ตอนที่ 113 ผู้เหลือรอด
ซือถูหนานเล่าให้เขาฟังว่าระหว่างขั้นเซียนแปลงวิญญาณนั้น วิญญาณเซียนจะเปลี่ยนไปและขยายขนาดขึ้น ทว่าร่างกายเนื้อไม่ได้เติบโตตามไปด้วยและวิญญาณเซียนนั้นแค่ขนาดใหญ่เมื่อมันอยู่นอกร่างกาย
หวังหลินนั่งขัดสมาธิบนพื้น หยิบน้ำเต้าออกมาดื่มไปอึกใหญ่ เริ่มฝึกฝนไปให้ถึงขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลางให้ได้ เหตุผลที่เขามาฝึกที่นี่นั่นก็เพราะครั้งหนึ่งซือถูหนานได้บอกให้หวังหลินว่าการฝึกที่นี่จะช่วยให้เขาฟื้นตัวได้
วันเวลาได้ผ่านไปราวกับกระพริบตา เส้นตายในการเข้าทดสอบสนามรบต่างแดนใกล้มาถึงแล้ว เซียนจำนวนมากมาถึงด้านนอกหุบเขาจูหมิงเมื่อเดือนก่อน แต่ละคนพบตำแหน่งที่ดีที่สุดในการดูฉากเหตุการณ์นี้
ยิ่งมีเซียนมาถึงมากขึ้น พื้นที่ด้านนอกหุบเขาจูหมิงก็ยิ่งมีชีวิตชีวา แน่นอนว่าหากคนที่มีความแค้นมาเจอกัน ก็จะเกิดการต่อสู้ขนาดใหญ่ขึ้น
สนามรบต่างแดนนั้นจะเปิดขึ้นในทุกร้อยปี พื้นที่ในหนึ่งพันลี้รอบหุบเขาจูหมิงมีสิ่งก่อสร้างเตรียมไว้ การเปิดสนามรบต่างแดนได้รวบรวมเหล่าเซียนชั้นยอดของแคว้นจ้าวมารวมกันที่นี่
เมื่อเวลาเปิดของสนามรบต่างแดนใกล้เข้ามาถึง สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ก็กลายเป็นพื้นที่ตลาดขนาดใหญ่ที่สุดในแคว้นจ้าว เหล่าเซียนในแคว้นจ้าวทั้งหมดพบปะในสถานที่แห่งนี้ สร้างความครึกครึ้นให้อย่างมาก
ปรากฏวัตถุดิบหลากหลายและสมบัติเซียนหายากขึ้นที่นี่
วันนี้เหล่าเซียนจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันด้านนอกหุบเขาจูหมิง เซียนทั้งหมดมาจากสำนักต่างๆในแคว้นจ้าว
ด้านหนึ่งเป็นสำนักขนาดใหญ่ที่เป็นเจ้าของพื้นที่แห่งนี้ นอกเหนือจากนั้นก็รวมกันเป็นกลุ่ม หลงเหลือคนที่เป็นตระกูลเล็กๆ สำนักขนาดเล็ก หรือไม่ก็เป็นเซียนอิสระ
พวกชนกลุ่มน้อยไม่มีสิทธิ์ในการเข้าสนามรบต่างแดน พวกเขาแสดงให้เห็นถึงความหวังในการได้อะไรบางอย่าง ทุกครั้งที่สนามรบต่างแดนเปิดขึ้น พลังปราณจำนวนมหาศาลจะทะลักออกมา การดูดซับพลังปราณเพียงเล็กน้อยพวกนี้เท่ากับการบ่มเพาะนานนับหลายสัปดาห์
เมื่อเห็นหุบเขาจูหมิงกำลังจะเปิด ทุกคนพบว่ามีสถานที่แห่งหนึ่งรอให้เปิดขึ้นอยู่
ในยามเที่ยงของวันนี้ ท้องฟ้าสีคราม ดวงตะวันอยู่เหนือนภา อุณหภูมิค่อยๆเพิ่มสูงขึ้น
มันร้อนสุดขีด แต่ไม่มีเซียนคนใดจะสละเวลาสนใจ ทุกคนต่างเพ่งสมาธิไปที่ทางออกของหุบเขาจูหมิง
เหล่าเซียนที่เคยเจอเหตุการณ์นี้มาก่อนรู้ว่าหุบเขาจูหมิงจะเปิดในเวลาเที่ยงตรง
หากใครมองไปบนท้องฟ้าของหุบเขาจูหมิงจะพบว่ามันเป็นทรงคล้ายกับน้ำเต้า ปากของน้ำเต้าราวกับเป็นทางเข้าเพียงทางเดียว แต่ด้านของทางเข้ามีภูเขาสูงใหญ่สองลูก และ ณ ทางเข้านั้นเป็นค่ายกลแปดเหลี่ยม
ค่ายกลเริ่มส่องแสงในทันที
ไม่ไกลจากทางเข้า เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดจากสำนักมารรวมตัวกัน ในเหล่าเซียนพวกนี้มีร่างเถิงฮว่าหยวนอยู่ด้วย
สายตาเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เพ่งจิตสังหารจ้องไปที่ค่ายกลตรงทางเข้า
ค่ายกลยิ่งส่องสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นคนจำนวนแปดคนเดินออกมาช้าๆ
สายตาของเถิงฮว่าหยวนเต็มไปด้วยความผิดหวัง มือขวาหยิบธงออกมาบีบแน่นและวิญญาณหนึ่งในนั้นก็สลายไป
เมื่อเห็นคนแปดคนเดินออกมา เหล่าเซียนของสำนักจูหมิงเริ่มชี้และพูดขึ้น
“พวกเขาออกมาแล้ว ดูสิ ปกติแล้วคนแรกที่ออกมาจะเป็นคนที่เสียป้ายสิทธิ์ไป ข้าสงสัยสำนักไหนจะได้มันไป”
“อะไรกัน? ทำไมถึงมีคนออกมามากมายขนาดนี้? ปกติสำนักแรกที่ออกมาจะมีจำนวนน้อยสุดไม่ใช่หรือ”
“คนที่ออกมาข้าเห็นโจวหยู่ พวกนั้นเป็นศิษย์จากสำนักเปียวเมียว”
“ครั้งที่แล้วสำนักเปียวเมียวก็เสียสิทธิ์และครานี้ก็เสียโอกาสอีกครั้ง ดูเหมือนหนึ่งในสำนักดั้งเดิมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดไม่ได้ดีมากเท่าไหร่ หากเป็นสำนักฟู่เถียนเข้ามาร่วมด้วย พวกเราอาจจะแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ”
“พี่จ้าง คนที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักท่านเป็นเพียงขั้นแกนลมปราณระดับต้นเท่านั้น สำนักเปียวเมียวสามารถส่งบรรพชนคนไหนก็ได้มากวาดล้างสำนักท่าน สำนักเปียวเมียวล้มเหลวนั่นก็เพราะศิษย์ของสำนักมารแข็งแกร่งเกินไป”
ในเหล่าสำนักชั้นยอดทั้งแปดสำนัก นอกจากสำนักจี้เมี่ย(寂滅 Jì miè)ที่เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้เสียชีวิตไปจนทำให้เสียสิทธิ์ในการเข้าร่วม จึงเหลือเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งหมดเจ็ดสำนักในปัจจุบัน
ในตอนนี้ จ้าวสำนักเปียวเมียว ซินไฮ่ ใบหน้ามืดทมึนจ้องมองไปที่ทางเข้าอย่างเงียบๆ
ศิษย์ทั้งแปดคนของสำนักเปียวเมียวเดินออกมาด้วยใบหน้าบูดเบี้ยว การมองไปยังเหล่าคนทั้งหมดด้านนอกหุบเขาพลันได้ยินเสียงคำพูดพล่อยๆเช่นนั้นจึงทำใบหน้าแต่ละคนขึ้นสีแดงเดินก้มหัวไปทางซินไฮ่
ซินไฮ่พยายามระงับความโกรธของตัวเอง เขาใช้ทรัพยากรจำนวนมาเพื่อสิทธิ์ในการเข้าร่วมสนามรบต่างแดน เขาส่งศิษย์ไปทั้งหมดจำนวนยี่สิบห้าคน มีสามคนอยู่ระดับปลายและแปดคนขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลาง ถึงแม้ว่าศิษย์ที่หลงเหลืออยู่ทั้งหมดจะอยู่ที่ระดับต้น ทั้งเขาให้สมบัติเซียนไปจำนวนมาก แต่ดูตอนนี้สิ เหลือรอดเพียงแปดคนจากยี่สิบห้าคน
ขณะที่ซินไฮ่มองดูเหล่าศิษย์ทั้งแปด บรรพชนของสำนักหยวนเทียนนามว่า ซางกว้านหยุนที่อยู่ใกล้สุดหัวเราะให้กับเขา “พี่ซิน การพบความสูญเสียในการต่อสู้เข้าร่วมสนามรบต่างแดนไม่ใช่เรื่องใหญ่ การกวาดล้างสนามรบต่างแดนนั้นอันตรายอย่างมาก ปกติแล้วจะหลงเหลือเพียงหนึ่งในสิบส่วนที่รอดชีวิต ตอนนี้ท่านไม่ต้องกังวลกับศิษย์ของท่านอีกต่อไปแล้ว อีกร้อยปีก็มีรอบใหม่”
ซินไฮ่เหยียดยิ้ม “พี่ซางกว้านไม่ต้องถากถางข้าที่นี่ก็ได้ ตั้งแต่ที่ข้าเสียพนันไป ข้าไม่เปลี่ยนใจเรื่องข้อตกลงของเราหรอก” ขณะเดียวกันเขามองไปยังศิษย์ทั้งแปดคนและถามอย่างเศร้าหมอง “ศิษย์พี่อาวุโสของพวกเจ้าตายแล้วหรือ?”
หนึ่งในนั้นคุกเข่าลงกับพื้นพลางกระซิบ “พวกเขาตายทั้งหมด...ศิษย์คนอื่นๆก็ตายทั้งหมดเช่นกัน”
อีกเจ็ดคนที่เหลือคุกเข่าลงบนพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
จางกว้านหยุนเหยียดยิ้มในใจแต่ใบหน้าเผยความสงสาร พลางส่ายหัวเงียบๆ
ซินไฮ่ลดใบหน้าต่ำลงพร้อมกับพูดขึ้น “งั้นก็แปลว่ามีคนตายจำนวนมาก ดี! สำนักไหนสังหารเขา?”
ศิษย์คนแรกที่คุกเข่าลังเล ซินไฮ่สะบัดมือและสร้างม่านป้องกันรอบๆศิษย์ของเปียวเมียว ซางกว้านหยุนเชิดหน้าขึ้นและเหยียดยิ้มในใจ
เมื่อป้องกันสัมผัสวิญญาณของคนอื่นแล้ว ซินไฮ่จึงได้พูดคุยกับศิษย์อย่างรวดเร็ว หลังจากซินไฮ่ฟังจบ เขาตื่นตกใจและสายตาเยือกเย็น “พวกเจ้าอยู่ด้านหลังข้าไว้ ข้าต้องการเห็นว่าคนผู้นั้นเป็นใคร” ขณะเดียวกันเขาสะบัดมืออีกคราให้ม่านพลังหายไป
ซางกว้านหยุนคนที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้น “ทำไมซิ่วเหมย(虛眉 Xū méi)ไม่กลับมา?”
.........................