บทที่ 112 ซือถูหนาน

ตอนที่ 112 ซือถูหนาน

เมื่อเขาได้ผ่านมาถึงขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลาง จะทำให้ใช้วิชาเซียนอันแข็งแกร่งหลายอย่างได้ อย่างเช่นคนผู้หนึ่งในสำนักซากศพที่สามารถอัญเชิญภูติผีเพื่อต่อสู้แทน

การนำธงวิญญาณมาจากเถิงฮว่าหยวนระหว่างการต่อสู้นั้น หวังหลินจำเป็นต้องเค้นสมองคิดอย่างมาก

หลังตัดสินใจอะไรได้บางอย่าง เขานำน้ำเต้าพลังปราณออกมาสัมผัสกับลูกปัด จากนั้นเข้าไปในพื้นที่ของลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า

หวังหลินไม่ได้ฝึกฝนภายในลูกปัดนานนัก เขามองขอบเขตไร้ที่สิ้นสุด มันมีมวลก๊าซสีเทาเหนือศีรษะ ความรู้สึกกดดันอันรุนแรงมาจากก๊าซพวกนี้

พื้นที่รอบตัวเขามีมวลแสงเบาบางยาวสลัว ตอนที่หวังหลินเข้ามาในลูกปัดครั้งแรก แสงพวกนี้ไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหน แต่หลังจากธาตุวารีรวบรวมได้เสร็จสิ้น แสงพวกนี้ก็เริ่มเคลื่อนไหวแบบสุ่มและไร้ทิศทาง

หวังหลินยืนข้างในมิติและพยายามสัมผัสกับแสงในนี้ แต่มือเขาก็ตรงผ่านมันไปราวกับหวังหลินและแสงจะอยู่กันคนละชั้นกัน ดังนั้นไม่ว่าเขาจะพยายามสัมผัสมันขนาดไหนก็ไม่สามารถทำได้

แม้ว่าจะไม่สามารถสัมผัสมันได้แต่เขาก็ควบคุมมันได้ง่ายๆผ่านความคิด เพียงแค่คิด แสงก็เคลื่อนไหว สร้างเป็นหนึ่งรูปแบบเคลื่อนไหว กระจัดกระจาย หรือควบแน่นก็ยังได้ ตราบใดที่หวังหลินคิดเกี่ยวกับมัน แสงก็จะเกิดการโต้ตอบทันที

หวังหลินเคยถามซือถูหนานเกี่ยวกับแสงพวกนี้ แม้แต่ซือถูหนานเองก็ไม่แน่ใจว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง จากปากของซือถูหนาน ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้านี้แปลกประหลาดมาก มิตินี้มีเพียงความสามารถเดียว นอกจากความสามารถในการจัดการกับเวลาแล้ว ซือถูหนานก็ไม่พบอะไรอื่นอีก

ซือถูหนานรู้เรื่องพวกนี้ได้เนื่องจากสถานะเขาเป็นเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดจากแคว้นระดับหก ไม่มีใครในดาวเคราะห์เซียนกล้าหาเรื่องหรือก่อกวนเขา ก่อนจะมาได้ลูกปัดนี้

แต่หลังจากลูกปัดได้มาอยู่ในความครอบครอง กลับมีเหล่าเซียนอันแข็งแกร่งโหดเหี้ยมปรากฏตัวขึ้นและพยายามสังหารซือถูหนาน เขาบังคับตัวเองให้สละกายเนื้อทิ้งและซ่อนตัวอยู่ภายในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า อดทนให้ตัวเองมีชีวิตรอด

ซือถูหนานเล่าให้กับหวังหลินฟังก่อนหน้านี้จากพื้นฐานการวิเคราะห์ของเขา เหล่าคนที่ตามล่านั้นไม่ได้มาจากโลกเดียวกันแน่นอน ซือถูหนานแน่ใจมากเพราะระดับฝึกตนเขาตอนนี้รู้จักเหล่าเซียนเก่งๆทั้งหมดบนโลกนั้น และคนที่ถูกเรียกว่าเซียนอันดับหนึ่งนั้น ระดับฝึกตนของเขาสูงมาก

คนที่โจมตีเขาส่วนใหญ่จะมีระดับฝึกตนเท่าเทียมกันและซือถูหนานแน่ใจได้ว่ามีเพียงคนเดียวในพวกนั้นที่เอาชนะเขาได้ หากไม่ใช่เพราะว่าคนผู้นั้นเคลื่อนไหว ซือถูหนานคงไม่ยอมสละกายเนื้อทิ้งไป เนื่องจากซือถูหนานมีสหายมากหน้าหลายตา หากเหล่าคนพวกนั้นมีระดับฝึกฝนเท่าเทียมกับเขาก็คงไม่ต้องสละกายเนื้อ เพราะเขาเป็นเซียนอันดับหนึ่งในโลกเซียนแห่งนั้น ซึ่งทำให้ได้เปรียบ

ตอนที่คนผู้นั้นเคลื่อนไหว ซือถูหนานรู้ได้ว่าการเรียกคนอื่นมาช่วยไม่มีความหมาย เขาอาจจะตายก็ได้เพราะรู้ว่าระดับของคนผู้นั้นไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันกับเขา

ในใจซือถูหนานผุดคำตอบขึ้นมา คนผู้นั้นต้องมาจากแคว้นเซียนระดับเจ็ด

เมื่อคิดคำตอบนี้ได้ ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้ายิ่งทวีความลึกลับมากขึ้น ของบางสิ่งที่แม้แต่แคว้นเซียนระดับเจ็ดยังต้องแย่งชิงมามันต้องเป็นสมบัติล้ำค่ามากๆ

ซือถูหนานเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้หวังหลินฟังและเตือนเขาทุกครั้งให้ระวังตัวเองไว้ หากมีคนค้นพบลูกปัดนี้ เมื่อนั้นเราทั้งสองคนจะตายแน่นอน

ซือถูหนานคาดคำนวณแล้วว่าหากคนผู้นั้นมาจากแคว้นเซียนระดับเจ็ดจริง นั่นมันก็ง่ายที่เขาจะออกคำสั่งให้ค้นหาแคว้นเซียนระดับหก ดังนั้นจึงต้องระวังตัวอย่างมาก

หวังหลินคิดเรื่องราวทั้งหมดพวกนี้อย่างละเอียดในใจ แต่ปฏิเสธความจริงที่ว่าลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าอาจจะมีความสามารถอื่นอีก เพียงแค่การขยายเวลานั่นก็ฝืนสวรรค์พอแล้ว สำหรับเหล่าเซียนนั้นระดับฝึกฝนก็คือชีวิต ทุกครั้งที่ผ่านเข้าระดับฝึกตนใหม่ ช่วงชีวิตก็ยิ่งยืดยาวเพิ่มขึ้นอีก

นอกจากนั้นแล้วยังมีความรู้สึกเหนือกว่าทุกคน จึงพูดได้ว่าในโลกแห่งเซียนนั้น ระดับฝึกตนสำคัญที่สุด พวกมนุษย์และเซียนขั้นรวบรวมลมปราณเปรียบเป็นอะไรกับเหล่าเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณน่ะหรือ? คงเทียบได้กับสุนัขและสุกรน่าเกลียดเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่โลกแห่งเซียนเป็น

เช่นเดียวกัน ในสายตาของเหล่าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิด เซียนขั้นแกนลมปราณและพื้นฐานลมปราณถูกมองว่าเหมือนเหล่าคนธรรมดาและหากเป็นระดับเซียนแปลงวิญญาณ เมื่อนั้นเซียนขั้นตัดวิญญาณและต่ำกว่าจะถือว่าด้อยค่าและสังหารได้ตามใจต้องการ

หวังหลินเผยแววตาแน่วแน่ เขาพบเจอความโหดร้ายรุนแรงของโลกแห่งเซียนมาแล้ว โลกเซียนโหดเหี้ยมมากกว่าโลกคนธรรมดาและเขาต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้นหากต้องการอยู่รอด

เขาต้องกลายเป็นคนแข็งแกร่งเพื่อให้ทุกคนกลัวเขา จากนั้นเขาจะไม่ถูกคนอื่นรังแกได้ “ถ้าระดับฝึกตนของข้าอยู่ที่ขั้นตัดวิญญาณหรือแปลงวิญญาณ ไม่ต้องพูดถึงเถิงลี่หรอก แม้แต่การกวาดล้างตระกูลเถิง เถิงฮว่าหยวนคงไม่กล้าพูดอะไรสักคำและไม่กล้าตามหาครอบครัวข้าแน่ๆ พลัง ทุกสิ่งทุกอย่างมีพลังเป็นจุดศูนย์กาง มีเพียงการกลายเป็นเซียนที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะสามารถกำหนดความเป็นความตายได้” หวังหลินจิตใจสงบนิ่ง สายตาเยือกเย็น

เขาสูดหายใจลึก หลับตาลง ส่งสัมผัสวิญญาณกระจายออกมาภายในมิติความฝัน ไม่นานหลังจากนั้น ฝ่ามือทั้งสองข้างสร้างเป็นผนึกรูปหนึ่งยื่นออกไปจับด้วยมือขวา แสงทั้งหมดรวมเข้าด้วยกันและสร้างเป็นประตูบานหนึ่ง

นี่คือความสามารถหนึ่งที่ซือถูหนานค้นพบหลังจากลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าได้เก็บรวบรวมธาตุวารีเสร็จสิ้นคือการใช้แสงรอบๆสร้างเป็นค่ายกลซึ่งจะสามารถทำให้หวังหลินเข้าและออกมิติความฝันได้อย่างอิสระ

หวังหลินก้าวเข้าไปในประตู สถานที่แห่งนี้ยังคงอยู่ในมิติความฝันของลูกปัด แต่พื้นที่โดยรอบดูแตกต่าง ด้านหน้าหวังหลินมีร่างยักษ์ตนหนึ่งสูงมากกว่าสามสิบฟุตลอยนั่งขัดสมาธิอยู่ในอากาศ มีสิ่งของมากมายนับไม่ถ้วนเปล่งประกายรอบๆยักษ์ตนนี้

เมื่อมองดูอย่างใกล้ชิด ร่างยักษ์ตอนนี้เรียบง่ายมากคล้ายพลังงานหยินกำลังรวบรวมรอบกายเขา ร่างกายนี้ไม่ได้แข็งกระด้าง หน้าอกมีรูขนาดใหญ่หนึ่งหลุมและมีคลื่นพลังปราณผันผวนรอบๆร่างกายพร้อมจะหายไปตลอดเวลา

ณ ตอนนี้ดวงตาของยักษ์ยังคงปิดสนิท ร่างกายส่องแสงไปทั้งร่างยกเว้นหวังหลิน

หวังหลินจ้องมองยักษ์ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นวิญญาณแรกกำเนิดของซือถูหนาน ทุกครั้งที่เขาเห็นมันจะตกใจอย่างมาก คิดได้ว่าหากวิญญาณใหญ่ขนาดนี้ แล้วร่างกายซือถูหนานจะต้องใหญ่ขนาดไหนกัน?

.........................