ตอนที่ 103 ภัยพิบัติอันแสนเศร้า (2)
เถิงฮว่าหยวนยิ้มอย่างมีเลศนัยพลางปลดปล่อยจิตสังหารอันแข็งแกร่งและคิดในใจ ‘ลี่เออร์ ปู่จะแก้แค้นให้เจ้าเอง!’ ขณะที่คิดเรื่องเถิงลี่ เถิงฮว่าหยวนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าโศกในใจ ศิษย์ของตระกูลเถิงรุ่นที่สี่อันโดดเด่นกลับต้องมาถูกฆ่าโดยคนอื่นเช่นนี้
หลังจากเถิงลี่ตาย เถิงฮว่าหยวนขุดคุ้ยลงไปลึกขึ้นและพบได้ว่าความจริงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นอกเหนือจากหวังหลิน ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับมันจะถูกเถิงฮว่าหยวนจดจำไว้
เซียนอีกคนถอนหายใจพลางพูดขึ้น “สหายเถิง จากการคาดคำนวณของข้า คนผู้นั้นอยู่ที่หุบเขาจูหมิง ทำไมเจ้าต้องการจะตามหาตระกูลเขาอีก? ลืมเรื่องนี้ซะเถอะ หนี้ทุกอย่างจะมีคนเก็บเอง หากเจ้าใช้ความโกรธไปลงกับเหล่าคนธรรมดา มันจะดูไม่ดีนัก”
ใบหน้าเถิงฮว่าหยวนลดต่ำลงขณะจ้องไปที่เซียนอีกคนโดยไร้คำพูด
เซียนผู้นั้นยิ้มอย่างขมขื่นพลางส่ายศีรษะ เขาถือกระจกทองแดงและสร้างเป็นผนึกขึ้นบนมือขวา ทันใดนั้นกระจกทองแดงได้ลอยไปบนอากาศ เริ่มเคลื่อนไหวไปรอบๆราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง แต่สักพักก็ลอยกลับมาเนื่องจากไม่อาจค้นหาทิศทางได้
เซียนผู้นั้นขมวดคิ้ว เขารู้ว่าที่เป็นแบบนี้เพราะว่ามีเบาะแสน้อยมาก เขาชี้ไปที่กระจกและมันก็ลอยกลับเข้ามาบนฝ่ามือ
เขากัดนิ้วและรีบวาดสัญลักษณ์ไปบนกระจกด้วยโลหิตตัวเอง จากนั้นโยนกระจกออกไปอีกครั้ง ตอนนี้มันขยายขนาดขึ้นหลายเท่าจนกลายเป็นขนาดเท่าเดิม กระจกใสสะอาดและมีระลอกคลื่นบนผิวกระจก
กระจกหันหน้าเข้าหาเถิงฮว่าหยวน
เซียนผู้นั้นพูดขึ้นด้วยท่าทีเคร่งเครียด “ไม่ต้องตกใจสหายเถิง กระจกของข้าจำเป็นต้องดูดซับกลิ่นอายของคำสาประหว่างเจ้าทั้งคู่”
ควันสีดำออกมาจากหน้าผากเถิงฮว่าหยวนและเข้าไปในกระจก ระลอกคลื่นบนกระจกเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นบ้านขนาดใหญ่ประทับบนนั้น
สายตาเถิงฮว่าหยวนเต็มไปด้วยความอาฆาต หลังจากเขาเห็นก็ได้หันไปมองเซียนด้านข้าง
เซียนด้านข้างลังเลและถอนหายใจออกมา โบกมือขวาให้กระจกลอยไปบนพื้น มันขยายขนาดจนใหญ่เทียบเท่ากับคนหนึ่งคน เซียนผู้นั้นฝืนยิ้มและเดินเข้าไปในกระจก
เถิงฮว่าหยวนยิ้มขึ้นและตามหลังเข้าไป
หลังจากทั้งสองเข้าไป กระจกก็หดตัวจนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมืองขนาดเล็กแห่งหนึ่งห่างจากจุดที่พวกเขายืนอยู่เมื่อครู่หนึ่งร้อยลี้ ตระกูลหวังเป็นตระกูลขนาดใหญ่ในแถบนี้ พูดได้ว่าลูกหลานตระกูลหวังรุ่นต่อไปมีแววจะได้เข้าร่วมสำนักเซียน ข่าวพวกนี้กระจายไปรวดเร็วในพื้นที่เล็กๆแถบนี้
ตระกูลหวังเริ่มต้นจากเป็นตระกูลช่างไม้ของร้านค้าหลากหลายแห่งในเมืองมาก่อน จากสายตาคนนอก ตระกูลหวังเป็นตระกูลขนาดใหญ่ในบริเวณนี้
ทั้งเมือง อาคารสิ่งก่อสร้างหรูหราแทบทั้งหมดจะเป็นของบ้านหลักตระกูลหวัง วันนี้ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าราวกับเตาหลอมที่กำลังย่างโลกทั้งใบ ยามของตระกูลหวังกำลังพนักพิงกับเสาต้นหนึ่ง พัดตัวเองให้คลายร้อน
ชุดผ้าฝ้ายชุ่มเงื่อทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
“อากาศอะไรจะร้อนขนาดนี้ เราจะใช้ชีวิตแบบนี้ได้เช่นไรกัน?” ยามคนนั้นเปิดเสื้อคลุมและพัดหนักๆ
ขณะนั้นประตูด้านข้างเปิดขึ้นและสาวใช้เดินออกมาพร้อมกับถ้วย นางเถิงผ่านครัวเรือนหลักจนมาถึงที่ประตู สาวคนนั้นหัวเราะออกมา “ท่านพี่ ดื่มน้ำมะพร้าวให้คลายร้อนสักหน่อยเถิด”
ยามคนนั้นหันกลับมาเห็นหญิงาว เขายิ้มขึ้นทันทีและรับถ้วยไว้ จากนั้นดื่มทั้งหมดในอึกเดียว ในไม่ช้าความรู้สึกเย็นๆได้แล่นผ่านร่างกายและถอนหายใจออกมา “นายท่านช่างรู้วิธีดื่มด่ำกับตัวเองจริงๆ น้ำมะพร้าวเย็นนี้อร่อยมาก น้องเล็ก ตอนที่ออกมานายน้อยเฮ่าคงไม่เห็นเจ้าใช่ไหม?”
หญิงสาวหยิบพัดออกมาและช่วยพัดให้กับยามหน้าประตูขณะที่นางยิ้มขึ้น “ท่านพี่สบายใจได้ นายน้อยไม่เห็นข้าหรอก ข้าใช้จังหวะที่เขาไม่ออกมาข้างนอก นอกจากนายท่านเฮ่าจะเป็นคนดีมากแล้ว แม้เขาจะเห็นข้า ก็ไม่มีปัญหาอันใดหรอก”
ยามผู้นี้สบายขึ้นเมื่อน้องสาวคนเล็กพัดให้ เขาพยักหน้า “นั่นก็จริง นายน้อยเฮ่าเป็นเซียน เขาจะมาสนใจเรื่องของเราทำไมกันเล่า? น้องเล็กเจ้าเอาอกเอาใจนายน้อยให้มาก หากเจ้าได้รับความสนใจจากนายน้อยเฮ่าและกลายเป็นภรรยาน้อย เมื่อนั้นพี่เจ้าคงจะสบายขึ้น แค่ให้ข้าทำงานดูแลบ้าน ข้าก็มีความสุขแล้ว”
แก้มหญิงสาวแดงระเรื่อขณะกรอกตาใส่พี่ชายตัวเอง “ท่านพี่ ท่านทำงานให้กับตระกูลหวังนานกว่าข้าอีก ข้าได้ยินมาว่ามีนายน้อยทั้งหมดสามคนที่ได้เลือกเป็นเซียน แต่ข้าอยู่ที่นี่มาสามปีแล้วและนอกจากนายน้อยเฮ่า ข้าก็เห็นเพียงนายน้อยโจวเพียงครั้งเดียว นายน้อยคนที่สามไปไหนเสียหล่ะ?”
ยามคนนี้พูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ตามที่ข้ารู้ นายน้อยคนที่สามชื่อว่าหวังหลิน เขาไม่อาจเปรียบเทียบกับนายน้อยเฮ่าและนายน้อยโจวได้ ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็น….” ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น ทันใดนั้นปากก็ปิดสนิทและจ้องไปบนท้องฟ้า
เขาเห็นแสงสายรุ้งหลากสีเส้นหนึ่งพุ่งเข้าหาและร่อนลงบนพื้นในพริบตาเดียว ปรากฏเป็นผู้เยาว์ชุดดำ ผิวเนียนละเอียดราวกับหยกและใบหน้าดูหล่อเหลามาก เขาสะพายกระบี่บนหลัง
แต่หากมองใกล้ๆจะเห็นว่าเขาคนนี้ไม่ได้เป็นเด็กแล้ว มีริ้วรอยหลายเส้นบนขอบตา ความเย่อหยิ่งไม่มีอยู่แล้วแต่แทนด้วยคนมีอายุแทน
“นายน้อย...นายน้อยโจว” ยามพูดตะกุกตะกักขณะที่รีบโค้งคำนับ
หญิงสาวจ้องไปบนทางที่นายน้อยร่อนลง นางรีบซ่อนตัวเองด้านหลังพี่ชาย
คนผู้นี้คือหวังจัว เขาขมวดคิ้วพลันมองยามด้านหน้าและพูดขึ้น “เจ้าชื่อหวังเถาใช่ไหม?”
ยามคนนั้นไม่คิดว่าหวังจัวจะจำชื่อเขาได้ จิตใจเขาเพิ่มขึ้นทันทีพลางตอบกลับ “นายท่าน ใช่แล้วข้าชื่อหวังเถา”
หวังจัวลังเลเล็กน้อยและพูดช้าๆ “หวังเถา ใครบอกเจ้าเรื่องหวังหลิน? พวกเขาพูดว่าอะไร?”
จิตใจหวังเถาสั่นเทาขณะพูดขึ้น “มันเป็น...พวกแม่บ้านที่พูดกัน พวกนั้นพูดว่าเขาละอายใจที่จะกลับบ้านและเป็นแค่เศษขยะที่พยายามต่อสู้กับท่านเพื่อสิทธิ์การเป็นเซียน”
หวังจัวคิดเงียบๆเป็นเวลานาน เขาถอนหายใจออกมาพึมพำกับตัวเองให้กับหวังเถา “ขยะ...เทียบกับเขาแล้ว ข้ากลัวว่าข้าจะเป็นขยะเสียเองจริงๆ”
หวังเถาตกใจ เขาได้ยินที่หวังจัวพูดและยิ่งงุนงงมาก ขณะเดียวกันเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้าน เด็กหนุ่มคนนี้ดูแข็งแกร่งและหล่อมาก เขายืนอยู่ตรงนั้นมองดูหวังจัวและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หวังจัว ไม่เจอกันนาน”
หวังจัวยิ้มอย่างขมขื่นและพูดขึ้น “หวังเฮ่า พวกเราไม่เจอกันมาสามปีแล้ว เจ้าเปลี่ยนไปมาก”
ใบหน้าหวังเฮ่าเต็มไปด้วยความหดหู่ ทั้งคู่เงียบขรึม ยามชื่อหวังเถาและน้องสาวที่ยืนด้านข้างไม่กล้าหายใจ พวกเขารู้ว่าสองคนนี้คืออัจฉริยะของตระกูลหวัง ที่สถานะสูงส่งกว่าทั้งสองคน
หวังเฮ่ากระซิบ “มีข่าวเกี่ยวกับหวังหลินบ้างไหม?”
หวังจัวเผยสีหน้าซับซ้อน “หลังจากเขาออกจากสำนักเหิงยั่ว ก็ไม่มีข่าวอะไรเลย”
หวังเฮ่าถอนหายใจและถามขึ้น “ตอนนี้ท่านมีระดับฝึกตนเท่าไหร่แล้ว? ด้วยพรสวรรค์ของท่านควรจะต้องตาเหล่าผู้อายุโสของสำนักซวนต้าวได้”
หวังจัวพูดอย่างขมขื่น “มันเพิ่มขึ้นยากมาก ข้าอยู่ที่ขั้นรวบรวมลมปราณระดับสิบเอ็ด และเพราะว่าข้าโชคดีชนะประลองเมื่อปีที่แล้วจึงสามารถเข้าไปด้านหลังภูเขาได้ ข้าสงสัยว่าระดับฝึกตนของเขาอยู่ระดับอะไรแล้ว อย่างน้อยเขาต้องอยู่ระดับสิบห้าแล้วแน่ๆ”
หวังเฮ่าคิดอยู่ขณะนึงและหัวเราะกับตัเวอง “ข้าระดับเจ็ดเมื่อหลายปีก่อน ช่องว่างนั้นกว้างใหญ่นัก”
หวังเถาตกตะลึง แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ารวบรวมลมปราณหรือพื้นฐานลมปราณคืออะไร จากที่นายน้อยทั้งสองท่านคุยกัน เขาเข้าใจได้ว่าหวังหลินไม่ได้เป็นขยะตามที่พวกแม่บ้านใส่สีตีไข่
ขณะเดียวกันนั้น ท้องฟ้าได้มืดครึ้มทันทีและความร้อนในอากาศจู่ๆก็หายไป ปรากฏกระจกขนาดใหญ่ขึ้นบนท้องฟ้าอย่างเงียบๆ เกิดระลอกคลื่นบนผิวกระจกพร้อมกับมีคนสองคนเดินออกมา หนึ่งในนั้นมีกลิ่นอายราวกับเซียน และอีกคนปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย
แรงกดดันขนาดใหญ่ส่งลงมาจากบนฟ้า
ท่าทางของหวังจัวและหวังเฮ่าเปลี่ยนไปอย่างมาก พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ หวังจัวรีบคำนับด้วยสองมือ “ผู้น้อยหวังจัวแห่งสำนักซวนต้าว ทักทายผู้อาวุโสทั้งสองท่าน”
เซียนราวกับเทพตนนั้นจ้องมองและถามขึ้น “สำนักซวนต้าวรึ? เจ้ามีหลักฐานไหม?”
หัวใจหวังจัวราวกับหยุดไปชั่วขณะ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแย่ๆกำลังเกิดขึ้นพลันรีบเอาหยกยืนยันตนออกมา เซียนนำหยกชิ้นนั้นไปตรวจสอบ จากนั้นก็มองไปที่หวังเฮ่า “เจ้าก็ด้วยหรือ?”
หวังเฮ่าฉลาด เขาพยักหน้าโดยไม่ลังเล
เถิงฮว่าหยวนหายใจออกขณะโบกมือขึ้น เสียงดังปัง ศีรษะยามและน้องสาวระเบิด! เลือดสาดกระจายนองพื้น
เมฆสีเหลืองสองก้อนลอยออกมาจากร่าง เถิงฮว่าหยวนหยิบธงออกมาและเก็บเมฆทั้งสองไว้
ไม่นานหลังจากนั้น ใบหน้าทั้งสองคนปรากฏบนธงผืนนั้นแฝงความเจ็บปวด ทั้งสองคือยามและน้องสาวเขา
เถิงฮว่าหยวนพูดเคร่งขรึม “วันนี้ จะไม่มีใครรอดชีวิต!” เขาก้าวผ่านหวังจัวและหวังเฮ่าเข้าไปในบ้านหลังใหญ่
ส่วนหวังหลิน เขากำลังเคลื่อนร่างผ่านหุบเขาจูหมิงอย่างรวดเร็ว ด้านหลังเป็นเซียนบุรุษสองคนและหนึ่งสตรี พวกเขาตามล่ามาเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ขณะที่หวังหลินกำลังวิ่งหนีอยู่นั้น หัวใจเจ็บปวดอย่างรุนแรงราวกับมีเข็มทิ่มแทง ความเจ็บปวดนี้ไม่ได้มาจากบาดแผล แต่รู้สึกขึ้นในจิตใต้สำนึก
อาการตื่นตกใจที่ไม่รู้จักนี้สร้างความหงุดหงิดขึ้นในใจเขา
.........................