ตอนที่ 72 ชิงพื้นฐาน
ชายวัยกลางคนมองรอบๆเล็กน้อยจากนั้นพึมพำขึ้น “ที่แห่งนี้แปลกประหลาดมากเกินไป สองปีก่อนจู่ๆก็มีพลังปราณระเบิดออกมาดึงความสนใจของสัตว์ป่าพวกนี้ ตั้งแต่นั้นมาคลื่นพลังปราณก็ได้ถูกส่งกระจายออกมารอบๆจึงเป็นเหตุดึงดูดใจพวกสัตว์”
สายตาเด็กหนุ่มเบิกกว้างขึ้นทันที “ท่านพี่ อาจจะมีสมบัติที่นี่หรือ?”
ชายวัยกลางคนหัวเราะก่อนจะพูดขึ้น “เหล่าผู้อาวุโสบางคนก็คิดเช่นนั้น แต่หลังจากตรวจสอบดู พวกเขาก็พบว่ามันเป็นพลังปราณที่ปลดปล่อยมาตามธรรมชาติเท่านั้น”
เด็กหนุ่มถอนหายใจด้วยความผิดหวัง “ช่างโชคร้ายนัก หากมีสมบัติที่นี่จริงๆหล่ะก็”
ชายวัยกลางคนหัวเราะเสียงดัง “นี่ก็เริ่มสายแล้ว ข้าจะจะจับลูกแก้ววิญญาณอสูรที่แข็งแกร่งให้ จากนั้นพวกเราก็กลับกันได้” ชายวัยกลางคนปลดปล่อยสัมผัสวิญญาณออกมาและพบกับอสูรวิญญาณจำนวน 7 ถึง 8 ตัวและเริ่มสังเกตพวกมัน
ขณะเดียวกัน เหล่าสัตว์ทั้งหมดที่บ่มเพาะอยู่ก็เริ่มเคลื่อนไหว ราวกับถูกอะไรบางอย่างรบกวน บางตัวก็เริ่มคำราม
จากนั้นจำนวนสัตว์ที่คำรามก็เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นสัตว์ป่าทั้งหมดเกิด เสียงคำรามพุ่งตรงไปยังหน้าผาที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้
ชายวัยกลางคนตกตะลึง เขาจะเรียกเหล่าศิษย์น้องให้หนีจากบริเวณนี้อย่างรวดเร็ว สัมผัสวิญญาณอันมหึมากวาดผ่านพวกเขาไป ใบหน้าชายวัยกลางคนเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก แม้เขาที่อยู่ระดับสิบสองยังรู้สึกไร้อำนาจเมื่อตกอยู่ภายใต้สัมผัสวิญญาณนี้
แม่นางซิ่วที่อยู่ถัดจากชายวัยกลางคนต่างมีใบหน้าซีดเผือด กระบี่เหินใต้ฝ่าเท้าเกิดแสงสะท้อนและจากนั้นก็ร่วงลงพื้น ทั้งหญิงสาวและเด็กหนุ่มต่างกอดกันแน่นตกลงไป
กระบี่เหินใต้เท้าชายวัยกลางคนสะดุดกึกและเขาใช้พลังทั้งหมดเพื่อประคองการบิน เคลื่อนไหวคราเดียวเข้าจับสองคนที่หล่นได้ทันก่อนกระแทกพื้น
เพียงแค่การทำเรื่องง่ายๆนี้นี้ก็ทำให้เขาเหงื่อเปียกโชก
หลังจากถึงพื้น เขาก็รีบคารวะด้วยสองมือก่อนจะพูดขึ้น “ผู้น้อยเป็นศิษย์สำนักซวนต้าว นามว่าลี่ไห่(歷海 Lì hǎi) ผู้น้อยไม่รู้ว่าผู้อาวุโสฝึกตนอยู่ที่นี่ โปรดยกโทษให้พวกเราด้วย”
แม่นางซิ่วพึ่งสังเกตสัมผัสวิญญาณได้ ซึ่งทำให้นางสูญเสียการควบคุมกระบี่เหินของตัวเอง นางพูดด้วยความเคารพ “ผู้น้อยเป็นศิษย์สำนักซวนต้าว นามว่าฉีเฟย(徐飛 Xú fēi)”
เด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความกลัวจนใบหน้าไร้สีเลือด เขายืนนิ่งจับเสื้อฉีเฟยแน่น ไม่กล้าส่งเสียง
เหล่าสัตว์ป่าทั้งหมดต่างรู้สึกเย็นเฉียบเมื่อสัมผัสวิญญาณกระจายข้ามผ่านพวกมัน ทุกตัวต่างเผยแววตกใจและกลัวเกรง พวกมันนอนบนพื้นไม่กล้าเคลื่อนไหว
“สำนักซวนต้าว….” น้ำเสียงแหบพร่าก้องกังวาลไปรอบๆ ยากที่จะบอกว่าน้ำเสียงนั้นมีความสุขหรือโกรธเกรี้ยว
ชายวัยกลางคนครางออกมา หากเขามีเพียงคนเดียวคงหนีไปแล้วเมื่อพบบางอย่างผิดปกติ แต่ตอนนี้มีศิษย์น้องหญิงและน้องเล็กอยู่ที่นี่ ถ้าหากเขาหนีไป เหล่าอาจารย์คงให้เขารับผิดชอบแน่ๆ นี่เป็นเพียงความหวังเดียว เนื่องจากสำนักซวนต้าวอยู่ใกล้ที่สุดและพวกเขาคงไม่อยากทำอะไรขัดใจผู้อาวุโสท่านนี้แน่
หลังจากผู้อาวุโสพูดประโยคนั้นมา เขาก็เริ่มคิด ลี่ไห่กัดฟันแน่นและตัดสินใจว่าชีวิตตัวเองสำคัญกว่า หากผู้อาวุโสท่านนี้เริ่มปลดปล่อยจิตสังหาร เมื่อนั้นเขาก็จะรักษาชีวิตตัวเองเป็นอันดับแรก
หน้าผากฉีเฟยปกคลุมไปด้วยเม็ดเหงื่อ นางกังวลมากเมื่อเห็นพี่สามที่ปกติมักจะใจเย็นกลับกลายเป็นกลัวสุดขีด นางลังเลชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้น “ผู้อาวุโส ผู้น้อยไม่ได้ทำอะไรรบกวนท่าน ท่าน….”
ก่อนที่นางจะได้พูดจบประโยค น้ำเสียงแหบพร่าดังขึ้นอย่างประหลาดใจและพูดขึ้น “เจ้าพูดว่าเจ้าชื่อฉี?”
หญิงสตรีตกตะลึง นางตอบอย่างสุภาพ “ศิษย์มีชื่อว่า ฉีเฟย”
น้ำเสียงเงียบลงอีกครั้ง หลังจากหายไปนานก็ถอนหายใจออกมา “พวกเจ้าไปได้แล้ว” จังหวะนั้นบนท้องฟ้ามีบางอย่างเปลี่ยนกระทันหัน ราวกับมีมือล่องหนโบกสะบัดในอากาศ ทั้งสามคนถูกผลักไปไกลอย่างรวดเร็ว
ลี่ไห่รู้สึกหวาดกลัวมากขึ้น ขณะนั้นเขารู้สึกราวกับทั้งร่างถูกพันธนาการ หากผู้อาวุโสท่านนี้ต้องการสังหารเขาคงไม่อาจต่อต้านอะไรได้
จากความกลัวนั้น เขารีบจับศิษย์น้องหญิงและน้องเล็กหนีให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เขากลัวว่าผู้อาวุโสท่านนี้จะเปลี่ยนความคิด ดังนั้นจึงใช้พลังของตัวเองเต็มที่หนีไปให้ไกล
หลังจากทั้งสามจากไป หน้าผาที่ปกคลุมด้วยพืชพันธุ์ต่างๆก็สั่นสะเทือนจนพืชพวกนั้นหล่นออกไปเผยให้เห็นเพียงถ้ำมืด
ชายหนุ่มผมยาวประมาณเอวได้เดินออกมาอย่างเชื่องช้า ใบหน้าขาวสะอาด ดวงตาสว่างสดใส ขณะที่เดินออกมาจากถ้ำ เหล่าสัตว์ป่าทั้งหมดเริ่มร้องครางส่งสายตาอ้อนวอนขอความเมตตา
ชายหนุ่มผมยาวอายุราวยี่สิบจดจ้องสัตว์ป่าทั้งหมดด้วยใบหน้าเยือกเย็น เขาเงียบมองไปยังภูเขาเหิงยั่วด้วยความรู้สึกเสียใจ
เขาคือหวังหลินที่ปิดประตูฝึกฝนมาได้สี่ปีแล้ว
สายตาหวังหลินส่องสว่างขึ้น บ่นพึมพำกับตัวเอง “ข้าบรรลุขั้นรวบรวมลมปราณระดับสูงสุดมาเป็นเวลานานแล้ว แต่การบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณนั้นยากเย็นยิ่งนัก ข้าได้ลองพยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่อาจทะลวงผ่านได้ ซือถู วิธีที่ท่านกล่าวถึงว่าสามารถช่วยข้าบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณได้รวดเร็วมีจริงหรือ?”
“ใช่แล้ว เจ้าตัดสินใจจะใช้วิธีของข้าหรือ?” ซือถูหนานยิ้มออกมาด้วยความภูมิใจ “ข้าเคยบอกเจ้ามาก่อนแล้วว่าการบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณมันหนักหนาสาหัสนัก หากเจ้าใช้วิธีข้า มันจะสำเร็จแน่นอน”
แววตาเย็นเยียบของหวังหลินส่องประกาย “แต่ข้าไม่สามารถเอาชนะคนที่อยู่ขั้นพื้นฐานลมปราณได้...แล้วข้าจะจับทั้งๆที่มีชีวิตได้เช่นไร?”
ซือถูหนานหัวเราะออกมา “มั่นใจได้เลยเพราะว่าเจ้ามีข้า การที่จะช่วยเจ้าบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณได้ ข้าก็แค่เสี่ยงเพิ่มขึ้นหน่อยและใช้วิชาเซียนของข้าอีกครั้ง ตราบใดที่เจ้าหาคนมาให้ข้า ข้าก็สามารถช่วยเจ้ารั้งคนนั้นไว้ได้ ทางที่ดีเจ้าแค่หาใครสักคนที่อยู่ขั้นพื้นฐานลมปราณ ข้าจะไม่ทำให้เสียเวลา”
หวังหลินครุ่นคิดชั่วครู่จากนั้นถอนหายใจออกมา เขายิ้มขึ้น “ซือถู การชิงพื้นฐานที่ท่านพูดถึงโหดร้ายยิ่งนัก ใครก็ตามที่ข้าชิงมาจะต้องตายแน่นอน เช่นนั้นขอข้ารอดูก่อน”
ซือถูพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “เจ้า! ข้าบอกเจ้ากี่รอบจนนับไม่ไหวแล้วว่าโลกแห่งผู้ฝึกเซียน คนอ่อนแอเป็นเหยื่อของคนแข็งแกร่ง การฆ่าคนอื่นเพื่อประโยชน์ของตัวเองเป็นเรื่องปกติธรรมดา ด้วยนิสัยเมตตาของเจ้าตอนนี้ อีกนานแค่ไหนเจ้าจะบรรลุขั้นแปลงวิญญาณกัน? ฮึ่ม! หากเจ้าไม่ต้องการใช้วิธีข้า เจ้าก็ควรจะไปหาธาตุไม้ ถ้าเจ้าเติมเต็มลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าด้วยธาตุไม้ มันควรจะยกระดับให้พลังปราณเจ้าเพียงพอต่อการไปถึงขั้นพื้นฐานลมปราณได้ หากเจ้าไม่ทำอย่างใดอย่างหนึ่งและไม่มีเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดช่วยเจ้า ก็อย่าคิดเรื่องการบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณเลย!”
หวังหลินครุ่นคิดชั่วครู่จากนั้นก็พูดขึ้น “ข้าสงสัยว่าคนอื่นบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณกันยังไง?”
ซือถูหนานส่งเสียงฮึดฮัดแสดงความไม่พอใจ “นั่นง่ายมาก ถ้าหากข้าอยู่ที่สำนัก เมื่อนั้นผู้ฝึกเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดก็จะใช้ระดับบ่มเพาะของตัวเองเพื่อช่วยศิษย์ให้บรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณ หากข้ายังมีร่างกาย ข้าก็คงทำแบบเดียวกันเพื่อช่วยเจ้าไปแล้ว ในแคว้นบ้านเกิดของข้า สถานะของผู้ฝึกเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดก็เหมือนกับผู้ฝึกเซียนขั้นแกนลมปราณที่นี่ แม้ว่าจะไม่มีมากนัก ก็ยังมีพอช่วยพวกศิษย์บรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณได้”
………………………………..