยสัมผัสวิญญาณว่าผู้คนสี่สิบกว่าคนทั้งหมดนี้ได้ผลลัพธ์อันน่าทึ่งขณะที่ฝึกฝนที่นี่เป็นเวลาสี่ปี

หวังจัวบรรลุจุดสูงสุดระดับห้าเรียบร้อยแล้วและยังพร้อมที่จะข้ามไปที่ระดับหกอีกด้วย ศิษย์คนอื่นๆอีกหลายคนก็มีสถานการณ์เช่นเดียวกัน การบ่มเพาะของทุกคนก้าวหน้าอย่างมาก

แม่นางเสี่ยวอยู่ที่ระดับสามและศิษย์พี่จางได้เข้าสู่ระดับหกเรียบร้อย!

เขารู้สึกได้ว่าการบ่มเพาะของเขาแตกต่างจากคนอื่นๆ ตอนที่เขาได้ใช้สัมผัสวิญญาณตรวจสอบทุกคน ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็น

แม่นางโจวที่ได้พูดขึ้นว่านางเข้าสู่ระดับสามเมื่อสองปีก่อน แต่ภายใต้การตรวจสอบของหวังหลิน เขาสังเกตได้ว่านางยังคงอยู่ระดับสามขั้นรวบรวมลมปราณเหมือนเดิม ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย

หวังหลินได้แต่เดา ดูเหมือนว่าระดับสามของคนอื่นๆไม่ได้เหมือนกับเขาที่ไม่มีขีดจำกัด

…………………………………………