ตอนที่ 67 ตัดสินใจ
หญิงชราชื่อหวังพยักหน้า “หวังหลิน ถ้าหากเจ้ามีคำถามจะถามพวกเราเวลาไหนก็ได้”
หวังหลินครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้น “ศิษย์มีคำขอเรื่องหนึ่งที่หวังว่าท่านบรรพชนจะตกลง”
นางคิ้วขมวด “เรื่องอันใด?”
หวังหลินเงยศีรษะขึ้นและพูดออกมา “ศิษย์ต้องการออกไปข้างนอกหนึ่งครั้ง”
หญิงชราปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “เจ้าต้องเพ่งสมาธิไปกับขั้นพื้นฐานลมปราณเป็นอันดับแรก เจ้าจะออกไปไม่ได้”
หวังหลินเลิกคิ้ว “ศิษย์ต้องออกไปข้างนอกเพื่อทำอะไรบางอย่าง เมื่อศิษย์เสร็จสิ้นถึงจะมุ่งไปที่การฝึกตนได้”
นางจ้องหวังหลินเขม็งและต้องการจะพูดต่อ แต่หลิวเหวินจวี่ดึงไว้และพูดอย่างอบอุ่น “บรรพชนหวังกังวลเรื่องความปลอดภัยของเจ้า เจ้าบอกข้าได้ไหมว่าจะออกไปทำอะไรข้างนอก?”
หวังหลินตอบอย่างซื่อสัตย์ “ศิษย์ไม่เห็นใบหน้าครอบครัวมาหลายปีแล้ว และการปิดประตูฝึกฝนครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งที่ยาวนานที่สุด ดังนั้นข้าอยากจะกลับบ้านและเห็นหน้าครอบครัวก่อน”
หลิวเหวินจวี่ครุ่นคิดเล็กน้อย เขาและหญิงชรามองหน้ากันจากนั้นก็ยื่นเศษหยกให้ “ก็ได้ เจ้าออกไปและกลับมาเร็วๆหล่ะ เศษหยกนี้สามารถรับการโจมตีจากขั้นแกนลมปราณได้หนึ่งครั้ง จงใช้มันเมื่อชีวิตเจ้าตกอยู่ในอันตราย”
หวังหลินตกตะลึง เขารับมันมาอย่างรวดเร็วและเก็บไว้ในกระเป๋า จำนวนสมบัติที่เขามีบอกได้เลยว่าน้อยมาก มีเพียงแค่ยันต์เซียนจากจางฮู่และเศษหยกนี้เท่านั้น
“นี่คือวิชาเซียนที่เอาไว้เปิดค่ายกลที่นี่ จดจำไว้ให้ดี” หลิวเหวินจวี่หยิบเศษหยกอีกชิ้นนึงขึ้นมาให้ จากนั้นเดินเข้าไปอีกห้องนึงเพื่อปิดด่านฝึกตนกับหญิงชรา
หลังจากบอกลาทุกคนแล้ว หวังหลินใช้วิชาเซียนเพื่อเปิดค่ายกล เขาสูดลมหายใจลึกและกระโดดออกจากถ้ำไป
หลังจากออกจากถ้ำมา หวังหลินไม่ได้หยุดร่างแต่กลับกระโดดไปบนอากาศ กระตุ้นวิชาเซียนแรงโน้มถ่วงรอบร่างกายและเหาะขึ้นไปข้างบน
ซือถูหนานพูดกับหวังหลิน “ในที่สุดเจ้าก็ออกมา เจ้าวางแผนจะกลับไปไหม?”
หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยหวังหลินพูดขึ้น “ข้าจะไม่กลับไปในเร็วๆนี้หรอก หลังจากเสร็จเรื่องที่บ้าน ข้ามีแผนของตัวเองแล้ว”
ซือถูหนานพูด “ถ้าข้าเดาถูก เจ้าต้องไปเติมธาตุไม้ให้กับลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าให้เพียงพอ มันจะเพิ่มความสามารถขยายเวลาขึ้นไปอีก ตอนนี้มันขยายเวลาได้สิบเท่า แต่เมื่อเติมธาตุไม้เข้าไป มันอาจจะเป็นร้อยเท่า เมื่อนั้นความเร็วระดับการฝึกฝนของเจ้าจะเพิ่มขึ้นมหาศาล”
เมื่อทั้งสองพูดคุยกัน หวังหลินเหาะเหินกลายเป็นทางสีแดงด้านหลังอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน เขาก็เข้าถึงระยะภูเขาเหิงยั่วทางทิศใต้ หวังหลินกลัววิชาแรงโน้มถ่วงจะถูกค้นพบจึงลดความเร็วลงเล็กน้อย ในวันที่สองก็มาถึงหมู่บ้านขนาดเล็ก ทั้งหมู่บ้านดูเหมือนเดิมจากที่เขาเห็นครั้งก่อน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมายนักนอกจากบ้านของเขาเอง มันเปลี่ยนจากบ้านหนึ่งหลังกลายเป็นบ้านสามหลังประทับคำว่า ‘โชคชะตา’ บนประตูหลัก แทบจะไม่มีแสง เสียงสุนัขและไก่ขันดังออกมา
ในตอนเช้ามีควันลอยฟุ้งออกมาจากหมู่บ้านเนื่องจากมีคนทำอาหาร
หวังหลินยืนอยู่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน มองไปยังบ้านตัวเอง ห้าปีผ่านมาราวกับกระพริบตา แต่เขายังจำความรู้สึกถึงความหวังของครอบครัวได้แจ่มชัด
เขาลังเลเล็กน้อยแต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน หวังหลินเดินวนรอบหมู่บ้านจากนั้นก็พบสถานที่ให้นั่งลงและบ่มเพาะกับต้นไม้เพื่อซ่อนร่างกาย
หวังหลินไม่แน่ใจว่าคนของสำนักซวนต้าวอาจจะเข้ามาสังหารครอบครัวเขาเพื่อแก้แค้นหรือไม่ ดังนั้นก่อนที่เขาจะตัดสินใจเรื่องนี้ได้ จึงไม่ต้องการกลับบ้านและกังวลเรื่องครอบครัว
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและพอกระพริบตาครั้งนึง หวังหลินก็อาศัยนอกหมู่บ้านมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว
ในเดือนนี้หวังหลินได้ใช้สัมผัสวิญญาณกระจายออกไปทุกครั้ง วันหนึ่งมีแสงเย็นเยียบฉายผ่านแววตาหวังหลิน เขาพูดขึ้น “พวกเขามากันแล้ว”
แสงกระบี่สองเล่มเหินเข้ามาที่หมู่บ้าน หลังจากถึงพื้นจึงเผยร่างพวกเขาชัดเจน คนหนึ่งสวมชุดคลุมสีดำปกคลุมทั้งร่างทำให้ไม่สามารถเห็นได้ว่าเขาเป็นใคร แต่คนผู้นี้กลับปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่าสะอิดสะเอียนออกมา
เสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดแค้นดังออกมาจากชุดคลุมสีดำ “จางขวง ครอบครัวหวังหลินอาศัยอยู่ที่นี่รึ?”
ด้านข้างเขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างหล่อเหลา สายตาดุดันและสมกับชายชาตรีแต่แววตาดูไม่สดใส พวกเขาเต็มไปด้วยความโลภเล็กน้อยก่อนจะกระซิบขึ้น “ศิษย์พี่ หวังจัวคนนั้นเป็นคนที่ต่ำทรามจริงๆ เขาอยากกลั่นแกล้งหวังหลินมากขนาดไหนกัน ข้ายังไม่ได้ถามอะไรสักคำแต่บอกข้าว่าครอบครัวหวังหลินอยู่ที่นี่ ต้องขอบคุณที่ข้าฉลาดและตรวจสอบการลงทะเบียนศิษย์ของเหิงยั่วจึงพบว่าเขาอยู่ที่หมู่บ้านนี้แต่ข้าไม่รู้ว่าบ้านหลังไหน”
หลังจากเขาพูดเช่นนั้นจึงคิดขึ้น ‘หวังหลิน เรามาจากสำนักเดียวกันมาก่อนดังนั้นข้ายังกังวลเรื่องเจ้า แต่ตอนนี้ข้าเป็นศิษย์ของสำนักซวนต้าว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้าต้องขโมยสมบัติที่เจ้ามี’
ผู้คนที่คลุมร่างด้วยชุดคลุมดำเป็นหัวหน้าศิษย์ของสำนักซวนต้าว โจวเผิง เกลียดหวังหลินถึงขีดสุด เขาอยากจะกินเนื้อหวังหลินและดื่มเลือดมันเพราะชื่อเสียงทั้งหมดของเขาถูกหวังหลินทำลายพินาศย่อยยับ ตอนนี้ร่างกายคลุมด้วยฝุ่นละอองสีดำที่ชำระล้างไม่ออก ดังนั้นจึงต้องปกคลุมด้วยผ้าคลุมดำไม่ให้ใครเห็นเขา
ฝุ่นละอองสีดำนี้อย่างน้อยก็ซ่อนร่างไว้ในเสื้อผ้าได้แต่กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาจากฝุ่นยังคงมีอยู่ แม้แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกอยากจะอ้วก
เขาปล่อยกลิ่นอายอันหนาวเหน็บและพูดขึ้น “จางขวง เจ้าพูดว่าหวังหลินคนนั้นเป็นขยะมาก่อนและกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญได้รวดเร็วเพราะว่าของเหลวพวกนั้น?”
จางขวงอดทนกับกลิ่นเหม็นเพราะว่าโจวเผิงอยู่ใกล้กับเขาที่สุด ท้องไส้ปั่นป่วนและทำให้เขารู้สึกเหมือนอยากจะอ้วกออกมา แต่เขาไม่ได้กล้าหาญจนแสดงออกมาให้กับโจวเผิงเห็นจึงรีบตอบกลับไปทันที “ศิษย์พี่ ทำไมข้าถึงจะกล้าโกหกท่านกัน? ข้าแสดงของเหลวให้ท่านแล้ว ของเหลวนี้หวังหลินแลกเปลี่ยนกับข้าเพื่อบทร่ายขั้นรวบรวมลมปราณ ข้าสาบานว่าถ้าหากว่าข้าโกหกท่าน ขอให้ข้าไม่ถึงระดับพื้นฐานลมปราณไปตลอดชีวิต”
โจวเผิงปลดผ้าคลุมศีรษะออก เปิดเผยใบหน้าสีดำที่คลุมไปด้วยฝุ่นละออง แววตาโหดเหี้ยมฉายวาบและพูดขึ้น “ดีมาก จางขวงถ้าหากสิ่งที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริง ในอนาคตเมื่อมีข้าอยู่รอบๆ จะไม่มีใครกล้าสร้างความรำคาญกับเจ้าในสำนักซวนต้าวแน่”
ใบหน้าจางขวงเผยแววตาตื่นเต้น แต่เขาก็กดศีรษะให้ต่ำลงพลันคิดขึ้น ‘ฮึ่ม ข้าจางขวงไม่ใช่ใครที่ต้องมาตามเงาคนอื่น เมื่อข้ามีที่ตำแหน่งในซวนต้าว ข้าจะบรรลุระดับพื้นฐานลมปราณในไม่กี่สิบปี’
โจวเผิงเผยแววตาเยาะเย้ยเมื่อเห็นจางขวงก้มต่ำ จากนั้นโจวเผิงก็ถามขึ้น “เจ้าได้บอกใครอีกไหมเรื่องของเหลวนี่?”
………………………………..