ตอนที่ 41 ตะขาบ
เหล่าศิษย์ของสำนักซวนต้าวทั้งหมดถูกประเมินจากศิษย์สำนักเหิงยั่ว โดยเฉพาะคนที่อยู่ระดับหกหรือสูงขึ้นไป หวังจัวซึ่งระดับระดับห้าสูงสุดยังทำให้ศิษย์ซวนต้าวเก็บไปคิด
ส่วนหวังหลินเพียงแค่ระดับสาม ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจเขานักเว้นแต่หลิวเหมยที่ให้ความสนใจเขาเล็กน้อย
ส่วนสองผู้อาวุโสที่คุยกันต่างแอบชำเลืองมองเหล่าศิษย์กันและกัน ผู้อาวุโสสามคนสำนักซวนต้าวที่มาด้วยกันเริ่มมีความสุขมากขึ้นเมื่อเห็นศิษย์ของเหิงยั่ว พวกเขาคิดว่าศิษย์ของเหิงยั่วมิอาจเอาชนะฝ่ายตนได้แน่ๆ
ตั้งแต่ที่ขัดแย้งกันอย่างลับกับสำนักเหิงยั่วมานานหลายปี พวกเขารู้กันว่าแต่ละฝ่ายต่างมีไหวพริบมากเล่ห์ด้วยกันทั้งนั้น แม้จะคิดว่ามีเหล่าศิษย์ระดับหกอยู่จำนวนนึง แต่พวกคนหน้าใหม่ไม่ได้อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
คนพวกนี้จำเป็นต้องมุ่งความสนใจไประหว่างการประลอง
จ้าวสำนักฮวงหลงตรวจสอบศิษย์ของซวนต้าว จ้องตาไปศิษย์บุรุษและสตรีที่มีรากวิญญาณวารีพลางลอบถอนหายใจ ห้าร้อยปีที่ผ่านมาเหิงยั่วตกต่ำจนไม่มีผู้สืบทอดแล้วจริงๆ แม้กระทั่งสำนักซวนต้าวซึ่งที่ไม่เป็นที่รู้จักในห้าร้อยปีก่อนจนไม่สามารถเอาชนะเหิงยั่วได้ แต่เพราะมีศิษย์รากวิญญาณขึ้นตั้งสองคนทำให้เขากังวลมาก
‘หรือเราจำเป็นต้องให้ศิษย์ชุดม่วงออกมาจริงๆ? พวกเขากำลังฝึกฝนกันอยู่…’
ทันใดนั้นสายตาของฮวงหลงหันไปทางศิษย์ด้านหลังและเริ่มตัดสินใจ
‘ตั้งแต่ที่ส่งศิษย์พวกนี้ออกไป ถึงเวลาที่ศิษย์หลักของเราจะออกมาได้เสียที’
คิดได้เช่นนี้เขาก็หัวเราะออกมา “สหายโอวหยาง พวกศิษย์ต้องเหนื่อยจากการเดินทางแน่ๆ ไปพักผ่อนก่อน เหล่าคนแก่ควรมีช่วงเวลาดีดี เข้ามาในโถงหลักกันเถอะ” เขาโบกมือเชิญชวนไปในห้องโถงหลักด้วยรอยยิ้ม
สามผู้อาวุโสของซวนต้าวพยักหน้าและติดตามเข้าไป
ผู้อาวุโสของสำนักเหิงยั่วติดตามไปด้านหลัง ผู้อาวุโสซิ่วอยู่รั้งท้าย เขาหันกลับไปหาเหล่าศิษย์และพูดขึ้น “หวังจัว เจ้าจะเป็นคนดูแลเหล่าศิษย์ของซวนต้าว ถ้าเกิดมีปัญหาอะไรขึ้นมา อาจารย์จะไม่ยกโทษให้!”
หวังจัวดูเหมือนเตรียมตัวมาก่อนแล้วจึงเอ่ยอย่างเคารพ “ท่านอาจารย์ไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลเหล่าศิษย์ของซวนต้าวทั้งศิษย์พี่ชายและพี่หญิงอย่างดีทีเดียว” ผู้อาวุโสซิ่วยิ้มไปที่เหล่าศิษย์ของซวนต้าว “ศิษย์ซวนต้าว ถ้าพวกเจ้าต้องการอะไรเพิ่ม สามารถเรียกใช้หวังจัวได้ ข้าแก่มากแล้วเช่นนั้นไม่อาจตามคนหนุ่มได้ทันหรอก เจ้าทั้งหลายควรจะรู้จักกันไว้ให้มาก อนาคตโลกแห่งเซียนจะเป็นของพวกเจ้าทั้งหมด” หลังจากพูดจบก็เดินเข้าไปในโถงหลักด้วยรอยยิ้มบางๆ
ขณะที่เหล่าผู้อาวุโสจากไป เหล่าศิษย์ผ่อนคลายมากขึ้นทันที ศิษย์สตรีของเหิงยั่วบางคนได้เข้าไปหาบุรุษที่มีรากวิญญาณวารีและเริ่มพูดคุยด้วย สายตาพวกนางเต็มไปด้วยความชื่นชม
พวกเขาต่างพูดคุยกันเกี่ยวกับประสบการณ์ต่างๆนาๆ
ศิษย์คนอื่นเริ่มพูดคุยกัน บางคนหันไปดูตะขาบที่อยู่นิ่งอย่างประหลาดใจ
หวังหลินเห็นเป็นแบบนี้จึงไม่ได้อยากจะเข้าร่วมด้วย เขาเดินออกไปด้านข้างและนั่งลงบนขั้นบันได มองไปบนท้องฟ้าสีน้ำทะเลและก้อนเมฆสีขาว ขณะเดียวกันก็อาบแสงอาทิตย์ไปด้วยทำให้รู้สึกสบาย
ศิษย์คนอื่นอีกหลายคนเป็นเหมือนหวังหลินที่ไม่ได้เข้าร่วมฝูงชน แม่นางโจว เห็นหวังหลินและก้าวเดินเข้าไปหา
“ศิษย์น้องหวัง ข้ายินดีด้วยที่เจ้าบรรลุถึงระดับสามแล้ว มีศิษย์สายในไม่มากนักฝึกหนักได้แบบเจ้า” แม่นางโจวพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม นางนั่งลงบนขั้นบันไดโดยไม่ห่วงว่าจะสกปรกหรือไม่
หวังหลินหัวเราะ ส่ายหัวและพูดขึ้น “ไม่เหมือนที่ท่านกล่าวทั้งหมดหรอก ข้าเห็นว่าคนส่วนใหญ่ต่างพยายามฝึกฝนได้ดีเหมือนกัน”
แม่นางโจวมองไปบนก้อนเมฆ นางถอนหายใจและกล่าวขึ้น “ศิษย์น้องหวัง อย่าถ่อมตัวไปเลย ระยะเวลาที่ฝึกฝนสี่ปีอันเข้มงวด ศิษย์สายในส่วนใหญ่ทั้งหมดต่างออกมาข้างนอกบ่อยมาก แต่นานๆครั้งข้าถึงจะเห็นเจ้า การบ่มเพาะช่างเป็นเรื่องน่าเบื่อ ศิษย์น้องหวัง ข้าชื่นชมเจ้าจริงๆ การไปให้ถึงระดับสามภายในสี่ปีต่างก็ใช้ความขยันหมั่นเพียรเป็นอย่างมาก!”
หวังหลินลูบจมูกและยิ้มขึ้น “ศิษย์พี่หญิงโจว ท่านก็ยังไม่ถึงระดับสามเช่นนั้นหรือ?”
แม่นางโจวถอนหายใจและพูดอย่างเศร้าใจ “ข้าถึงระดับสามเมื่อสามปีก่อนแต่ตอนนี้ศิษย์ทุกคนที่เคยอ่อนแอกว่าข้ากลับก้าวข้ามข้าไปแล้ว อาจเป็นเพราะว่าข้าไม่อาจตัดสัมพันธ์ทางโลกได้เช่นนั้น”
หวังหลินครุ่นคิดชั่วขณะ “หนทางคือการไม่ปราณี ถ้าศิษย์พี่โจวต้องการจะก้าวหน้าท่านต้องเข้าใจความหมายของสำนวนนี้”
แม่นางโจวมองไปที่หวังหลินด้วยดวงตาคู่สวย เผยรอยยิ้มอันสวยงาม “ศิษย์น้องหวัง ข้าเห็นเจ้าเข้าถึงจุดสงสุดระดับสามแล้วและสามารถบรรลุระดับใหม่เวลาไหนก็ได้ ข้าคิดว่าในไม่ช้าเจ้าก็จะข้ามผ่านข้าเช่นกัน”
หวังหลินจ้องไปยังคนที่งดงามและน่าทึ่งคนนี้ เขายิ้มขึ้นและพูดต่อ “ข้าไม่ต้องการข้ามผ่านในเร็วๆนี้ สัมพันธ์ทางโลกไม่ใช่สิ่งที่ข้าสามารถตัดออกได้ง่ายๆ”
แม่นางโจวตกตะลึง นางลังเลและถามขึ้น “ศิษย์น้องหวัง ข้าอาจจะถามเกินเลยไปบ้างแต่พอจะบอกได้หรือไม่ว่าสัมพันธ์ทางโลกเช่นไรที่เจ้าไม่อาจตัดขาดได้?”
หวังหลินส่ายหัวและไม่ได้ตอบออกไป จิตใจเขาเต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับครอบครัวตัวเอง
แม่จางโจวเห็นว่าหวังหลินฝืนใจที่จะตอบ นางถอนหายใจพลางตอบ “ข้าไม่อาจตัดความสัมพันธ์กับครอบครัวได้ การฝึกเซียนช่างไร้ปราณี บางทีข้าอาจไม่เหมาะสม”
หวังหลินต้องการจะพูดแต่ทันใดนั้นเขาหันศีรษะไปเจอหวังจัวที่จ้องมาทางเขากับแม่นางโจวด้วยสายตาชั่วร้าย
ขณะนั้นเขาได้ยินหวังจัวพูดขึ้น “ท่านพี่ชายและพี่หญิงของซวนต้าว ท่านพูดว่าตะขาบตัวนี้ชอบกินสัตว์ตัวเป็นๆ มาให้สำนักเหิงยั่วดูแลมันระหว่างที่พวกท่านพักที่นี่เถอะ ข้ามีศิษย์น้องอยู่คนหนึ่ง การบ่มเพาะสำหรับเขาเป็นเรื่องเสียเวลา ดังนั้นข้าจะให้เขาออกไปจับสัตว์มาเป็นอาหารตะขาบตัวนี้ให้เยอะๆนั่นเหมาะกับงานของเขาดี”
บุรุษที่มีรากวิญญาณวารีลังเล “ศิษย์น้องหวังจัว นี่มันไม่เหมาะสมไปหน่อย โดยธรรมชาติแล้วตะขาบเป็นสัตว์ป่า ถ้ามีคนแปลกหน้าไปให้อาหารมัน คนนั้นอาจจะได้รับอันตรายได้”
หวังจัวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องหรอกพี่ลิ่ว ผู้ซึกเซียนจะกลัวเพราะว่าจะได้รับอันตรายได้เช่นไรกัน? ท่านเป็นแขกของเรา งานพวกนี้ก็ควรจะเป็นของสำนักเหิงยั่วเอง”
……………………………………...