ตอนที่ 73 เมืองเทียนฉุย
หวังหลินสูดหายใจลึก ในสี่ปีนี้ เขาได้บรรลุขั้นรวบรวมลมปราณระดับสูงสุดภายในสองปีแรกและใช้ปีที่เหลือพี่พยายามไปให้ถึงขั้นพื้นฐานลมปราณแต่ไม่สำเร็จ
เพราะว่าเขาพยายามทะลวงผ่านเพื่อให้ถึงขั้นพื้นฐานลมปราณ ช่องว่างระหว่างร่างจริงและระดับฝึกตนจึงน้อยลงมากขึ้น จากที่ดูเหมือนระดับสาม ตอนนี้ดูเหมือนระดับแปดแล้ว
หวังหลินพึมพำ “ขั้นพื้นฐานลมปราณ...” สายตาเป็นประกายตัดสินใจ พลันตบกระเป๋านำกระบี่เหินที่ดูโอ่อ่าสมสง่าออกมา มันหมุนวนรอบตัวเขาหนึ่งรอบก่อนจะหยุดด้านหน้าหวังหลิน
หวังหลินก้าวไปบนกระบี่เหิน เคลื่อนร่างหายไปในลำแสง
ในที่สุดเหล่าสัตว์ป่าทั้งหมดที่นอนบนพื้นก็ผ่อนคลายและกระจายตัวอย่างรวดเร็ว
หวังหลินเหาะไปรอบภูเขาเหิงยั่วและบินหนีอย่างรวดเร็ว ภูเขา ทุ่งหญ้า ป่าไม้ และหมู่บ้านดูเล็กลงถนัดตา
พริบตาเดียว หมู่บ้านที่เขาเกิดก็อยู่ในระยะสายตา หวังหลินครุ่นคิดชั่วครู่จากนั้นก็ผ่านหมู่บ้านไปโดยไม่หันหน้ากลับมามอง
ภูเขาเหิงยั่วตั้งอยู่ชายแดนของแคว้นจ้าว มันห่างไกลมาก ผู้คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่แต่ในหมู่บ้านเล็กๆ เป้าหมายของหวังหลินเป็นเมืองที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่นับหมื่นลี้ เมืองนั้นเรียกกันว่า เทียนฉุย( 天水 Tiānshuǐ) เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเขตเหนือของแคว้นจ้าว
หวังหลินเคยได้ยินแค่ชื่อเมืองเทียนฉุย อาจารย์เขาเคยบอกว่ามีกองทัพนับแสนนายประจำการอยู่ที่นี่ ตอนเป็นเด็กหวังหลินมักจะต้องการไปให้เห็นกับตาอยู่เสมอ ก่อนที่จะได้เข้าสู่โลกแห่งผู้ฝึกเซียน ความฝันอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือสร้างชื่อให้ตัวเองในหัวเมืองใหญ่ จากนั้นก็ก้าวขึ้นผู้สำเร็จราชการในเมืองหลวงและย้ายครอบครัวเขาไปอยู่ที่นั่นจะดีที่สุด
ความปรารถณาในวัยเด็กก้องกังวาลอยู่ในใจ เขายิ้มออกมาและบินตรงไปทางเมือง
สิบวันต่อมา หวังหลินลอยอยู่ในอากาศด้วยท่าทีสับสน ส่วนซือถูหนานหัวเราะกลบเกลื่อน
“ข้าเห็นว่าเจ้าเหาะข้ามวันข้ามคืนมาหลายวัน ข้าคิดว่าเจ้าจะรู้เส้นทางซะอีก แต่เจ้ากลับไม่รู้ซะนี่!”
หวังหลินพยักหน้า “ถ้าไม่ใช่ว่าท่านกำลังขอให้ข้าไปในป่าพวกนี้ ตอนนี้ข้าก็คงเจอเมืองแน่ๆ”
ซือถูหนานหัวเราะ “มีป่าหลายแห่งระหว่างทาง เป็นโอกาสที่จะดูดซับธาตุไม้ให้กับหินลูกปัดได้ ข้าทำเรื่องพวกนี้เพื่อประโยชน์ของเจ้าทั้งนั้น”
หวังหลินต้องการจะพูดแต่ทันใดนั้นเขาก็หยุดลงเห็นรถเกวียนเป็นขบวนบนถนนด้านล่าง
หลิวซาน(柳三 Liǔ sān) หัวหน้าคณะคุ้มกันในเมืองเทียนฉุย แม้ว่าร่างกายจะไม่ใหญ่โตแต่เขาก็แข็งแกร่งมากนัก เขาเชี่ยวชาญฝ่ามือแยกภูเขาและได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญในเมืองเทียนฉุย ซึ่งปกติคงไม่ออกมาทำงานนี้
แต่ครั้งนี้การส่งสินค้าเป็นเรื่องสำคัญยิ่งนักและดึงดูดความสนใจมากเกินไป นั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตระกูลเหนือถึงขอให้เขาเข้าร่วม
หลิวซานเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ดีและรักการผูกมิตรกับคนอื่น ทุกคนในคณะคุ้มกันต่างไว้หน้าเขาทั้งนั้น ตอนนี้เขาจึงได้ขี่ม้าอย่างภาคภูมิใจ การส่งสินค้านี้ได้นำส่งเรียบร้อยแล้วและแม้จะมีพวกโจรมากมายบนเส้นทาง พวกมันต่างก็กลัวและไม่มีอันตรายใดใด วิกฤติที่อันตรายที่สุดก็คือตอนที่เจอการโจมตีจากโจรไม้เขียว แต่เมื่อพวกมันเห็นหลิวซานอยู่ที่นี่ พวกมันต่างไว้หน้าเขาและไม่โจมตีขึ้นมา นี่ทำให้เขารู้สึกภูมิใจมาก
เขาหลับตาลงและผ่อนคลายเล็กน้อย เมืองเทียนฉุยแค่ผ่านภูเขาข้างหน้า ดังนั้นงานจากตระกูลเหนือคราวนี้ก็ถือได้ว่าเสร็จสิ้นแล้ว
บนม้าด้านขวาหลิวซานเป็นชายหนุ่มร่างกายกำยำคนหนึ่ง เขาหัวเราะและถามขึ้น “หัวหน้า เมื่อเราจบการขนส่งครั้งใหญ่คราวนี้ ท่านคิดว่าเราจะได้กำไรเท่าไหร่จากตระกูลเหนือ”
ชายใบหน้าคล้ำคนหนึ่งพูดขึ้นด้วย “หัวหน้า การขนส่งครั้งนี้สำคัญมากดังนั้นเราก็ควรจะได้กำไรที่เหมาะสม ถูกไหม?”
หลิวซานจ้องไปที่พวกเขาและพูดออกมา “ตระกูลเหนือเคยโกงพวกเราเมื่อไหร่กัน? รอดูต่อไปเถอะ อย่าไปกังวล”
ชายหนุ่มไม่ได้เกรงกลัว เขาตบม้าของเขาและพูดขึ้น “ก็ได้ เมื่อหัวหน้าพูดเช่นนั้น ข้าก็โล่งใจ”
ชายใบหน้าคล้ำพูดออกมา ก่อนที่เขากำลังจะพูด ใบหน้าได้ลดต่ำลงและถามขึ้น “หัวหน้า ท่านเห็นคนยืนตรงนั้นไหม?”
หลิวซานเพ่งมองและเห็นร่างหนึ่งยืนขวางถนนอยู่ ใบหน้าเขาลดต่ำลงด้วยเช่นกันและพูดขึ้น “หยางเสิน(楊森 Yángsēn) ไปถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าเขาต้องการความช่วยเหลือก็ให้เงินเขาไป นอกจากนี้ทุกคนก็ลำบากมากแล้ว”
หยางเสินเงยศีรษะขึ้น นำม้าพุ่งเข้าหาคนคนนั้น เมื่อเข้ามาใกล้แทนที่จะชะลอความเร็ว เขากลับเริ่มเร็วขึ้น
เมื่อหลิวซานเห็นเช่นนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว แม้ว่าหยางเสินจะทำงานตัวเองได้ดี แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาทำอะไรบางอย่าง เขามักจะใช้กำลังกับคนที่ตำแหน่งต่ำกว่า
ชายใบหน้าคล้ำหัวเราะออกมา “หยางเสินนั้นไม่กลัวการปะทะอยู่แล้วแต่เด็กคนนั้นมีทักษะขี่ม้าที่ดีเยี่ยมทีเดียว”
คนที่ยืนขวางถนนอยู่คือหวังหลิน เขาเห็นใครสักคนพุ่งออกมาจากขบวนคาราวานและบึ่งมาถึงเขาอย่างรวดเร็ว
หยางเสินเข้ามาใกล้พอที่จะเห็นว่าคนแปลกหน้าคนนี้หน้าตาเป็นเช่นไร แม้ว่าเขาจะเยาว์วัยไปหน่อยแต่เขาก็ยังคงสงบใจได้ หยางเสินชื่นชมชายหนุ่มคนนี้ที่ไม่เกรงกลัวความเร็วของเขา เขาหันม้าตัวเองออกไปและให้มันกินหญ้าข้างหวังหลิน
หลังจากเขาผ่านหวังหลินไป จึงก้าวถอยออกมาประสานมือคารวะและพูดขึ้น “ข้าคือหยางเสินจากกองกำลังคุ้มกันของเมืองเทียนฉุย ไม่ทราบว่าสหายมีอะไรให้ช่วยไหม?”
สายตาหวังหลินตรวจสอบหยางเสิน เขาประสานมือคารวะเช่นกัน “ข้ากำลังหาทางไปเมืองเทียนฉุย ข้าขออภัยที่รบกวนท่าน”
หยางเสินตกตะลึง เขามองหวังหลินอยู่สองสามครั้งโดยเฉพาะมือและศีรษะ จากนั้นยิ้มขึ้นพูด “ไม่มีปัญหา เมืองเทียนฉุยอยู่ไม่ไกล ไม่ทราบว่าพี่ชายจะไปเมืองเทียนฉุยทำไม พอจะบอกข้าได้ไหม?”
หยางเสินมองที่หวังหลินอีกเล็กน้อย ตอนนี้กองคาราวานได้ไล่ตามเข้ามาและเสียงหนึ่งตะโกนขึ้น “หยางเสิน เกิดอะไรขึ้น?”
หยางเสินหันม้ากลับไปและตะโกนกลับ “เป็นแค่เด็กที่ไม่รู้วิชาการต่อสู้ กำลังมองหาทางไปเมืองเทียนฉุยน่ะ”
หลิวซานถือบังเหียนและเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว สายตาเบิกกว้างมองไปที่หวังหลินและพูดขึ้น “สหาย เจ้ามีนามว่าอะไร?”
หวังหลินประสานมือคารวะ “สวัสดีท่านหัวหน้าคุ้มกัน นามของข้าชื่อหวังหลิน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ออกจากบ้าน ข้าหวังว่าท่านหัวหน้าคุ้มกันพอจะบอกทางไปเมืองเทียนฉุยได้หรือไม่”
……………………………...