ตอนที่ 98 บทนำสู่สนามรบต่างแดน
เหล่าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดที่แข็งแกร่งทั้งหมดมุ่งหน้าไปสู่หอคอยสวรรค์
ณ ถ้ำลึกในสำนักซากศพ
สายตาของเย่จื่อสว่างขึ้นพลางหายตัวจากในห้องและรีบเคลื่อนย้ายร่างระยะไกลจากไป ก่อนจะออกไปได้ใช้หยกเขียวส่งคำสั่งให้ศิษย์สำนักซากศพทุกคน
“ข้าออกไปข้างนอกสองสามวัน เปิดค่ายกลป้องกันและสังหารทุกคนที่กล้าหนี!”
บรรพชนตระกูลเถิง เถิงฮว่าหยวน ขณะกำลังฝึกตนในบ้านตระกูลเถิงนั้น เมื่อเมฆหลากสีปรากฏขึ้น สายตาเขาสว่างวาบปรากฏความลังเล หลังจากนั้นครู่นึงเขาก็ทิ้งหยกบันทึกเสียงไว้และจากไป
เหตุการณ์เดียวกันปรากฏทั้วทั้งสำนักใหญ่ของแคว้นจ้าว
จากเขตแคว้นจ้าว แสงทุกเส้นได้รวมมาที่หอคอยสวรรค์
หอคอยสวรรค์เป็นสัญลักษณ์ของแคว้นที่เป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรเซียน เมื่อแคว้นใดเข้าร่วม กองทัพจะส่งคนมาสร้างหอคอยสวรรค์ ผู้ส่งสาสน์คนหนึ่งอาศัยในหอคอยสวรรค์ ผู้ส่งสาสน์คนนี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในแคว้นที่ตนเองอยู่และออกไปข้างนอกเพื่อจัดการปัญหาใหญ่เท่านั้น
พั่วหนานจื่อเป็นเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดคนแรกที่มาถึงหอคอยสวรรค์ อีกทั้งเขาเองก็เป็นคนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่จากเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเมื่อห้าร้อยปีก่อน ระดับฝึกตนของเขาอยู่ที่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลางแล้ว อีกเพียงก้าวเดียวจะบรรลุขั้นปลาย
ตามประสบการณ์ที่ได้เข้าร่วมสนามรบต่างแดนมา เขาถือครองตำแหน่งเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นจ้าว
พั่วหนานจื่อสวมชุดคลุมสีเทาปรากฏตัวขึ้นที่ฐานด้านล่างของหอคอยสวรรค์ หอคอยสวรรค์นั้นเป็นหอคอยทรงหกเหลี่ยมที่มองเห็นได้จากทุกทิศทางบนท้องฟ้า มีลำแสงระเบิดออกมาหลายเส้นจากหอคอยทำให้มันดูลึกลับอย่างมาก
พั่วหนานจื่อมองไปที่หอคอยด้วยความกลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขามาที่นี่ ครั้งแรกก็เมื่อห้าร้อยปีก่อนตอนที่เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งยี่สิบสามคนในแคว้นจ้าวได้บังคับแคว้นระดับสี่ให้เข้าสู่สนามรบต่างแดน
ห้าร้อยปีถัดมา เขาเป็นเพียงคนเดียวที่กลับมาได้
พั่วหนานจื่อไม่รู้ว่าเขาอยู่รอดได้ยังไงในห้าร้อยปีนั้น มีสงครามขนาดใหญ่เกิดขึ้นทุกวัน ชีวิตและความตายตัดสินเพียงเสี้ยววินาที
ห้าร้อยปีนั้นเขาเห็นเซียนที่มีพลังแข็งแกร่งจำนวนมาก เซียนพวกนั้นเพียงขยับนิ้วเดียวก็สังหารเขาได้แล้ว
หนึ่งในเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดของแคว้นจ้าว บรรพชนของสำนักเหิงยั่ว พั่วหนานจื่อมองเขาที่ดูกลมกลืนราวกับเซียนธรรมดา
ยิ่งพั่วหนานจื่อมองเท่าไหร่ก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งกลัวมากขึ้น เขาก็ยิ่งต้องการทะลวงขั้นวิญญาณแรกกำเนิดมากขึ้น ห้าร้อยปีในสนามรบต่างแดนเขาได้เรียนรู้ว่านอกจากขั้นตัดวิญญาณ ก็ยังมีเซียนเปลี่ยนวิญญาณอีกขั้น
ความรู้สึกผสมปนเปอยู่ในใจเขาพลันขมวดคิ้วไปทางหอคอยสวรรค์ “ผู้ส่งสาสน์น พั่วหนานจื่อแห่งสำนักซวนต้าวมาถึงแล้ว”
“พั่วหนานจื่อ เจ้าและข้าเป็นคนรู้จักกัน ไม่ต้องพิธีรีตอง” น้ำเสียงจริงใจดังออกมาจากหอคอย ตามมาด้วยชายชราคนหนึ่ง ชายคนนี้ดูอ้วนกลมเล็กน้อย หน้าตาขี้เหร่ สวมชุดคลุมสีเขียวคาดแถบเรืองแสงไว้รอบพุงทำให้ดูน่าขัน
แต่พั่วหนานจื่อไม่กล้าหยาบคาย เขาผายมือและนำเอาถุงชิ้นหนึ่งออกมาถือ ยื่นให้ชายชรา “ท่านผู้ส่งสาส์น สิ่งพวกนี้คือวัตถุดิบที่ข้ารวบรวมได้ตั้งแต่ข้ากลับมา มีบางชิ้นที่ท่านได้ถามไถ่ด้วยเช่นกัน”
ชายชราอ้วนกลมขมวดคิ้วและหัวเราะ เขารับถุงนั้นไปโดยไม่ได้เปิดดู “พั่วหนานจื่อ ตั้งแต่ข้ากลายเป็นผู้ส่งสาส์นของแคว้นจ้าว เจ้าเป็นเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดคนแรกจากแคว้นจ้าวที่สามารถกลับมาจากสนามรบต่างแดนได้ ข้าได้ส่งข้อมูลทั้งหมดของเจ้าให้กับสำนักข้าแล้ว พวกเขาได้ส่งข้อความมาว่าหากเจ้าทะลวงขั้นถึงวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายได้ภายในร้อยปี เมื่อนั้นเขาจะละเว้นกฏและยอมรับเจ้าเป็นศิษย์กิตติมศักดิ์ให้”
พั่วหนานจื่อเผยใบหน้าปิติยินดีและพยักหน้าขึ้น
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ แสงสองเส้นก็ได้มาถึงและร่อนลงบนพื้นที่โล่ง พวกเขาเป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี บุรุษอายุราวสามสิบปี ดูหล่อเหลาไปในทางโหดร้าย เมื่อเขามองไปที่ชายชราอ้วนกลม เขารีบพูดด้วยความเคารพ “ เฉินฮวน(陳歡 chén huān) จากสำนักดอกบัว(荷花 Héhuā)มาทักทายท่านผู้ส่งสาส์น”
สตรีที่ดูงดงามนั้น กล่าวด้วยความเคารพเช่นกัน “เฉินเหยียน(陳研 Chén yán) จากสำนักดอกบัวทักทายท่านผู้ส่งสาส์น”
ชายชราพยักหน้าและไม่ได้ใส่ใจนักพลางเริ่มคุยกับพั่วหนานจื่อ จากมุมมองเขา มีเพียงพั่วหนานจื่อเท่านั้นที่คู่ควรให้เขาพูดคุยด้วย
ไม่นานหลังจากนั้นก็มีคนมากกว่าสิบคนที่ได้มาถึง รวมถึงเถิงฮว่าหยวนด้วยเช่นกัน คนสุดท้ายที่มาถึงเป็นเย่จื่อ ขณะที่เขามาถึงหอคอย ชายชราอ้วนกลมหายใจเบาๆ เขามองเย่จื่อและยิ้มบางๆ
เมื่อเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งหมดมาถึง เมฆสายรุ้งหลากสีบนท้องฟ้าหนาแน่นมากขึ้น ใบหน้าชายชราร่างอ้วนเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดพลางผนึกฝ่ามือหลายรูปแบบและพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ไม่นานนัก ก้อนเมฆก็เริ่มหมุนวนฉายแสงสีแดงลงมาบนหอคอยสวรรค์ เพียงเวลาไม่นานแสงอีกหกสีของสายรุ้งก็ฉายลงมาบนหอคอยสวรรค์เช่นเดียวกัน
หลังจากหอคอยสวรรค์ดูดซับลำแสงเจ็ดสี มันก็สั่นสะเทือน แสงวงแหวนเส้นผ่าศูนย์กลางหลายสิบเมตรปรากฏขึ้นบนยอดหอคอย วงแหวนแสงพุ่งไปบนท้องฟ้าสร้างเป็นหลุมดำหนึ่งหลุมล้อมรอบด้วยวงแหวนสายฟ้าขาว
พอมองขึ้นไปข้างบนจะเห็นคลื่นพลังงานปลดปล่อยออกมาจากเสาแสงหลายต้นที่อยู่ตรงกลาง ก้อนเมฆละลายราวกับน้ำเดือดเทลงบนหิมะ
ลมกรรโชกแรงผุดจากเสาแสงตีเข้ากับชุดคลุมของทุกคนจนเกิดเสียงพั่บๆดังออกมา ผู้คนส่วนใหญ่อยู่ที่เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้น เมื่ออยู่ใต้ลมทุกคนจึงถอยกลับไปสองสามก้าว มีเพียงสี่คนที่ยืนอยู่ได้โดยไม่ถอยกลับก็คือ พั่วหนานจื่อ เย่จื่อ เซียนผมขาวจากสำนักเพียวเมียวและชายชราผิวสีจากเทียนต้าว
ใบหน้าผู้ส่งสาส์นอ้วนกลมกลายเป็นเคร่งเครียดมาก เขาเหินไปบนอากาศและตะโกนขึ้นอย่างสุภาพ “ผู้ดูแลแคว้นระดับสาม ฉีหลินยี่(使林奕 Shǐ lín yì) ยินดีต้อนรับการมาถึงของผู้ส่งสาส์นพันธมิตรเซียน”
ศีรษะขนาดมหึมาปรากฏขึ้นจากหลุมดำและมองไปที่ทุกคนอย่างเยือกเย็น
เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทุกคนที่นี่ต่างรู้สึกราวกับวิญญาณกำลังพังทลาย หากคนที่อยู่ในหลุมดำจ้องพวกเขาต่อไป วิญญาณอาจจะไม่สามารถทนต่อแรงกดดันได้และระเบิดออกมา
พั่วหนานจื่อเป็นคนแรกที่ฟื้นคืนสติ ใบหน้าขาวซีด เขาจดจำร่างนี้ได้เด่นชัด มันเป็นผู้เชี่ยวชาญของตระกูลอสูรยักษ์จากสนามรบต่างแดน เซียนของตระกูลนี้ฝึกฝนโดยการกลืนกินเซียนคนอื่น บรรพชนของสำนักเหิงยั่วก็ถูกกลืนกินโดยคนในตระกูลอสูรยักษ์ก่อนที่เขาจะได้เผยร่างที่แท้จริงเสียอีก
ยักษ์ตัวนี้จ้องบนหลินยี่และสายตาดูอ่อนลง แต่กลับพูดขึ้นทันที “ดินแดนร้างนั้นแทบจะไม่มีพลังวิญญาณหลงเหลืออยู่เลย หากไม่มีข้อตกลงสวะนี่ ข้าจะดูดพลังวิญญาณทั้งหมดที่นี่ภายในหนึ่งลมหายใจ พวกเจ้าทั้งหมดจงฟังให้ดี สนามรบต่างแดนจะเปิดขึ้นในอีกห้าเดือน ทางเข้าของแคว้นจ้าวอยู่ห่างจากที่นี่หนึ่งแสนลี้ ทิศ 58 องศาเหนือ มีป้ายที่นี่เจ็ดชิ้น กฏเหมือนเดิม สี่ในเจ็ดชิ้นนี้ต้องแตกหัก มีเพียงสามสำนักเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ หากหลังจากห้าเดือนมีเหลือมากกว่าสามชิ้น แคว้นจ้าวจะสูญเสียสิทธิ์ในการเข้าร่วม”
พูดเช่นนี้มันก็อ้าปากออก ลำแสงเจ็ดสีลอยออกมาร่อนไปบนพื้นและเผยเป็นป้ายจำนวนเจ็ดชิ้น หลังจากเสร็จสิ้น ศีรษะยักษ์ได้หันกลับไปในหลุมดำ แต่ทันใดนั้นศีรษะก็โผล่ออกมาและตะโกนขึ้น “หากเจ้าตามหาลูกปัดแบบนี้ในสนามรบต่างแดนได้ เจ้าต้องนำมันมาทันที ใครก็ตามที่นำมันมาได้จะได้รับรางวัลเป็นสมบัติเซียนระดับแปลงวิญญาณ สำนักนั้นจะได้รับผีดิบขั้นเซียนแปลงวิญญาณสิบตัวและแคว้นนั้นจะถูกยกระดับขึ้นหนึ่งระดับ!”
“แต่หากใครก็ตามกล้าเก็บมันไว้กับตัวเอง ทั้งแคว้นของมันจะถูกลบล้างออกไป หลินยี่ มีข้อความถูกส่งมาจากซูซาคุ เจ้าจะได้รับข้อความในอีกสองสามวัน” ขณะนั้นสายตาเขาสว่างวาบ ก้อนเมฆบนท้องฟ้าเคลื่อนไหวเป็นรูปร่างชิ้นหนึ่ง รูปนั้นเป็นหินลูกปัดที่มีก้อนเมฆสลักอยู่บนนั้น
หากหวังหลินอยู่ที่นี่ เขาคงจดจำมันได้ทันทีว่าลูกปัดคือลูกปัดที่เขาเก็บไว้ใต้กับหน้าอก
จบคำพูด ศีรษะยักษ์พึมพำไม่กี่ครั้งและจากนั้นมือยักษ์ออกมาจากหลุมดำจับไปที่เสาแสงบนยอดหอคอยสวรรค์ มันเขย่าไม่กี่ครั้งและพูดขึ้น “หลินยี่ ข้าจะนำสมบัติเซียนเจ็ดสีนี่ไปด้วย ข้าจะกลับมือเปล่าไม่ได้”
หลังจากเสียงดังกระหึ่ม เสาแสงก็ถูกดึงเข้าไปในหลุมดำและหายตามไปกับมัน เมฆหลากสีบนท้องฟ้า แรงกดดันที่ครอบคลุมแคว้นจ้าวขนาดใหญ่หายไปทันที
ใบหน้าผู้ส่งสาส์นร่างกลมกลายเป็นน่าเกลียด เขาส่งไอเย็นออกมาพลางโบกแขนตัวเองและเข้าไปในหอคอย ภายในหอคอยมีเสียงอึกทึกของเขา
“กฏเหมือนเดิม เซียนขั้นแกนลมปราณและวิญญาณแรกกำเนิดไม่สามารถเข้าร่วมได้ นำเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณของพวกเจ้ามา บังคับให้ต่อสู้ในพื้นที่หลัก ทุกคนกลับไปได้ การต่อสู้จะเริ่มขึ้นในอีกสามวัน”
สำนักดั้งเดิมและสำนักมารทั้งเจ็ดหยิบป้ายสิทธิ์ของตัวเอง พวกเขามองหน้ากันและจากไปโดยไม่ได้พูดอะไร เรื่องน่าสนใจก็คือเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดของสำนักดั้งเดิมสามสำนักได้ไปทิศทางเดียวกัน
ชายชราผิวสีของสำนักเทียนต้าวมองสามคนที่จากไปและพูดขึ้น “สหายเซียน พวกท่านทั้งหมดมาที่สำนักข้าสักครู่จะเป็นเช่นไร?”
.........................