บทที่ 97 โอกาสใหญ่

ตอนที่ 97 โอกาสใหญ่

สำนักซากศพเป็นสำนักที่มีขนาดใหญ่มาก จากที่เย่จื่อรู้มา สำนักซากศพหลักจะตั้งอยู่ที่แคว้นระดับห้า และสาขาที่เหลือกระจายอยู่ทั่วโลก

สำนักสาขาทั้งหมดมีกฏระเบียบที่เข้มงวดในการบังคับให้ศิษย์ฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง หลังจากเย่จื่อค้นพบความจริงข้อนี้ เขารู้สึกเหมือนถูกเลี้ยงดูราวกับสัตว์

หลังจาก “สัตว์” ผ่านมาถึงขั้นแกนลมปราณจะมีพิธีกรรมอันหนึ่ง นั่นก็คือเมื่อวิญญาณจากแคว้นระดับห้าได้สูญเสียกายเนื้อจะนำไปบรรจุไว้ในหุ่นเชิด

พูดง่ายๆก็คือสำนักซากศพเป็นผู้จัดหาร่างกายขนาดใหญ่ที่สุดของเหล่าสำนักในแคว้นระดับห้า แคว้นระดับสี่หรือสูงกว่านั้นมีการทำสงครามเป็นประจำทุกปี การต่อสู้ในสนามรบต่างเกิดอาการบาดเจ็บและล้มตายได้ทุกเมื่อ เหล่าเซียนที่ระดับขั้นตั้งแต่วิญญาณแรกกำเนิดต่างใช้โอกาสพวกนี้หนีออกจากร่างกายเนื้อได้

นั่นจึงมีสำนักซากศพมาเกี่ยวข้อง หากใครสักคนสูญเสียกายเนื้อหรือกำลังรับการเปลี่ยนร่างกาย ธุรกิจร่างกายทั้งหมดมักจะจบที่สำนักซากศพ ร่างกายที่สำนักซากศพจัดการให้ทุกร่างมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมและได้ถูกฝึกฝนด้วยวิธีของสำนักซากศพตั้งแต่ยังเยาว์วัย ทุกสาขาของสำนักซากศพต่างมีวิธีฝึกฝนที่แตกต่างกันกับลูกศิษย์ของตัวเอง

สำนักซากศพได้ให้บริการนี้กับเหล่าสำนักจำนวนมากจากแคว้นระดับสี่หรือระดับห้า บางรายยังทำข้อตกลงแบบพิเศษกับสำนักซากศพเพื่อเร่งให้ได้รับร่างกายเร็วขึ้น บางสำนักยังเสนอวิธีฝึกตนพื้นฐานให้ด้วย โดยเฉพาะการสร้างสำนักสาขาเพื่อเพาะเลี้ยงกายเนื้อเป็นการส่วนตัว

สำนักซากศพแคว้นจ้าวเป็นหนึ่งในสำนักมารของแคว้นระดับห้า วิธีฝึกฝนมีชื่อเรียกกันว่า วิถีเซียนนรก

เย่จื่อถอนหายใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดถึงเรื่องการต่อต้าน แต่ยิ่งเขารู้เรื่องมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเข้าใจว่าตัวเขาเล็กน้อยแค่ไหน เขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะต่อต้านได้เลย และเมื่อการกลืนกินเริ่มต้นขึ้น มันก็ไม่สามารถหยุดได้แว้นแต่ว่าระดับการฝึกตนของเขาจะสูงเกินกว่าระดับการฝึกตนของวิญญาณในหุ่นเชิด

นี่ก็เป็นอีกกฏนึงของสำนักซากศพ หากศิษย์คนใดบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดแม้ร่างกายจะถูกคนอื่นกลืนกิน ก็ยังมีโอกาสไปกลืนกินคนอื่นด้วย

ตัวอย่างเช่นเย่จื่อ เมื่อเขาถูกกลืนกินเสร็จสิ้น วิญญาณของเขาจะย้ายไปอยู่ในหุ่นเชิดของคนที่เขาเลือกไว้ จากนั้นเขาจะกลืนกินคนผู้นั้นผ่านหุ่นเชิดของเขาเหมือนกับที่เย่จื่อกำลังถูกกลืนกินอยู่ตอนนี้

แต่เขามีโอกาสเลือกได้เพียงคนเดียว หากคนผู้นั้นไม่อาจผ่านไปถึงขั้นวิญญาณแรกกำเนิดและขั้นเซียนตัดวิญญาณได้ เมื่อนั้นมีหนทางเดียวสำหรับเขาก็คือถูกส่งไปสนามรบให้กลายเป็นอาหารสัตว์

พอเลื่อนไปถึงขั้นเซียนตัดวิญญาณได้ ก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสของสำนักสาขาในแคว้นระดับสี่ ทั้งยังมีเวลาอีกหนึ่งพันปีเพื่อก้าวไปสู้ขั้นเซียนเปลี่ยนวิญญาณ หากล้มเหลว ผลลัพธ์ก็เหมือนกันทั้งหมด

เย่จื่อตอบคำถามของหลัวซาอย่างเยือกเย็น “อาไตยังไม่ถึงขั้นแกนลมปราณเลย ดังนั้นเขาจะมีประโยชน์อะไรกับเจ้ากัน? เขายังเป็นศิษย์ของศิษย์น้องข้าด้วย ดังนั้นตราบใดที่ข้ายังอยู่แถวนี้ ข้าจะคุ้มครองเขาให้ปลอดภัย” ขณะที่เขากำลังพูดนั้นรู้สึกได้รับแรงกดดันจากร่างที่ลอยอยู่บนอากาศ “ข้าไม่ยอมให้ใครแตะต้องเขา! ทุกคน!”

หลัวซาถอนหายใจ สายตาเขาสว่างขึ้นขณะพูดออกมา “เย่จื่อ ร่างกายของอาไตนั้นดีเยี่ยมทีเดียว เขาคงเป็นตัวเลือกที่ดีให้เจ้ากลืนกิน”

เย่จื่อลอบหายใจอย่างหนาวเหน็บ เขามีความคิดนี้อยู่แล้ว ตอนที่เห็นอาไตครั้งแรกก็ตัดสินใจเปรียบเทียบร่างอาไตกับตัวเอง

ร่างที่ลอยอยู่ยิ้มบางๆ “เจ้าเด็กหวังหลินนั่นมีวิธีฝึกตนที่แปลกประหลาด เขามีเบาะแสของวิถีเซียนนรกที่แท้จริง ไม่ว่ามันจะฝึกฝนวิธีไหนคงเป็นเตาหลอมที่ยอดเยี่ยมแน่ เย่จื่อ เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลยว่าทำไมเจ้าไม่ผนึกเสี้ยววิญญาณเขาก่อนหน้านี้?”

เย่จื่อหลับตากลงและพูดขึ้น “อาไตไม่ใช่เพียงตัวเลือกเดียวของข้า รวมหวังหลินเข้าไปด้วย ข้าก็มีโอกาสหลายคน อีกทั้งข้ายังไม่ได้ตัดสินใจว่าใครจะเป็นเจ้าของร่างและใครจะเป็นหุ่นเชิด ข้าจะไม่ผนึกเสี้ยววิญญาณเขาหากยังไม่ถึงขั้นแกนลมปราณ นั่นก็เพราะเมื่อข้าผนึกเสี้ยววิญญาณ เขาจะถูกบันทึกไว้ในสำนักซากศพ หากมีใครสักคนชิงร่างเขาไปก่อน ข้าก็คงไม่ได้อะไรเลยจากเรื่องพวกนี้” เย่จื่อไม่สนใจว่าหลัวซาจะรู้ เขาทำเรื่องพวกนี้ก็เพื่อสร้างเส้นทางให้กับตัวเอง อีกทางหนึ่งก็คือเขายอมรับว่าพ่ายแพ้ต่อหลัวซาและยอมให้กลืนกินร่างกายไปแล้ว

เช่นนี้จึงได้ลืมตาขึ้นและพูดเสริม “การทำความสะอาดสนามรบกำลังจะเริ่ม ข้าเชื่อว่าป้ายสิทธิ์จะถูกส่งออกไปในอีกไม่กี่วัน”

ร่างนั้นเลียริมฝีปากและหัวเราะเสียงแหบพร่า “ครั้งนี้หลังจากผู้ส่งสาส์นจากพันธมิตรเซียนได้เปิดประตูสู่สนามรบ ข้าต้องการเวลาดูดซับพลังปราณเพียงสามลมหายใจเท่านั้นก็เสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว เย่จื่อ จากข้อตกลงของข้ากับสำนักซากศพ เมื่อข้ากลืนเจ้าได้ ข้าจะเก็บสำนึกเจ้าไว้ หากเจ้าเลือกร่างได้แล้ว ข้าจะช่วยเจ้ายกระดับฝึกตนร่างนั้นให้บรรลุขั้นแกนลมปราณเพื่อให้เจ้ากลืนกินง่ายๆ”

หลังจากเย่จื่อค้นพบความลับของสำนักซากศพ เขาก็รู้ว่าวันนั้นจะมาถึง การกวาดล้างสนามรบทุกหนึ่งร้อยปีจะเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่เสร็จสิ้นกระบวนการกลืนกิน เย่จื่อลอบถอนหายใจ เขาหลับตาลงและไม่พูดอะไรอีกเลย

ส่วนหวังหลิน เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วผ่านถ้ำหลายแห่งพร้อมกับมู่หรง หวังหลินรู้สึกชัดเจนว่าพวกเขากำลังลงใต้ดินไปลึกมากขึ้น ยิ่งพวกเขาลงไปลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าพลังหยินออกมาจากใต้ดินได้อย่างชัดเจน

หลังจากผ่านไปอย่างยาวนาน มู่หรงได้หยุดลงหน้าถ้ำแห่งหนึ่ง เขามองหวังหลินอย่างอิจฉาและพูดขึ้น “ท่านบรรพชน ถ้ำนี้ท่านบรรพชนรุ่นแรกได้เตรียมไว้ให้ท่าน ที่นี่เป็นหนึ่งในที่ฝึกฝนที่ดีสำนักซากศพแล้ว”

หลังจากสนทนากับหวังหลินไม่กี่คำ เขาก็เข้ามาในห้อง ถ้ำนี้มีขนาดเพียงหนึ่งในห้าของถ้ำที่มู่หรงอยู่ มีม่านน้ำแข็งหนาบนพื้นซึ่งเต็มไปด้วยแสงสีน้ำเงินทำให้ห้องนี้ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก

มีหลุมขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนบนกำแพง เศษเสี้ยวพลังงานหยินโผล่ออกมาจากหลุมพวกนั้น อีกด้านหนึ่งของถ้ำเป็นพื้นที่ว่างเปล่า หวังหลินนั่งลงและสัมผัสกับพื้น ทันใดนั้นพลังหยินก็เข้าสู่ร่างกาย แต่ทันทีที่มันเข้ามาก็พลันกลายเป็นควันสีขาวหายไปในร่าง

สีหน้าหวังหลินเปลี่ยนไป พลังงานหยินในร่างเข้มข้นมากกว่าพลังงานหยินจากบนพื้นดิน

หวังหลินนั่งลงบนพื้นสร้างผนึกบนฝ่ามือจากวิชาที่จดจำในหยก ใช้วิชาเซียนออกมาพลางปลดปล่อยสัมผัสวิญญาณออกมาด้วย ผนังถ้ำเริ่มเคลื่อนไหวอย่างพิสดารจนหลุมทั้งหมดถูกปิด

ทั่วทั้งถ้ำตอนนี้เป็นพื้นที่ปิด

หวังหลินมองไปรอบๆและเริ่มครุ่นคิด เขาถูกบังคับให้เข้าร่วมสำนักซากศพก็เพราะกลับไปที่ซากปรักหักพัง หากเขาไม่ได้เข้าค่ายกลเคลื่อนย้าย ก็คงได้ปะทะกับลูกหลงระหว่างหุ่นเชิดกับหวูอวี่

จากสิ่งที่ดูตอนนี้ ดูเหมือนว่าหวูอวี่ไม่ได้โกหก สถานที่แห่งนี้เหมาะสมอย่างมากเพื่อที่จะฝึกวิถีเซียนนรก แต่จากที่ที่เขาอยู่หวังหลินสัมผัสว่ามีอันตราย โดยเฉพาะเย่จื่อ แม้ว่าท่าทางเขาดูจะเป็นคนดี หวังหลินกลับรู้สึกว่าเขากำลังถูอสรพิษจับตาดูอยู่

หวังหลินรู้เรื่องนี้ได้ทันทีเมื่อเย่จื่อนำอาไตออกไป ถึงอย่างนั้นไม่เพียงแต่ทำให้หวังหลินไม่ลดความรอบคอบลง แต่กลับเพิ่มมากขึ้น “เย่จื่อคนนี้ต้องมีความตั้งใจไม่ดีในหัวแน่” หวังหลินคิด

หวังหลินขมวดคิ้วบางและพึมพำกับตัวเอง “โชคร้ายที่ซือถูยังหลับอยู่ ด้วยประสบการณ์ของเขาอาจจะสามารถมองทะลุเย่จื่อได้ทันที ข้าต้องหาโอกาสหลบหนี แต่เมื่อข้าอยู่ที่นี่แล้วก็ต้องใช้โอกาสนี้ฝึกฝนตัวเองเช่นเดียวกัน”

คิดได้เช่นนี้สายตาหวังหลินก็สว่างขึ้น ผนึกฝ่ามือเป็นวิชาเซียนหลายรูปแบบ เสียงดังก้องออกมาจากหลุมเล็กๆบนกำแพงและจากนั้นห้องก็เต็มไปด้วยควันสีขาว

หวังหลินอ้าปากและสูดเอาควันสีขาวทั้งหมดเข้าไปในร่างกาย แต่ในไม่ช้าก็มีควันสีขาวปรากฏเพิ่มขึ้นจากหลุมบนกำแพงพวกนั้น

ขณะที่ควันสีขาวเข้าไปในร่างกาย มันถูกพลังปราณของเขาดูดซับ หวังหลินเผยใบหน้าแปลกประหลาดออกมา ฝ่ามือทั้งสองข้างได้สร้างผนึกขึ้น เสาแสงอันหนึ่งพุ่งออกมาควบแน่นกลายเป็นบอลแสง

หวังหลินไม่ได้ปรายตามองบอลแสง มันเรืองแสงสีฟ้าสว่างและกระพริบครั้งนึง “หยินปฐพี คุณภาพธรรมดาระดับหนึ่ง”

ก่อนที่จะพูดจบ ใบหน้าก็เปลี่ยนไปในทันทีราวกับรู้สึกว่ามีพลังกดดันอันแข็งแกร่งออกมาจากทุกทิศทาง เขารู้สึกราวกับกำลังสูญเสียการควบคุมพลังปราณในร่างกาย

หวังหลินใบหน้าเคร่งเครียดมากขึ้นพลางรีบหลับตาลงและเริ่มฝึกฝน หยดเหงื่อขนาดใหญ่ไหลลงมาจากหน้าผาก ร่างกายเริ่มชุ่มไปด้วยเหงื่อไคล

ขณะเดียวกัน เมฆสีรุ้งมหาศาลหลากสีปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าแคว้นจ้าว พูดได้ว่ามันปกคลุมไปทั้งน่านฟ้า

จังหวะที่เมฆปรากฏนั้นราวกับการลงทันฑ์ของพระเจ้า การแสดงออกของเซียนทุกคนที่ต่ำกว่าขั้นวิญญาณแรกกำเนิด ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน สำนักอะไร หรือกำลังทำอะไรอยู่ ใบหน้าทุกคนได้เปลี่ยนไป

ใต้แรงกดดันขนาดมหึมา เหล่าศิษย์ทุกคนในขั้นรวบรวมลมปราณต่างขวัญหนีดีฝ่อพร้อมกับสูญเสียการควบคุมพลังปราณในร่างกาย

เหล่าเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณและแกนลมปราณทั้งหมดรีบนั่งลงเพื่อควบคุมพลังปราณในร่างกายตัวเอง มีเพียงเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดที่สามารถต่อต้านได้แต่ท่าทางพวกเขาก็เปลี่ยนไปมาก

ในพื้นที่ลับด้านหลังภูเขาของสำนักซวนต้าว ทันใดนั้นพั่วหนานจื่อลืมตาขึ้น ใบหน้าเปลี่ยนไปหลายครั้งก่อนที่เผยแววตาปิติยินดี เขาหายตัวไปจากพื้นที่ลับและปรากฏตัวขึ้นห่างไปร้อยลี้

ภายในพื้นที่แคว้นจ้าว ลำแสงหลายเส้นปรากฏขึ้นในท้องฟ้า ทุกเส้นมุ่งไปยังหอคอยสวรรค์ที่อยู่ใจกลางแคว้นจ้าว

ยิ่งเหล่าเซียนตอบสนองเช่นไร เหล่ามนุษย์ธรรมดาก็ยิ่งตอบสนองยิ่งใหญ่ ทุกคนต่างคุกเข่าลงบนพื้นไปทางหอคอยสวรรค์ ตำนานเล่าว่าสายรุ้งพิพากษาสวรรค์จะปรากฏทุกหนึ่งร้อยปี ในที่สุดวันนี้มันก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง!

.........................