บทที่ 102 ภัยพิบัติแสนเศร้า (1)

ตอนที่ 102 ภัยพิบัติแสนเศร้า (1)

หวังหลินจับตาดูคนถือหยกที่มีเสี้ยววิญญาณเขาอยู่ ขณะที่เขาเห็นทั้งสามคนกำลังทำลายหยกพวกนั้น หวังหลินอ้าปาก กระบี่เหินพุ่งเข้าใส่ทั้งสามคนในทันที

ขณะที่แสงสีเขียวปรากฏตัว อุณหภูมิระแวกนี้ลดลงทันที กระบี่เหินที่หวังหลินชำระล้างด้วยเลือดได้เปลี่ยนไปมากหลังจากเขาเริ่มฝึกวิถีเซียนนรก พลังงานหยินเติมเข้าไปในกระบี่เหิน

พลังงานหยินบนกระบี่เกรี้ยวกราดมากยิ่งขึ้น ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นรอบบริเวณนี้กลายเป็นน้ำแข็ง กระทั่งเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณระดับแรกทั้งหมดต่างรู้สึกว่าร่างกายชาด้านพร้อมกับน้ำแข็งเริ่มเกาะบนชุดของตัวเอง

เซียนที่ถือหยกเสี้ยววิญญาณหวังหลินพลันตกตะลึง เขาไม่มีเวลาทำลายหยก จึงทำได้แต่เพียงถอยกลับอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่เขาไม่คาดฝันก็คือกระบี่เหินเริ่มส่งเสียงหึ่งๆหายไปจากคลองสายตา เขารีบโยนสมบัติเซียนออกมาเพื่อปกป้องตัวเองแต่ก็สายเกินไป

กระบี่เหินปรากฏขึ้นห่างจากเขาเพียงหนึ่งเมตรและแทงละลุผ่านลำคอดังฉึบ เลือดสาดกระเซ็นตามรอยกระบี่ เขากุมลำคอแน่นพลางล้มลงกับพื้นด้วยสายตาไม่เชื่อ

หวังหลินกระโดดไปรับหินหยกและโยนใส่กระเป๋า เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก ขณะเดียวกันเซียนอีกสองคนได้ทำลายหินหยกบนมือ ควันสีชมพูปรากฏและกระจายออกไปราวกับคลื่นสู่พื้นที่บริเวณรอบๆ

ขณะที่โลงศพของเหล่าศิษย์สำนักซากศพได้สัมผัสกับควันสีชมพู จึงเกิดเสียงข่วนดังขึ้นมาข้างในโลงศพ

เหล่าเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณของสำนักซากศพเสมือนอยู่ภายใต้อำนาจของวิชาตรึงร่าง ทั้งหมดไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

หลังจากทำลายหินหยก เซียนขั้นพื้นฐานลมปราณระดับปลายทั้งสองไม่แม้แต่มองหวังหลิน พวกเขาพุ่งกลับไปยังประตูที่กำลังพังทลาย

สองร่างนั้นหายไปในประตูเพียงพริบตา จากนั้นประตูเลือนหายเป็นจุดแสงโดยไม่ไร้ร่องรอย

หวังหลินรีบถอยกลับมองไปยังศิษย์ของสำนักซากศพและเริ่มครุ่นคิด

เสียงขีดข่วนดังขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อหนึ่งในโลงศพพวกนั้นแตกออก มือข้างหนึ่งได้ยื่นออกมา ตามมาด้วยเสียงหายใจอันหนักหน่วง

ผีดิบผมยาวสีดำขลับยืนขึ้นในโลงศพอย่างช้าๆ สายตาเปล่งแสงสีเขียวออกมาพร้อมกับสำรวจไปรอบๆจนในที่สุดสายตามองไปที่เจ้านายมันเอง

ดวงตาแดงก่ำกลายเป็นเย็นยะเยือก มันกรีดร้องและจับเจ้านายขึ้น สูดหายใจลึก เซียนขั้นพื้นฐานลมปราณระดับแรกสั่นสะท้าน ร่างกายกลายเป็นควันสีขาวถูกหุ่นเชิดซากศพสูดเข้าไป

เวลาเดียวกันร่างอันเหี่ยวเฉาของผีดิบก็เริ่มฟื้นฟูกลับคืนมา

ไม่นานนักร่างกายของเซียนคนเหลือเพียงกระดูก ขณะที่หุ่นเชิดได้กลับคืนสู่รูปร่างมนุษย์

หุ่นเชิดซากศพสูดหายใจอีกครั้ง เจ้านายมันกรีดร้องออกมาและตายลงไป ควันสีเหลืองหนีออกมาจากร่างเซียนคนดังกล่าว หุ่นเชิดได้ยื่นมือไปจับควันสีขาวและยัดใส่ปาก

ในไม่ช้าหุ่นเชิดซากศพก็เปลี่ยนร่างไปจนดูเหมือนกับเซียนที่พึ่งตายไปเมื่อครู่

ขณะเดียวกันโลงศพได้พังทลายทีละโลง มือข้างหนึ่งของหุ่นเชิดยื่นออกมาทำร้ายเจ้านายตัวเองเพื่อเป็นอิสระ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่หุ่นเชิดทำเช่นนี้ มีเพียงหนึ่งในสามส่วนที่ออกมาและยืนงงเฉยๆด้วย

หวังหลินมองฉากเหตุการณ์ด้านหน้าอย่างตกตะลึง หุ่นเชิดซากศพทั้งหมดกลายร่างคล้ายกับเจ้านายที่อยู่ขั้นพื้นฐานลมปราณระดับปลาย หวังหลินจ้องสิ่งประหลาดพวกนี้ พางถอยกลับหลังช้าๆ

เสียงกรีดร้องดังขึ้นออกมาจากทิศทางพวกนั้น เหล่าหุ่นเชิดซากศพทั้งหมดได้ยึดร่างของเจ้านายมันเองขณะที่กระโดดเข้าหาศิษย์สำนักซากศพที่เหลือด้วย

ทั้งโลหิตและอวัยวะสาดกระเด็นไปบนอากาศ หวังหลินหันกลับไปรอบๆและหนีจากมาโดยไม่เอ่ยเสียงสักคำ

หลังจากหนีห่างมาได้ไกลแล้ว หวังหลินหยุดลงด้านนอกของป่าแห่งหนึ่ง ในที่สุดประสบการณ์ก็บอกเขาแล้วว่าสำนักซากศพโหดร้ายขนาดไหน หากเขาไม่หยุดเซียนคนนั้นจากการทำลายหินหยก หวังหลินคงกลายเป็นอาหารสิ่งมีชีวิตพวกนั้นไปด้วย

หวังหลินหัวเราะในใจอย่างเย็นเหยียบ เขารู้ว่าที่หุบเขาจูหมิงนี่อันตรายมาก สำนักดั้งเดิมและสำนักมารมารวมตัวกันที่นี่เพื่อแข่งขันหาสิทธิ์ในการเข้าร่วมสนามรบต่างแดน หวังหลินไม่ต้องการเข้าร่วมกับพวกนี้ เขาเพียงแค่ต้องการหาสถานที่ที่มีพลังหยินรุนแรงและปิดด่านฝึกตนเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น

ยิ่งเขาติดต่อกับโลกผู้ฝึกเซียนมากเท่าไหร่ ประสบการณ์ก็ยิ่งบอกเขาว่ามันยิ่งอันตรายมากเท่านั้น เขารู้สึกราวกับหากพลาดไปเพียงก้าวเดียวก็อาจจะพรากชีวิตได้แล้ว แต่ตั้งแต่ที่เข้ามาในโลกแห่งเซียน วิธีเดียวที่จะทำให้ตัวเองปลอดภัยได้คือความแข็งแกร่ง

ขณะเดียวกันธาตุไม้ที่ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าต้องการก็เป็นสิ่งสำคัญในใจหวังหลิน

ขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้ ทันใดนั้นหวังหลินถอยหลังทันที แสงสีดำพุ่งมาตรงพื้นที่ที่หวังหลินพึ่งยืนอยู่เมื่อครู่ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ

“เจ้าหลบเก่งดีนี่” ชายหนุ่มสวมชุดหรูหราเดินออกมาช้าๆ หลังจากตรวจสอบหวังหลินเขาก็ถามขึ้น “สำนักอะไร?”

หวังหลินตอบกลับอย่างเยือกเย็น “สำนักซากศพ”

ชายหนุ่มชุดหรูหราจ้องมอง “สำนักซากศพหรือ? ลือกันว่าศิษย์สำนักซากศพทุกคนมีโลงศพอยู่รอบกาย แล้วของเจ้าหล่ะ?”

หวังหลินจ้องชายหนุ่มคนนั้นพลันขมวดคิ้วขึ้น

ชายหนุ่มเย้ยหยัน เขาชี้นิ้วไปที่หวังหลิน ทันใดนั้นสายฟ้าสีดำปรากฏขึ้นบนมือ “ไม่ว่าเจ้าจะมาจากสำนักซากศพหรือไม่ ทิ้งของไว้ด้านหลังซะ”

หวังหลินสายตาประกายแสงเยือกเย็น ปล่อยสัมผัสวิญญาณออกมาและพบว่ามีอีกสามคนอยู่ในป่า หวังหลินถอยหลังไปหลายก้าว เมื่อชายหนุ่มคนนั้นเห็นหวังหลินถอยหลัง เขาเผยใบหน้าดูถูก จากนั้นโบกแขนให้แสงสีดำพุ่งไปตรงไปที่อกหวังหลิน

หวังหลินยกคิ้วขึ้นโบกแขนใช้วิชาแรงโน้มถ่วงสร้างเป็นมือยักษ์ด้านหน้า แสงสีดำทะลุเข้าไปในวิชาแรงโน้มถ่วงสองสามนิ้วก่อนจะหายไป

หวังหลินมองชายหนุ่มอย่างเย็นเยียบ เขาสังเกตด้วยสัมผัสวิญญาณว่าอีกสามคนที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าพลันรีบหนีไปให้ไว หวังหลินไม่อยากเสียเวลากับพวกนั้นจึงรีบถอยกลับอย่างรวดเร็ว

เด็กหนุ่มเริ่มโกรธเกรี้ยว แม้ว่าทั้งคู่จะอยู่ขั้นพื้นฐานลมปราณระดับแรกเหมือนกัน แต่เขามีพี่ๆอีกสามคนที่กำลังมา หนึ่งในนั้นอยู่ขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลาง ทั้งสี่คนไม่ได้เคลื่อนไหวพร้อมกับสำนักเทียนต้าวคนอื่น แต่กลับตัดสินใจใช้โอกาสนี้ขโมยของจากเซียนที่แข่งขัน

พูดได้ว่าระหว่างการแข่งขันนี้ ทุกสำนักได้มอบสมบัติเซียนจำนวนมากเพื่อยกระดับพลังของศิษย์ขั้นพื้นฐานลมปราณของตัวเอง

พอชายหนุ่มคนนี้เห็นหวังหลินมาเพียงคนเดียว จึงมีแรงกระตุ้นให้สังหารเขาและเมื่อเห็นหวังหลินพยายามจะหนี เขาตบกระเป๋าทันที จากนั้นไม้บรรทัดยาวแปดนิ้วลอยออกมา

ไม้บรรทัดทั้งแท่งเต็มไปด้วยสีเขียว มันปลดปล่อยกลิ่นหอมอันรุนแรง ชายหนุ่มสูดหายใจลึกชี้ไม้บรรทัดไปข้างหน้า ไม้บรรทัดสั่นสะท้าน เห็ดขนาดใหญ่สีดำเติบโตขึ้นบนนั้นแยกตัวออกมาและลอยไปบนอากาศ

ชายหนุ่มเผยใบหน้าเคร่งเครียด เขารีบหยิบบางอย่างออกมาจากระเป๋าและโยนออกไป หวังหลินเห็นว่าแสงกระพริบคือตัวต่อสีแดงบินไปที่เห็ดและกลืนเห็ดลงไปเพียงไม่กี่คำ

ทันใดนั้นตัวต่อกลายร่างใหญ่มากขึ้นหลายเท่า ขนาดเท่ากับกำปั้น ปลดปล่อยเสียงร้องและพุ่งไปหาหวังหลิน

แม้ว่าทั้งหมดนี้จะช้าขนาดไหนแต่ก็เกิดขึ้นเพียงพริบตาเท่านั้น สายตาหวังหลินเยือกเย็นขึ้นให้กระบี่เหินสีเขียวเล็กปรากฏออกมาด้านหน้าพุ่งเข้าหาตัวต่อ ตัวต่อร้องเสียงหึ่งออกมาและหลบไปด้านข้างกระบี่ แต่ขณะเดียวกันกระบี่ก็หายตัวไปทันที มันปรากฏตัวอีกครั้งด้านหน้าเด็กหนุ่มและแทงเข้ากลางหน้าอก ทิ้งหลุมลึกเอาไว้

เด็กหนุ่มชุดหรูหราโต้ได้ไม่ทันและจบชีวิตลงไป

ขณะที่เด็กหนุ่มตาย ไม้บรรทัดหมองลงและหล่นลงบนพื้น หวังหลินใช้วิชาแรงโน้มถ่วงไปจับเอาไว้อย่างรวดเร็วเก็บใส่กระเป๋าและจากไป

ตัวต่อหมุนวนในอากาศหนึ่งครั้งและไล่ล่าด้านหลังหวังหลินอย่างรวดเร็ว

ขณะนั้นทั้งสามร่างได้พุ่งออกมาจากในป่า มีสองบุรุษและหนึ่งสตรี ใบหน้าของหนึ่งบุรุษมืดหม่นมองไปยังร่างบนพื้นและตะโกนขึ้น “ตามล่ามัน!”

ขณะนี้เองเมืองเล็กแห่งหนึ่งตั้งอยู่ขอบทางเหนือของแคว้นจ้าว แขกสองคนที่ไม่ได้เชิญชวนปรากฏขึ้น หนึ่งในนั้นดูผอมบาง สวมชุดคลุมสีดำและสายตาเต็มไปด้วยความประสงค์ร้าย

ด้านข้างเขาเป็นชายชรา ใบหน้าริ้วรอยเหี่ยวย่น แต่มีบรรยากาศพิเศษเฉพาะที่ปลดปล่อยออกมา บรรยากาศนั้นทำให้กลิ่นอายของชายผอมเด่นชัดขึ้น

ตอนนี้เขายืนอยู่ด้านนอกเมืองด้วยกระจกโบราณ ฝ่ามือสร้างเป็นผนึกอย่างมั่นคงพลางคำนวณอะไรบางอย่าง

ชายชุดคลุมดำพูดขึ้นเต็มไปด้วยจิตสังหาร “สหายเซียนฉีหมิง เจ้าคำนวณได้ว่าอย่างไรบ้าง?”

เซียนคนนั้นขมวดคิ้วพลางกล่าว “เถิงฮว่าหยวน เจ้าไม่รู้จักกระทั่งชื่อหรือลักษณะของคนผู้นั้น แล้วข้าจะหาเขาด้วยแค่พลังคำสาปได้เช่นไรกัน?”

ชายชุดดำคือเถิงฮว่าหยวน เขาจ้องที่ชายอีกคนและพูดเน้นเสียง “สหายเซียนฉีหมิง ข้าจะไปนำสิทธิ์ของหุบเขาหวู่เฟิงให้เจ้าใช้ความสามารถการพยากรณ์สวรรค์ได้ หากเจ้าสามารถหาตระกูลของครอบครัวมันเจอ เมื่อนั้นข้าจะช่วยเจ้าทุกอย่างที่เจ้าต้องการถ้าข้าสามารถช่วยได้”

เซียนคนนั้นครุ่นคิดชั่วครู่ เขาถอนหายใจและพูดออกมา “ก็ได้ ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุด แต่สหายเถิงเอ๋ย การล้างแค้นทั้งหมดเป็นจุดเริ่มต้นแห่งบาปกรรม หนี้ทั้งหมดนั้นจะมีผู้เก็บเอง ข้าหวังว่าท่านจะไม่สังหารมากเกินไปนัก...”

.........................