บทที่ 95 เข้าสู่สำนัก

ตอนที่ 95 เข้าสู่สำนัก

ขณะที่คำว่า “ผู้อาวุโส” เปล่งออกมา วงแหวนอีกสามวงก็เรืองแสงขึ้น วงแหวนมีทั้งหมด 43 วงทั้งไม่มีเพิ่มมากกว่านี้ ทั้งหมดเปล่งแสงอย่างพร้อมเพรียง

ท่าทีของร่างบนเสาไม้ทั้งแปดคนเปลี่ยนไปอีกครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงจากนั้นเปลี่ยนเป็นความเคารพ พวกเขาออกมาคุกเข่าบนพื้นทั้งสองข้าง จ้องค่ายกลเคลื่อนย้ายอย่างละเอียด พูดได้ว่าเมื่อวงแหวนได้เปล่งแสงจำนวน 40 วง หมายถึงสถานะของคนผู้นั้นในสำนักซากศพสูงอย่างมาก และยิ่งสูงกว่า 40 วงนั่นก็คือบรรพชนขั้นวิญญาณแรกกำเนิด

ด้วยความเข้าใจนี้ทำให้ทั้งแปดคนมีท่าทีนอบน้อมแบบนั้น

ไม่นานนัก ร่างสองร่างปรากฏขึ้นในค่ายกลชัดเจน หนึ่งในนั้นอายุราวๆยี่สิบปี เขาดูหล่อเหลาเอาการ บรรยากาศหนาวเย็น สวมเสื้อผ้าสีดำทำให้เขาดูเด่นชัดยิ่งกว่าเดิม

ด้านหลังที่ติดตามเขาเป็นชายผิวสีฟ้าแปลกประหลาด มีอักขระบนร่างกายนับไม่ถ้วน สายตาคนส่วนใหญ่จับจ้องไปที่เก้ายันต์เซียนที่เกาะติดบนร่างกายเขา

ขณะที่ทั้งสองร่างปรากฏตัว ลมหนาวเย็นก็ปล่อยออกมา

ทันใดนั้นพอหนึ่งในแปดคนปล่อยเสียงตกตะลึง ทุกคนก็ตกใจ

คนผู้นี้คือหวังหลิน ขณะที่เขาปรากฏตัวพลันอ้าปากและปล่อยแสงสีเขียวออกมา กระบี่เหินได้ลอยรอบตัวเป็นวงกลม ปลดปล่อยกลิ่นอายเยือกเย็นชี้ปลายแหลมไปที่คนทั้งแปดบนเสาไม้

พอตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณ หวังหลินจึงผ่อนคลายเล็กน้อย ทั้งแปดคนรอบตัวเขาเพียงแค่ขั้นรวบรวมลมปราณระดับสิบห้า หากเขาต้องการก็สามารถสังหารทั้งหมดนี้ได้เพียงพริบตา

อาไตมองไปรอบๆราวกับเขากำลังอยู่ในอุโมงค์ เขายืนด้านหลังหวังหลินและจ้องไปที่สัญลักษณ์ประหลาดบนเสาไม้ ดูเหมือนกำลังจมอยู่ในความคิด

คนทั้งแปดบนเสาไม้ได้ยืนขึ้น หนึ่งในนั้นมีใบหน้าประหลาดใจขณะถามออกมา “ผู้อาวุโส ท่านคือ?”

หวังหลินเตรียมแผนไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะพูดอะไรระหว่างที่มาถึง ตอนนี้ใจเย็นลงมากแล้ว “ข้าชื่อหวังหลิน โปรดรายงานอาจารย์ลุงเย่จื่อด้วยว่าข้ามีบางอย่างสำคัญยิ่งต้องบอกเขา”

หนุ่มคนนั้นจดจ้อง เขามองไปที่คนอื่นๆจากนั้นพูดขึ้น “ผู้อาวุโส ข้าไม่สามารถช่วยท่านเรื่องนั้นได้ ให้ข้านำท่านไปหาผู้อาวุโสเถอะ”

หวังหลินพยักหน้า เขาเดินออกมาจากค่ายกล ส่วนอาไตก็ตามด้านหลังมาติดๆ

ชายหนุ่มกระโดดลงจากเสาไม้และตามมาด้วยโลงศพด้านหลัง

“ผู้อาวุโส ทางนี้” ชายหนุ่มคนนั้นมุ่งหน้าไปหนึ่งในอุโมงค์ทั้งหลายแถวนี้ หวังหลินติดตามไปโดยไม่ได้พูดอะไร

ระหว่างทาง ชายหนุ่มได้ลอบสังเกตหวังหลิน ยิ่งมองเขาก็ยิ่งมีความเคารพหวังหลินมากขึ้น ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่งในโลกของผู้ฝึกเซียนและยิ่งหวังหลินอยู่ขั้นพื้นฐานลมปราณด้วยแล้ว ผู้เยาว์คนนี้ก็ยิ่งเคารพหวังหลินเป็นธรรมดา

อาไตที่อยู่ด้านหลังหวังหลินได้รับความสนใจจากคนส่วนใหญ่

หวังหลินก็กำลังสังเกตชายหนุ่มนี้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะโลงศพด้านหลัง คลื่นพลังงานเย็นถูกปล่อยออกมาจากโลงศพนั้นซึ่งมีชั้นกำแพงป้องกันการตรวจสอบจากสัมผัสวิญญาณเขา ทว่า ขณะที่หวังหลินอยู่ขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลาง เขาจึงมองทะลุม่านได้ง่ายๆโดยใช้ความพยายามเล็กน้อย

มีศพอยู่ในโลงศพนั้น ร่างกายเหมือนกับไม้แห้งและกำลังหลับอยู่ ขณะที่หวังหลินมองศพ มันก็ได้ตื่นขึ้น แม้ว่าจะมีสายตาขุ่นมัวแต่ก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร

ชายหนุ่มคนนั้นดูเหมือนจะสังเกตอะไรได้และเคาะโลงไป ศพคนนั้นหลับตาลงและชายหนุ่มยิ้มขึ้น “ผู้อาวุโส หุ่นเชิดซากศพตัวนี้ท่านอาจารย์ได้มอบให้กับข้า ท่านอาจารย์ได้มันมาจากสนามรบต่างแดน มันมีความรู้สึกไวต่อสัมผัสวิญญาณและเต็มไปด้วยจิตสังหาร มันทำให้ข้าใช้เวลายาวนานมากกว่าจะชำระล้างได้”

หวังหลินพยักหน้าและพูดขึ้น “หุ่นเชิดของเจ้าอยู่ขั้นพื้นฐานลมปราณระดับแรก ไม่เลวทีเดียว”

เมื่อได้ยินหวังหลินพูดเช่นนั้น เขาลอบตกใจและเคารพหวังหลินมากขึ้น ควรจะพูดได้ว่าโลงศพเขามีความสามารถในการป้องกันสัมผัสวิญญาณ หวังหลินยังไม่สามารถมองออกได้ในทันที เห็นได้ชัดว่าหวังหลินไม่ใช่เซียนขั้นพื้นฐานลมปราณธรรมดา เขาอาจจะอยู่ขั้นปลายแล้ว

คิดได้เช่นนี้ท่าทีก็ยิ่งเคารพเพิ่มขึ้นอีก “ผู้อาวุโส นี่คือหุ่นเชิดของท่านหรือ?”

หวังหลินสีหน้าเยือกเย็นและพยักหน้า

ชายหนุ่มเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขามองอาไตที่อยู่ด้านหลังจนร้องออกมา “ผู้อาวุโส ท่านทำให้หุ่นเชิดมีสติปัญญาขึ้นมาได้เช่นไรกัน? ที่ข้าเคยเห็นมีเพียงหุ่นเชิดที่มีสติปัญญาแบบนี้ก็คือของท่านบรรพชนหลัวซาเท่านั้น”

หวังหลินมองชายหนุ่มแต่ไม่ได้ตอบคำถาม

ชายหนุ่มมองอาไตต่อไป นั่นทำให้อาไตหงุดหงิดจนทนยืนต่อไปไม่ไหวและเริ่มแหกปากใส่ชายหนุ่ม

ชายหนุ่มที่ถูกจ้องเมื่อได้ยินอาไตกำลังพูดนั้นเขาได้ถามขึ้น “ผู้อาวุโส หุ่นเชิดของท่านพัฒนาจนพูดได้เช่นนี้แล้วหรือ?”

หวังหลินขมวดคิ้วเล็กน้อย ‘คนคนนี้พูดมากเสียจริง’

ชายหนุ่มดูเหมือนจะไม่ทราบว่าเขากำลังให้หวังหลินรำคาญ เขาพูดต่อไปแม้หวังหลินจะไม่ตอบคำถามก็ตาม

หลังจากเดินมาไม่ถึงสิบห้านาที ชายหนุ่มก็เปลี่ยนจากคุยเรื่องหุ่นเชิดของหวังหลินเป็นเพื่อนร่วมสำนัก จากนั้นก็เป็นอาจารย์ของตัวเอง บรรพชนและเรื่องอื่นๆ แม้ว่าหวังหลินจะเบื่อหน่าย เขาก็ยังได้เรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับสำนักซากศพ

“สำนักซากศพสาขาแคว้นจ้าวช่างอัศจรรย์มาก ผู้คนจากแคว้นสูงๆระดับสี่และระดับห้ามาที่แคว้นต่ำต้อยระดับหนึ่งและระดับสอง ทั้งหมดมาที่นี่เพื่อเป็นจุดแวะพักและผ่านไปจุดอื่นๆ อย่างเช่นสาขาสำนักซากศพในแคว้นระดับหนึ่งและระดับสองที่มีคุณสมบัติเข้ารับการทดสอบจะมาที่นี่” อุโมงค์ได้กว้างขึ้นเรื่อยๆส่วนชายหนุ่มก็ฝอยต่อไป

หวังหลินแทบจะทนยืนคุยกับชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้จริงๆ ดังนั้นเมื่อเห็นทางออกอุโมงค์จึงเร่งฝีเท้าลอยเข้าหา

ด้านในอุโมงค์มีเสาหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ห้าต้น บนยอดแต่ละเสามีบอลอัคคีสีฟ้าขนาดใหญ่อยู่บนนั้น

ยอดของเสาต้นกลางมีชายชรานั่งข้างบน ผิวกายหยาบกร้าน ใบหน้าสีแดงและเส้นผมพริ้วไหวโดยไร้แรงลม ขณะที่เขากำลังฝึกตนอยู่นั้น เศษควันจากบอลอัคคีได้เข้าสู่ร่างกายเขาและผ่านออกไปลงไปสู่เสาหิน

วงโคจรต่อเนื่องกันจนดูแปลกประหลาดอย่างมาก

ขณะที่หวังหลินลอยเข้ามาในถ้ำ ชายชราก็ลืมตาขึ้น สายตาเปล่งประกายพลางตรวจสอบหวังหลินอย่างละเอียดด้วยใบหน้าเยือกเย็น

หวังหลินตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณและพบว่าชายชราคนนี้อยู่ที่ขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลาง

ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มตามเข้ามาในถ้ำและพูดกับชายชรา “ท่านอาวุโส พี่ชายท่านนี้มาถึงสำนักด้วยค่ายกลเคลื่อนย้าย วงแหวนสี่สิบสามวงส่องสว่างขึ้นตอนที่เขามาถึงและเขาต้องการพบกับบรรพชนเย่”

หลังจากได้ฟังดังนั้นใบหน้าชายชราเปลี่ยนไปทันที เขามองหวังหลินด้วยสายตาแปลกประหลาดและถามขึ้น “สหายเซียน ใครในสำนักซากศพได้เปิดอุโมงค์ให้กับเจ้า”

หวังหลินตอบอย่างใจเย็น “หวูอวี่”

พอได้ยินชื่อนั้น ท่าทีของชายชราก็เปลี่ยนไป เขายืนขึ้นและพูดออกมา “บรรพชนหวูอวี่ที่หายตัวไปหลายร้อยปี ท่าน...ท่านมีความสัมพันธ์อะไรกับเขา?”

หวังหลินพูด “ข้าเป็นศิษย์”

ชายชราสูดลมหายใจอันหนาวเหน็บ สถานะของหวูอวี่สูงมากในสำนักซากศพ หากเรื่องที่หวังหลินพูดเป็นความจริง เขาก็คงไม่สามารถสร้างความลำบากให้กับคนผู้นี้ได้ เช่นนั้นจึงยิ้มขึ้นทันที “ดังนั้นก็แปลว่าศิษย์พี่อาวุโสได้กลับมาแล้ว ศิษย์น้องนามว่ามู่หรง(木冗 mù rǒng) ศิษย์พี่นามว่า?”

หวังหลินยิ้มบางๆและพูดขึ้น “ข้าชื่อหวังหลิน ส่วนที่เรียกว่าศิษย์พี่อาวุโส ข้าไม่สมควรได้รับมัน”

มู่หรงหัวเราะ เขาหันศีรษะมองไปที่ชายหนุ่ม สีหน้าเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นขึ้น “เจ้าออกไปได้แล้ว ข้าจะนำศิษย์พี่อาวุโสหวังไปหาบรรพชนเย่”

ชายหนุ่มตกลงอย่างรวดเร็ว เขาหันกลับไปพึมพำกับตัวเองก่อนจะจากไป

หลังจากนั้นมู่หรงได้ชวนหวังหลินไปบนเสาหินและถามขึ้น “พี่หวังทำไมท่านบรรพชนไม่มาพร้อมกับท่านหล่ะ?”

หวังหลินมองชายชราคนนี้และตอบกลับ “หุ่นเชิดของอาจารย์ข้ามีปัญหาอยู่บ้าง ดังนั้นจึงต้องจัดการนิดหน่อย”

มู่หรงพยักหน้า “หุ่นเชิดของบรรพชนหวูอวี่เกือบจะมีความแข็งแกร่งเท่ากับบรรพชนเย่ ยิ่งหุ่นเชิดแข็งแกร่งมากแค่ไหนก็ยิ่งจัดการยาก ทว่าด้วยความแข็งแกร่งของเขา ไม่น่าจะมีปัญหามากนัก” เขามองหวังหลิน พยายามจะบอกใบ้อะไรบางอย่าง

น่าเสียดายที่สีหน้าหวังหลินไม่เปลี่ยนไปเลย มู่หรงครุ่นคิดเล็กน้อยและพูดขึ้น “พี่หวังรอที่นี่สักครู่ ข้าจะไปติดต่อบรรพชนเย่ให้” เขาหยิบเศษหยกออกมาจากกระเป๋าด้วยใบหน้าเคร่งเครียด จากนั้นโยนออกไป

หยกกระพริบวาบไม่กี่ครั้งจากนั้นก็ลอยไปหาหนึ่งในอุโมงค์อย่างรวดเร็ว

หลังจากทำเช่นนั้น มู่หรงมองที่อาไตด้านหลังหวังหลิน เขาต้องการจะพูดแต่หวังหลินก็ขัดก่อน พลางมองเปลวไฟสีฟ้าบนเสาหินด้วยท่าทีตื่นตะลึง “น้องมู่ เปลวไฟพวกนี้มีพลังงานหยินดีมาก มันดูไม่ใช่ของธรรมดา”

มู่หรงหัวเราะ “พี่หวัง เปลวไฟสีฟ้านี้ถูกสร้างโดยการละลายแกนพลังของเซียนขั้นแกนลมปราณจำนวนหลายแกนจากสำนักดั้งเดิมเมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้ว หลังจากพวกมันถูกชำระล้างโดยบรรพชนเย่ ก็ได้กลายเป็นสมบัติของสำนักซากศพ มันมีประโยชน์ต่อการฝึกตนมากนักและมีประโยชน์โดยเฉพาะกับหุ่นเชิดของเรา”

หวังหลินจ้องเปลวไฟสีฟ้า เขาโบกมือให้เศษเปลวไฟลอยมาหา หวังหลินสังเกตเปลวไฟ จากนั้นส่งพลังงานหยินเข้าไป เสียงร้อนฉ่าดังออกมาจากเปลวไฟและมันกลายเป็นบอลอัคคีขนาดเล็กลอยบนฝ่ามือ

สีหน้ามู่หรงเปลี่ยนไปยิ้มเล็กน้อย “พี่หวัง การเปลี่ยนก๊าซเป็นของเหลวไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทั้งยังไม่ต้องใช้พลังงานหยินเยอะ ดูเหมือนบรรพชนหวูอวี่จะรักท่านยิ่งนัก”

ข้อสงสัยที่มู่หรงมีต่อหวังหลินได้หายไปเมื่อเห็นหวังหลินทำเช่นนั้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพลังงานหยินของหวังหลินถึงแม้จะดูคล้ายคลึงกับวิธีที่สำนักซากศพฝึกฝนแต่มันก็แตกต่างอย่างมาก

ขณะเดียวกัน ทันใดนั้นเปลวไฟสีฟ้าได้เข้มข้นมากขึ้น ควันจากเปลวไฟสีฟ้ารวมเข้าหากันกลายร่างบุรุษคนหนึ่ง ร่างนั้นเปล่งแรงกดดันอันหนักหน่วงออกมา

รูม่านตาหวังหลินแคบลง ภายใต้แรงกดดันของร่างนั้น เขารู้สึกถึงความหวาดกลัว จากนั้นเมื่อหันไปมองมู่หรง เขาคุกเข่าอยู่บนพื้นแล้ว

เสียงแหลมดังออกมาจากร่างนั้น “เจ้าเป็นลูกศิษย์ของพี่หวูอวี่หรือ?”

……………………...