บทที่ 96 เตาหลอม

ตอนที่ 96 เตาหลอม

เมื่อเสียงนั้นดังออกมา พลันเปลี่ยนเป็นลมรุนแรงพัดเอาบอลอัคคีรอบด้านให้หมองลง เสียงนั้นดังก้องในถ้ำราวกับโดนพิพากษาจากสวรรค์

หวังหลินสูดหายใจลึก คำนับด้วยสองมือและพูดด้วยความเคารพ “ทักทายผู้อาวุโสเย่”

ร่างนั้นเป็นรูปร่างช้าๆกลายเป็นชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปี คนผู้นี้ดูหล่อเหลาเป็นอย่างมาก ดวงตาเป็นประกายดุจดวงดาว ผิวกายละเอียดราวกับหยก เขามองหวังหลินสีหน้าไม่แสดงอาการอันใด “มู่หรง เจ้าออกไปได้”

มู่หรงที่กำลังคุกเข่าอยู่รีบยืนขึ้น มุ่งหน้าไปถ้ำแห่งหนึ่งและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

เย่จื่อโบกมือซ้าย ม่านแสงปรากฏขึ้นล้อมรอบทั้งสองทันที เขาถอนหายใจและพูดขึ้นด้วยความรู้สึกเศร้าหมอง “หวังหลินเจ้าไม่ใช่ศิษย์ของสำนักซากศพ ไม่จำเป็นต้องโกหก ศิษย์น้องหวูอวี่ของข้าต้องพบกับปัญหาบางอย่าง หวังหลิน ไม่มีคนที่สามอยู่ที่ ดังนั้นเล่าให้ข้าฟังเถอะ”

หวังหลินยืดหลังตรง เขาคิดว่าอาจจะเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อนแล้ว ไม่มีทางที่จะโกหกเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเช่นเย่จื่อได้ ดังนั้นจึงตัดสินใจเล่าความจริง หลังจากคิดเล็กน้อย หวังหลินจึงเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในซากปรักหักพังนั้น

เย่จื่อเงียบเสียงฟังและไม่ได้พูดอะไร เขาถอนหายใจหลังจากหวังหลินเล่าจบ จากนั้นหลับตาครุ่นคิด “สิ่งที่หวังหลินเล่ามาน่าจะเป็นความจริง ตอนที่น้องหวูอวี่ออกไป บอกว่าหุ่นเชิดของเขากำลังเลื่อนขั้นและสิ่งที่หวังหลินพูดก็ตรงกับนิสัยส่วนตัวของเขา หุ่นเชิดกำลังต่อต้าน น่าเสียดายศิษย์น้อง การต่อต้านของหุ่นเชิดขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลางคงไม่ได้จัดการง่ายๆเมื่อสถานการณ์เป็นแบบนั้น แม้ข้าจะไปถึง ก็คงไม่สามารถช่วยอะไรท่านได้”

“ท่านส่งข้อความมากับหวังหลิน ท่านต้องมีความคิดอื่น...” เช่นนั้นเย่จื่อได้ปล่อยสัมผัสวิญญาณออกมาและตกใจทันที วิธีฝึกฝนของหวังหลินคนนี้ใกล้เคียงกับสำนักซากศพอย่างมาก เขาเต็มไปด้วยพลังงานหยิน หลังจากคิดชั่วครู่ เย่จื่อก็เข้าใจความตั้งใจของหวูอวี่

วิธีของหวูอวี่เรียกได้ว่าน่าทุกข์ใจ ตัวเขาได้แต่เพียงส่งศิษย์คนหนึ่งมาที่สำนักซากศพ หลังจากตรวจสอบหวังหลิน เขาก็มองไปที่อาไต จากนั้นครุ่นคิดเล็กน้อยจึงเห็นความตั้งใจของหวูอวี่ ร่างกายของอาไตสร้างมาเพื่อเข้ากันได้กับการฝึกฝนของสำนักซากศพ หลังจากเย่จื่อถอนสายตาออกมา เขาก็ถามหวังหลินช้าๆ “เขาคืออาไต คนที่ติดตามศิษย์น้องมาหลายปีน่ะหรือ?”

หวังหลินพยักหน้า

เย่จื่อสูดหายใจลึกและพูดอย่างเด็ดขาด “หวังหลิน ข้าได้ตรวจสอบพลังปราณของเจ้าแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีธาตุหยินจำนวนมาก หากเจ้าฝึกฝนอยู่ที่นี่ก็จะเป็นเรื่องง่าย หวังหลินเจ้าจะเข้าร่วมสำนักซากศพของเราไหม?”

หวังหลินเดาเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้แล้ว การรับศิษย์ของเย่จื่อยังอยู่ในการคาดการณ์ของเขา ดังนั้นจึงตอบด้วยความเคารพ “ศิษย์ยินดี”

เยื่อจื่อพยักหน้าอีกครั้งและพูดขึ้น “ดีมาก เมื่อเจ้าโชคดีเจอกับศิษย์น้องข้าหวูอวี่ เจ้าก็กลายเป็นศิษย์สายในของเขาแล้ว ตั้งแต่ต่อไปนี้ เจ้าคือศิษย์รุ่นที่สองของสำนักซากศพ”

ขณะนั้นเขาชี้ไปที่อาไต “ข้าจะนำอาไตไป” เขาเห็นหวังหลินลังเล “ไม่ต้องห่วง เขามีสายใยแน่นแฟ้นกับศิษย์น้องข้า ข้าไม่กล้าทำอันตรายหรอก เพียงแค่จะนำเขาเป็นศิษย์ส่วนตัวของข้าเท่านั้น”

ขณะนั้นเขาโบกมือโยนหยกสีน้ำเงินเข้มออกมา จับอาไตด้วยมืออีกข้าง อาไตส่งเสียงร้องโวยวายพร้อมกับทั้งคู่หายตัวออกไปจากถ้ำ

หวังหลินรับหยกมาตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณและพบว่ามันแปลกประหลาดมาก

ข้างในมีเพียงวิชาเซียนง่ายๆและไม่มีร่องรอยของวิชาเซียนฝึกฝนในสำนักซากศพอยู่เลย นี่ต้องเป็นเพราะว่าเย่จื่อยังกังวลอยู่ ดังนั้นหวังหลินจึงไม่คิดมากความ

ขณะที่เขากำลังตรวจสอบหยก มู่หรงก็โผล่ออกมาจากถ้ำแห่งหนึ่งหลังจากพบว่าเย่จื่อจากไปจึงได้เหาะเหินมาหาหวังหลิน เพียงแค่กำลังจะพูดขึ้นนั้นเขาก็สังเกตหยกที่มือหวังหลินได้ เขาตกใจและรีบถอยออกไปหลายก้าวขณะพูดขึ้น “ศิษย์มู่หรงทักทายบรรพชน”

หวังหลินตกใจและจ้องไปที่หินหยก “น้องมู่ไม่ต้องทำเช่นนี้ สีของหยกนี้หมายถึงสิ่งใดหรือ?”

มู่หรงมองไปที่หยกบนมือหวังหลินด้วยสายตาอิจฉาขณะที่เขายิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นหยิบยกสีฟ้าอ่อนออกมา “บรรพชน ท่านไม่มีหยกมาก่อนดังนั้นเราจึงพูดคุยด้วยกันอย่างเท่าเทียมได้ แต่ตอนนี้ท่านมีหยกนั่นแล้ว สำนักซากศพมีกฏอันเข้มงวดเกี่ยวกับเรื่องตำแหน่งในสำนัก ดังนั้นข้าจะกล้าเรียกท่านว่าพี่หวังอีกได้เช่นไรกัน….”

“ดูที่สีหยกของข้า หยกนี้สร้างเอาไว้เพื่อระบุตัวตนในสำนักซากศพ หยกของบรรพชนรุ่นแรกจะเป็นสีเขียว หยกของเหล่าบรรพชนรุ่นสองจะเป็นสีน้ำเงินเข้ม ผู้อาวุโสจะเป็นสีฟ้าอ่อน และเหล่าศิษย์ทั้งหมดจะเป็นสีขาว”

หวังหลินเก็บหยกของเขากลับไป ขณะที่กำลังจะพูด บอลอัคคีบนเสาหินก็กระพริบไม่กี่ครั้งปลดปล่อยควันสีเขียวออกมา

ท่าทีของมู่หรงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ฝ่ามือสร้างเป็นผนึกและพูดขึ้น “รวบรวม!”

ควันสีเขียวเข้ามาหามู่หรงอย่างรวดเร็วและเข้าไปในหน้าผาก

มู่หรงหลับตา ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ลืมตา “ท่านบรรพชนรุ่นแรกเย่จื่อ ได้จัดการห้องให้กับท่านแล้ว ข้าจะนำท่านไปเดี๋ยวนี้”

หวังหลินตื่นตะลึงอย่างมากกับวิชาของสำนักซากศพ วิชาเมื่อครู่นั้นแค่ใช้ควันก็สามารถส่งข้อความได้แล้ว เขาลูบคางตัวเองและพยักหน้า

มู่หรงเหินร่างตรงไปที่ถ้ำแห่งหนึ่ง หวังหลินกระโดดขึ้นและติดตามเขาไปด้านหลัง

สองร่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วผ่านไปในถ้ำ มู่หรงคุยกับหวังหลินเรื่องสำนักซากศพไปด้วย ด้วยคำอธิบายของเขา ตอนนี้หวังหลินจึงได้เข้าใจสำนักซากศพมาบ้างแล้ว

สำนักซากศพเป็นหนึ่งในสี่สำนักมารของแคว้นจ้าว มีศิษย์จำนวนมากกว่าพันคน ทั้งหมดอาศัยอยู่ใต้ดิน แต่ละคนมีห้องฝึกฝนของตนเอง มีเพียงไม่กี่คนที่จะออกไปหาซื้อสิ่งของขณะที่คนอื่นๆต่างฝึกฝนอยู่ในห้องของตัวเอง

แม้ว่าการเรียกว่าสำนักมารจะไม่ค่อยเหมาะสม พอเทียบกับสำนักมารอัคคีเทียนต้าว สำนักปิศาจหยินเฮฮวน และหุบเขาสังหารหวู่เฟิง สำนักซากศพก็คือหุ่นเชิด ทุกคนฝึกฝนอย่างหนักราวกับคนบ้า เหตุผลก็เพราะความต้องการอันโหดร้ายที่สำนักซากศพมี หากมีคนที่ไม่สามารถผ่านถึงขั้นรวบรวมลมปราณระดับสิบภายในสิบปี ไม่ถึงขั้นพื้นฐานลมปราณในสามสิบปี หรือไม่ถึงขั้นแกนลมปราณในร้อยปี พวกเขาจะถูกนำไปชำระวิญญาณให้กลายเป็นหุ่นเชิดซากศพ

ระบบอันโหดเหี้ยมนี้เหมือนกับหวดแส้ให้กับเหล่าศิษย์สำนักซากศพทุกคนให้ฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง

ทุกๆปีจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ถูกชำระวิญญาณให้กลายเป็นหุ่นเชิด และทุกครั้งศิษย์ทุกคนจะจดจ้องดูกระบวนการพวกนั้น

เช่นเดียวกัน ในทุกๆปีจะมีเหล่าศิษย์ออกไปค้นหามนุษย์ที่เหมาะสมเพื่อมาทดแทนศิษย์พวกนั้นที่หายไป

ไม่ใช่ว่าเหล่าศิษย์ไม่ต้องการจะต่อต้าน แต่ศิษย์ทุกคนต่างยอมรับที่โดนดึงเสี้ยววิญญาณของตัวเองออกไปและผนึกไว้ในหยก หยกนั้นจะแบ่งออกเป็นสี่ขั้น หยกสีเขียวของบรรพชนรุ่นแรกจะสามารถควบคุมศิษย์คนใดก็ได้ในสำนัก หยกสีน้ำเงินเข้มมีผลลัพธ์คล้ายคลึงกัน และหยกสีฟ้าอ่อนของผู้อาวุโสจะควบคุมศิษย์ขั้นต่ำกว่าได้ ไม่มีใครกล้าต่อต้านกฏพวกนี้ มู่หรงทั้งยังเล่าให้หวังหลินฟังว่าสำนักซากศพแห่งนี้เป็นเพียงสำนักสาขาของสำนักซากศพจริงๆเท่านั้น เขาเคยเห็นผู้ส่งสาห์นคนหนึ่งจากแคว้นระดับห้า กระทั่งผู้รับใช้ของผู้ส่งสาห์นอย่างน้อยก็มีระดับฝึกตนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดไปแล้ว

ยิ่งหวังหลินได้ฟังมากขึ้นก็ยิ่งรู้สึกตกตะลึงมากขึ้น เขาสงสัยว่าทำไมตอนที่เย่จื่อให้หยกกับเขาถึงไม่ได้ผนึกเสี้ยววิญญาณของเขาลงไป

คำถามเดียวกันนี้ออกมาจากร่างของเย่จื่อหลังจากเขากลับเข้าไปในถ้ำของตัวเอง

“ทำไมเจ้าไม่ผนึกเสี้ยววิญญาณของเขาลงไปในหยก?” เสียงแหบพร่าถามขึ้นราวกับแผ่นเหล็กสองแผ่นเสียดสีกัน

เย่จื่อสัมผัสหน้าผากอาไตด้วยฝ่ามือและผนึกสัมผัสของเขา จากนั้นหันร่างกลับมานั่งสมาธิบนเตียงสีดำ เขาชี้ไปบนหน้าผากตัวเอง ร่างกายสั่นสะท้านพลางปรากฏร่างมายาข้างๆกัน

ร่างนี้ดูพร่ามัวอย่างมากราวกับเห็นได้ไม่ค่อยชัด เขาลอยรอบๆอาไต กำลังสังเกตเขาจากนั้นก็ยกมืออกมาสัมผัสกับศีรษะอาไต

เย่จื่อขมวดคิ้ว เขาโบกแขนขวาและไอออกมาเป็นไฟพลังหยินสีฟ้า หลังจากไฟหยินปรากฏ มันก็กลายเป็นกำแพงเพื่อป้องกันมือของร่างนั้น

เย่จื่อพูดอย่างเยือกเย็น “หลัวซา คนคนนี้ศิษย์น้องของข้ารับเขาเป็นศิษย์เอก เจ้าห้ามทำร้ายเขา”

ร่างนั้นส่งเสียงหัวเราะ เขาลอยบนอากาศขณะที่กออกไปด้วยและส่งเสียงแหลมสูงออกมา “เย่จื่อ เจ้าและศิษย์น้องของเจ้าเป็นเพียงเตาหลอมสำหรับเราเท่านั้น ศิษย์น้องเจ้าจากไปก่อนที่ท่านจื้อจะตื่นขึ้นมา และตอนนี้เขาเรียกหาเจ้าขอความช่วยเหลือ เขาเป็นคนพาตัวเองเข้าไปในกับดักเองแท้ๆ เย่จื่อ เมื่อเจ้ารู้ตำแหน่งของเขา ทำไมเจ้าไม่ช่วยท่านจื้อกลืนหวู่อวี่ซะหล่ะ?”

สีหน้าเย่จื่อกลายเป็นมืดหม่น เขาจ้องไปที่ร่างนั้นและเย้ยหยัน “ก่อนที่เจ้าจะกลืนกินข้าได้สำเร็จ อย่าคิดว่าข้าจะฟังคำสั่งใดจากเจ้า ส่วนท่านจื้อ ข้าจะไม่ช่วยเหลือเขาหรือศิษย์น้องข้าทั้งนั้น หากเขาอยากจะกลืนศิษย์น้องข้า ก็ต้องทำด้วยตัวเอง”

ร่างนั้นหัวเราะอย่างน่าขนลุก “หากเจ้าไม่อยากไป ข้าก็ไม่ห้ามเจ้า แต่ร่างชุดต่อไปแคว้นระดับห้าได้เตรียมไว้แล้ว ตอนนี้มีอยู่สิบคน เจ้าต้องจับเตาหลอมของเจ้าอย่างระวัง จำไว้ว่าเจ้าเป็นเพียงศิษย์นอกของสำนักซากศพเท่านั้นด้วย ส่วนอาไต เจ้าจะทำอะไรกับเขากัน?”

เย่จื่อครุ่นคิดชั่วครู่และลอบถอนหายใจออกมา สี่ร้อยปีก่อน เขาได้เข้าสำนักซากศพมา ต้องขอบคุณพรสวรรค์ของเขาเองจึงสามารถบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้ภายในสี่ร้อยปี แต่ขณะเดียวกันนั้นหุ่นเชิดของเขาก็ได้มีสำนึกขึ้นมาและเริ่มจะกลืนกินเขา กระบวนการนี้ค่อนข้างช้ามากและนั่นทำให้เขาได้เรียนรู้ความลับบางอย่างของสำนักซากศพ

.........................