ตอนที่ 91 สุดยอดพลังปราณหยิน
เถิงฮว่าหยวนก้าวอย่างระวังผ่านเข้ามาในป่าพร้อมกับปลดปล่อยสัมผัสวิญญาณออกมาด้วย ทันใดนั้นใบหน้าส่องสว่างขึ้นเมื่อพบหวังหลิน แต่เมื่อกำลังจะเคลื่อนย้ายระยะไกล สายลมหอบหนึ่งพัดหอบมาน่าขุนลุก ตามมาด้วยเสียงโศกเศร้า
“ออกไปจากที่นี่ซะ!”
เถิงฮว่าหยวนเปลี่ยนสีหน้าทันที รีบถอยหลังโดยไม่ต้องคิดและมองไปรอบๆ
เขามองสายหมอกมืดที่กำลังลอยเข้ามาไกลลิบๆ หมอกมืดนั้นล้อมรอบไปด้วยสายลมน่าขนลุก มือแห้งเหี่ยวโผล่ออกมาจากหมอกมืดพุ่งเข้าหาเถิงฮว่าหยวน
เถิงฮว่าหยวนตรวจสอบหมอกด้วยสัมผัสวิญญาณจึงตกตะลึง ระดับพลังฝึกตนของคนผู้นี้อยู่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลาง นั่นทำให้เขาถอยหลังอีกครั้ง
มือเหี่ยวกวาดวาบ มือยักษ์อีกข้างหนึ่งปรากฏและกำลังจะจับตัวเถิงฮว่าหยวน
เถิงฮว่าหยวนยิ้มขึ้นมา เขาหันตัวกลับพลันวิ่งหนีโดยไม่ลังเล เพราะว่าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลางไม่ใช่เรื่องที่เขาจะตอแยได้ เขารู้ว่ามีเซียนที่แข็งแกร่งที่นี่ แต่ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลาง
เถิงฮว่าหยวนหายตัววับราวกับกระพริบตา มือยักษ์ข้างนั้นปล่อยไอเย็นเฉียบและหายไปเช่นกัน
เถิงฮว่าหยวนปรากฏตัวในท้องฟ้านอกป่า สีหน้าเปลี่ยนไปพลันมือยักษ์ได้ปรากฏเงียบๆด้านหลังและกำลังจะจับอย่างโหดเหี้ยม
เถิงฮว่าหยวนร้องคร่ำครวญ เขารีบหยิบหนังสัตว์ออกมาชิ้นหนึ่งพลันชี้ไปที่มือข้างนั้น แผ่นหนังสัตว์ได้ห่อตัวเขาและเคลื่อนย้ายห่างออกไป หลบหนีมือยักษ์ได้อย่างฉิวเฉียด
แม้เขาจะหลบหนีได้ แต่ก็ยังโดนตีด้วยนิ้วมือยักษ์ พลันกระอักออกมาเป็นเลือด ใบหน้าเริ่มจะเซีดเผือด แต่ต้องรีบหนีออกมาโดยไม่หันกลับไปมอง
หมอกสีดำปรากฏขึ้นมาในอากาศ หดตัวลงอย่างช้าๆจนกลายเป็นร่างคนผู้หนึ่ง ร่างนั้นแห้งเหือดเหลือแต่กระดูก เขามองตรงไปทิศทางที่เถิงฮว่าหยวนหนีไป แต่ทว่าไม่ได้ไล่ตามและกลับเข้าไปในป่า
เขาเหินกลับไปรอบๆอย่างใจเย็นมองหาอะไรบางอย่าง ไม่นานหลังจากนั้นก็หยุดบนพื้นที่ว่างแห่งหนึ่ง จ้องไปที่พื้นไร้อารมณ์ใดๆ จากนั้นกระแทกพื้นด้วยมือเกิดเสียงดังปัง รอยแตกขนาดใหญ่ปรากฏบนพื้นทันที
เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งดังออกมาจากพื้น ร่างมืดทมิฬเหินเหินออกมาพยายามหนี ร่างแห้งเหือดนั้นปล่อยไอเย็นเฉียบครอบพื้นที่ด้วยกรงขัง ร่างมืดตีเข้ากับกรงขังและโดนสะท้อนกลับ มันไม่ได้พยายามวิ่งหนีแต่คุกเข่าลงและเริ่มหงุดหงิด
ร่างแห้งเหือดพูดอย่างช้าๆ “หลังจากไม่ได้เจอข้ามาร้อยปี ไม่คิดว่าร่างของนายท่านจะกลายเป็นผีดิบและมีวิญญาณเป็นของตัวเองเช่นนั้น เจ้ายังถือเป็นคนในยุคของข้า ดังนั้นข้าจะให้เจ้ามีชีวิตต่อไปแต่เจ้าต้องติดต่อนายท่านเพื่อช่วยข้าตามหาเขา”
ร่างผีดิบพยักหน้าอย่างรวดเร็วจ้องชายแห้งเหือดนั้นด้วยแววตาหวาดกลัว
ร่างแห้งเหี่ยวโบกมือตัวเอง กรงขังจึงหายไป เขาจ้องไปที่ซอมบี้และพูดด้วยเสียงมืดมน “มาสิ นำข้าไปหานายท่าน หากเจ้าช่วยข้าหาวิญญาณขั้นวิญญาณแรกกำเนิดของนายท่านได้ เมื่อใดที่ข้ากลืนมันและเป็นอิสระ ข้าจะช่วยเจ้าให้กลายร่างเป็นมาร”
ผีดิบตัวนั้นตื่นตัวและเผยใบหน้าปิติยินดี มันพยักหน้ารวดเร็วและวิ่งเข้าไปในป่า
ชายคนนั้นเดินตามเข้าไปอย่างลำพัง
ขณะเดียวกัน ที่ไหนสักที่ในซากปรักหักพังที่ไม่มีแสงส่องถึง ร่างชายผิวสีฟ้ามองไปทิศทางที่หวังหลินอยู่ด้วยแววตาเอ๋อๆ
ส่วนหวังหลิน แม้ว่าจะดูดซับพลังหยินจำนวนมาก ทั้งหมดล้วนคุณภาพดีระดับ 6 หรือระดับ 7 ด้วยคุณภาพนี้ไม่ว่าจะดูดซับไปมากเท่าไหร่ พลังวิญญาณก็เปลี่ยนไปไม่มากและไม่นานพอที่จะให้เขาทำการทะลวงผ่านขั้นได้ หวังหลินหันไปจ้องที่ซากปรักหักพังที่ลึกขึ้น เป้าหมายของเขาอยู่บนนั้น!
เขาตัดสินใจสำรวจเล็กน้อยและหาสถานที่ที่มีพลังหยินคุณภาพสูงที่สุดอยู่
ยิ่งคุณภาพสูงเท่าไหร่ โอกาสสำเร็จในการทะลวงขั้นก็สูงเท่านั้น
เวลาเที่ยงคืนของวันเข้ามาถึง หวังหลินสร้างผนึกวิชาค้นหาพลังหยินพลางเดินผ่านเข้าไปในซากปรักหักพัง
หลังจากเดินเข้าไปไกลสักหน่อย แสงสีแดงสว่างวาบขึ้น เสียงดังป๊อปแบ่งออกเป็นสองลูก
ขณะที่แสงสีแดงแบ่งออกเป็นสอง หวังหลินเผยความยินดี เขารู้ว่านั่นหมายถึงพลังหยินได้ทะลุผ่านจากคุณภาพทั่วไปและกลายเป็นคุณภาพดี
ขณะที่ก้าวเดินเข้าไปข้างหน้า แสงสีแดงสองเส้นได้เติบโตขึ้นและระดับเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
คุณภาพดีระดับสอง ระดับสาม….จนถึงระดับห้า หวังหลินก็หยุดลง เขาอยู่บนถนนกว้างที่มีซากปรักหักพังทั้งสองด้าน เห็นได้ชัดว่ามันเวลามาอย่างยาวนาน เคยเป็นพื้นที่ที่มีประชากรเยอะมากมาก่อน
หวังหลินคำนวนระยะทางเล็กน้อย สังเกตได้ว่าเขายังเดินเข้ามาไม่ถึงหนึ่งพันส่วนของระยะพื้นที่เมือง ดังนั้นจึงเริ่มเคลื่อนที่เร็วขึ้น
แสงสีแดงที่ถูกปล่อยออกมาจากวิชาเซียนเรืองแสงสะดุดตาในความมืด หวังหลินปล่อยสัมผัสวิญญาณออกมาคอยตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบตัวไปเรื่อยๆ
คุณภาพของพลังหยินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คุณภาพดีระดับหก...เจ็ด…แปด...
ดวงอาทิตย์ขึ้นลงผ่านไปสี่วัน หวังหลินก็มาถึงส่วนลึกของซากปรักหักพังเรียบร้อย เขาเดาว่าจุดที่เขาอยู่ตอนนี้คือใจกลางเมือง หากไม่ใช่ก็ไม่น่าจะไม่ไกลจากที่นี่
ระหว่างทางเขาเห็นหลุมลึกหลายสิบหลุม กว้างหลายเมตรและเต็มไปด้วยน้ำฝน มีแม้แต่งูกระโดดเข้าหาหวังหลินพร้อมกับเขี้ยวพิษ
นอกจากนี้ซากปรักหักพังที่โดนทำลายล้างยิ่งแย่ขึ้นเรื่อยๆ ตามทางที่เขาอยู่ตอนนี้ ไม่มีสิ่งก่อสร้างที่สูงกว่าสิบเมตรเลย
นอกจากหญ้ารกแล้วก็ยังมีหนองบึง มีสิ่งมีชีวิตลึกลับอาศัยในบึงอยู่บ้าง ครั้งหนึ่งหวังหลินเกือบจะโดนเขมือบด้วยสิ่งมีชีวิตพวกนี้ไป ทำให้เขาตื่นตัวต่อสิ่งรอบด้านตลอดเวลา
แม้จะเข้าไปส่วนลึกของซากปรักหักพัง คุณภาพพลังหยินยังไม่เคยมีคุณภาพหนากว่านี้
ในคืนหนึ่งของวันที่ห้า เขาเดินออกจากหนองบึง ด้านหน้าเป็นกลุ่มสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่ง แม้ว่าสิ่งก่อสร้างทั้งหมดนี้จะทรุดตัวลง แต่ยังพอเดาได้ว่ามันเคยมีประชากรเยอะมากขนาดไหน
จุดที่สะดุดสายตาที่สุดก็คือหลุมบนพื้นที่กว้างพันเมตรและลึกเป็นร้อยเมตร
หลุมยักษ์นี้แปลกประหลาดมาก ปกติหลุมแบบนี้ควรจะเต็มไปด้วยน้ำฝน แต่นี่กลับไม่เห็นน้ำสักหยด
หวังหลินมองเข้าไปใกล้ๆ แม้ว่าจะเป็นกลางคืนและมีพลังหยินบนเส้นทางอยู่หนาแน่น หวังหลินเห็นถ้ำรังผึ้งจำนวนมากใต้หลุมยักษ์อย่างชัดเจน
ขณะที่หวังหลินมาถึงขอบของหลุมเพื่อตรวจสอบมัน แสงสีแดงบนมือเขาก็เกิดปฏิกิริยาขึ้น แสงสีแดงได้รวมกันเป็นหนึ่ง จากนั้นแยกออกมาเป็นสาม ชี้ให้เห็นว่าพลังงานหยินที่นี่มีคุณภาพดี
สายตาหวังหลินส่องสว่าง เขาไม่ได้รีบเข้าไปแต่เดินรอบๆหลุมอย่างระมัดระวัง เมื่ออยู่ด้านตรงข้าม แสงสีแดงสามอันก็ได้กลับไปเป็นหนึ่งและสองอีกครั้ง
เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุผลว่าที่พลังงานหยินได้มีคุณภาพดีนั่นก็เพราะหลุมยักษ์นี้
หวังหลินเงยศีรษะขึ้นมองไปบนท้องฟ้า ด้วยความลึกของหลุมนี้ มันควรจะเต็มไปด้วยน้ำฝนจากเวลาผ่านไปหลายปี
หวังหลินชำเลืองมองและเพ่งสมาธิไปบนหลุมรังผึ้งนับไม่ถ้วนข้างใต้หลุมยักษ์
แม้ว่าเขาไม่รู้ว่าหลุมพวกนี้จะลึกแค่ไหน น้ำทั้งหมดก็ต้องตกผ่านลงไป หวังหลินสัมผัสหลุมและพบว่าพวกมันยังชื้นอยู่ นี่จึงเป็นการยืนยันความคิดของเขาก่อนหน้านี้
หวังหลินลูบคางตัวเองหลังจากคิดชั่วครู่ เขาไม่ได้กระโดดเข้าไปทันทีแต่นั่งลงและรอให้ถึงตอนเช้า
เวลาผ่านไปยาวนานจนถึงเช้าของอีกวัน ขณะที่พลังงานหยินได้จางหายไป หวังหลินจึงกระโดดเข้าไปในหลุมยักษ์ พอถึงพื้น หวังหลินปล่อยกระบี่เหินสีเขียวออกมา ปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งความเย็น
แสงด้านหน้าหวังหลินส่องสว่างขึ้นและสว่างขึ้นเรื่อยๆเปลี่ยนจากหนึ่งไปเป็นสอง จากนั้นก็เป็นสาม
คุณภาพทั่วไประดับสี่...หก...แปด...สิบ...คุณภาพดีระดับสาม...หก...สิบ...และผ่านเข้าไปคุณภาพหนาแน่น
นี่ยังไม่ถึงเที่ยงคืน พลังหยินกลับได้คุณภาพหนาแน่นถึงระดับหนึ่ง
ใบหน้าหวังหลินเผยความสุข ปลดปล่อยสัมผัสวิญญาณออกมาและพบสาเหตุว่าทำไมคุณภาพพลังหยินถึงได้สูงขึ้นที่นี่ นั่นก็เพราะมีบางอย่างอยู่ในหลุม
เขาเห็นเศษพลังหยินออกมาจากหลุมและรวมเข้ากับพลังงานหยินรอบด้าน
วันเวลาผ่านไป แสงสีแดงได้ส่องสว่างขึ้นและเข้าสู่คุณภาพหนาแน่นระดับ พอถึงเที่ยงคืนพลังหยินก็เพิ่มเป็นคุณภาพหนาแน่นระดับห้า
หวังหลินไม่ลังเลอีกต่อไปและเริ่มฝึกฝนอย่างรวดเร็ว
ยิ่งเขาสะสมพลังหยินมากขึ้นก็พบกับความแตกต่างได้อย่างหนึ่ง พลังหยินนี้มีความบริสุทธิ์มากกว่าครั้งก่อนสิบเท่า
การเปลี่ยนแปลงคุณภาพทำให้เปลี่ยนแปลงปริมาณขึ้นด้วย หมายความว่าเมื่อเขาสะสมพลังหยินที่นี่ในหนึ่งนาทีนั่นก็จะได้มากกว่าการสะสมพลังหยินครั้งก่อนสิบนาที
ไม่นานนัก พลังหยินบนหน้าอกก็เริ่มก่อร่างเป็นลมหมุนพลังหยิน ขณะที่มันหมุนเร็วมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดขึ้นอีกครั้ง
พลังหยินในระยะร้อยฟุตรอบหวังหลินเปลี่ยนไปและพุ่งเข้าหาเขา
สายลมบนหน้าอกดูดซับพลังหยินมากขึ้น ไม่นานนักมันก็มีรัศมีหนึ่งพันฟุต
ระยะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พันสองร้อยฟุต พันสี่ร้อยฟุต พันห้าร้อยฟุต….
พลังหยินระยะสิบลี้เคลื่อนเข้าหาราวกับถูกบังคับหาหวังหลินและกลืนลงไป
ขณะที่พลังงานหยินบนหน้าอกใหญ่ขึ้น หวังหลินก็เริ่มจะรู้สึกเหมือนกับกำลังเสียการควบคุม เขารู้ขีดจำกัดของตัวเอง จึงได้ควบคุมพลังงานหยินเพื่อเริ่มทะลวงผ่านจุดฉีไห่ขั้นแรก
ลมพลังหยินราวกับคมมีดกระบี่ที่หมุนวนตลอดเวลากระแทกให้จุดฉีไห่เปิดขึ้น ไม่นานนักจุดฉีไห่ก็ค่อยๆเผยให้เห็นอาการว่ามันกำลังจะเปิด
อาการนั้นยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หากเปรียบเทียบการทะลวงขั้นครั้งนี้คือการทำลายกำแพง กำแพงนี้ก็เต็มไปด้วยรอยแตกและพร้อมจะพังทลายตลอดเวลา
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง จุดฉีไห่ก็ไม่สามารถคงสภาพไว้ได้และพังทลายลงเสียงดังปัง
ศักยภาพพลังงานจำนวนมหาศาลที่ระเบิดออกมาจากจุดฉีไห่เหมือนกับภูเขาไฟระเบิด มันรวมพลังงานหยินเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วสร้างเป็นพลังหยินอันแข็งแกร่งอย่างมาก
ในตอนนี้พลังปราณในจุดตันเถียนของเขาเริ่มไม่สงบ โคจรพลังหยินและเริ่มจะกลืนกินเข้าไป
เมื่อเศษพลังหยินถูกสร้างขึ้น พลังปราณของหวังหลินก็กลืนกินมันลงไปเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเอง พลังปราณหวังหลินค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
จุดฉีไห่ของหวังหลินปรากฏกลุ่มก๊าซปลดปล่อยคลื่นพลังสีฟ้าออกมา
หวังหลินสัมผัสพลังแปลกประหลาดอย่างมากในร่างกาย สายตาส่องสว่างขึ้นสัมผัสกับหินข้างกายเบาๆ
ในทันทีที่มีแสงวาบสีฟ้า เขาปล่อยพลังงานหยินไปด้วยทำให้ก้อนหินก็ถูกแช่แข็งทันที
หวังหลินสูดหายใจลึกพลางเตะก้อนหินแช่แข็งอย่างรวดเร็ว เกิดรอยร้าวหลายรอยขึ้นมา ก้อนหินแตกเป็นเศษละเอียด
หวังหลินตรวจสอบอย่างรอบคอบ สูดลมหายใจหนาวเหน็บ ยิ่งมองดูอย่างใกล้ชิดเขายิ่งพบว่าโครงสร้างภายในหินได้เปลี่ยนไป มันไม่เหมือนกับหินแต่เหมือนกับผลึกน้ำแข็งมากกว่า
อีกความหมายหนึ่ง พลังวิญญาณที่เขาสัมผัสครั้งเดียว ไม่ได้แค่แช่แข็งหินเท่านั้นแต่เปลี่ยนทั้งโครงสร้างไปเป็นน้ำแข็ง
หวังหลินไม่รู้ว่าหลังจากกลืนพลังงานหยินเข้าไป พลังปราณเขาก็ได้เปลี่ยนไปอย่างมหาศาล หากซือถูหนานตื่นอยู่ตอนนี้ คงไม่สามารถคิดเรื่องนี้ออกได้
ในการฝึกเซียนโบราณนั้น นอกจากความต่างเรื่องระดับฝึกตนแล้ว มีอยู่สามขอบเขตสำหรับขั้นพลังวิญญาณนั่นก็คือ จวี่ เต๋า และฉี(極、道、始 Jí, dào, shǐ)
สามขอบเขตนี้ไม่ได้ถูกจัดอันดับเรียงกัน แต่คู่ขนานกันไป หนึ่งขอบเขตที่เข้าไปนี้จะไม่สามารถสลับเปลี่ยนไปขอบเขตอื่นได้
ความยากในการเข้าไปในสามขอบเขตนี้ไม่ได้สูงแต่ก็ไม่ได้ง่ายนัก ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับโชค
ในช่วงเวลาฝึกเซียนโบราณ เซียนที่มีความรู้เฉลียวฉลาดจะไม่เลือกขอบเขตจวี่ ขอบเขตจวี่มีพลังโจมตีสูงมากแต่ก็มีข้อเสียหลายอย่าง หนึ่งในข้อเสียร้ายแรงที่สุดเมื่อเข้าสู่เส้นทางขอบเขตจวี่นั้นก็คือ คนผู้นั้นจะใช้ได้เพียงพลังปราณจวี่เท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นปัญหาใหญ่ในการก้าวข้ามจากขั้นวิญญาณแรกกำเนิดสู่ขั้นเซียนตัดวิญญาณ
ขั้นเซียนตัดวิญญาณจำเป็นต้องรวมเข้ากับขอบเขตขั้นวิญญาณแรกกำเนิดและไม่ก้าวเดินไปบนเส้นทางที่สุดโต่งเกินไป
แม้ว่าขอบเขตจวี่จะมีข้อเสียแบบนั้นแต่ก็ยังมีข้อดีจำนวนมาก กล่าวได้ว่าคนที่อยู่ระดับฝึกตนเดียวกันไม่สามารถต่อต้านขอบเขตจวี่ได้
แม้ว่าคนผู้นั้นจะไม่มีโอกาสบรรลุขั้นเซียนตัดวิญญาณ แต่หลังจากบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับสูงสุด คนผู้นั้นคืออันดับหนึ่งท่ามกลางทุกคนที่อยู่ต่ำกว่าขั้นวิญญาณแรกกำเนิด
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการเพิ่มพลังฝึกตน เซียนขอบเขตจวี่ไม่ได้ต้องการสมบัติเซียนนั่นก็เพราะว่าพลังปราณของขอบเขตจวี่มีพลังปราณชนิดที่แข็งแกร่งสูงสุด
ส่วนขอบเขตเต๋าเป็นความฝันของเซียนทุกคน เมื่อพลังวิญญาณเข้าสู่ขอบเขตเต๋าได้เมื่อนั้นการบรรลุสู่ขั้นตัดวิญญาณจะเป็นเรื่องง่ายมาก
ด้วยเหตุนี้ ขอบเขตเต๋าจึงเป็นที่ต้องการมากที่สุดในโลกแห่งเซียน
ส่วนขอบเขตฉี หากกล่าวว่าขอบเขตจวี่คือความตาย ขอบเขตฉีก็คือชีวิต มันไม่ใช่ขอบเขตที่คนที่อยู่ต่ำกว่าเซียนขั้นตัดวิญญาณจะเข้าใจ
สามขอบเขตพลังวิญญาณไขว่คว้าได้มายากมากและล่มสลายลงไปในโลกของเซียนโบราณ ข้อมูลเกี่ยวกับสามขอบเขตนี้ค่อนข้างจะหายไปจำนวนมาก
ผู้ฝึกเซียนตอนนี้ไม่ได้ใส่ใจเรื่องพลังวิญญาณ สิ่งเดียวที่พวกเขานำมาใส่ใจก็คือระดับฝึกเซียน
หวังหลินไม่รู้ว่าเพราะพลังงานหยินที่เขากลืนลงไปทั้งหมด ได้เปลี่ยนพลังวิญญาณไปสู่ขอบเขตจวี่
เหตุผลทั้งหมดนั่นก็เพราะวิถีเซียนนรก มันเป็นหนึ่งในไม่กี่วิธีที่สามารถสร้างพลังวิญญาณขอบเขตจวี่ได้
แม้ว่าวิถีเซียนนรกที่ซือถูหนานให้หวังหลินมาจะไม่เหมือนกับวิชาที่มาจากโลกของเซียนโบราณ มันผ่านกาลเวลา วิธีฝึกบางส่วนสูญหายไป จึงมีเพียงผู้รับช่วงต่อที่ต้องจัดระเบียบข้อมูลที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น
ส่วนพลังวิญญาณของหวังหลินที่กำลังเข้าไปประตูขอบเขตจวี่ ปัจจัยสำคัญที่สุดก็คือลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า
หวังหลินจ้องมองปลายนิ้วตัวเอง สายตาส่องสว่างขึ้น ขณะนั้นเองเขาเงยศีรษะขึ้นและกระโดดออกไปจากหลุม เขามองเห็นร่างชายผิวสีห้าคนกำลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
………………………...