ตอนที่ 12 เส้นโลหิตเก้าทมิฬ
ณ ตำหนักตระกูลเย่
ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพรที่ตั้งอยู่มุมห้อง
“นายน้อย ท่านคงดีใจอย่างมากกับเรื่องในคฤหาสน์ดวงดาว เจ้าสำนักหวังผู้ซึ่งแม้แต่นายท่านยังไม่สามารถรับมือได้ แต่ก็เสียท่าให้กับนายน้อย” ลู่เอ๋อกล่าวขึ้นขณะกำลังใช้พัดรูปใบไม้พัดอยู่
อ่างน้ำสมุนไพรที่เย่หยวนแช่นั้นมีขนาดมหึมา มันตั้งอยู่บนกองไฟที่ลู่เอ๋อกำลังพัดอยู่
วันนี้ที่คฤหาสน์ดวงดาวหวังตงไห่ได้รักษาหลิวอันจนถึงแก่ความตายนั้นทำให้ทุกคนตกตะลึงเป็นอย่างมาก นี่ถือเป็นข่าวใหญ่ที่ว่าคฤหาสน์ดวงดาวผู้มักโอ้อวดว่าตนคืออันดับหนึ่งแห่งรัฐฉินเสมอ แต่ในวันนี้ได้มีใครบางคนก้าวเท้าเข้าประตูแห่งนี้เพื่อมาตบหน้าพวกเขา ไม่ว่าผิวหน้าของหวังตงไห่จะหนาเพียงใด แต่ในท้ายที่สุดก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ
หลังจากการตายของหลิวอัน หวังตงไห่ก็ตัดสินใจปิดร้านในวันนั้นพร้อมกับไล่ทุกคนออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงความลำบากใจเช่นนี้
ทุกคนในตอนนี้ได้รู้เรื่องของเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ทราบว่ามันคือยาพิษทะลวงลำไส้ แต่พวกเขาก็พอจะเดาได้ว่ามันคือโอสถที่เย่หยวนหลอมขึ้น ทุกคนต่างรู้สึกว่าผืนแผ่นดินแห่งนี้ช่างเปลี่ยนไปไวนัก ก่อนหน้านี้เย่หยวนยังเป็นแค่สวะไร้ค่าคนหนึ่ง แต่ในตอนนี้เขาสามารถล้มเซียนโอสถแห่งยุคได้อย่างราบคาบ ทุกคนต่างรู้ว่าเมื่อวานนี้เย่หยวนกำลังจะตายเพราะพิษแท้ๆ หรือว่าแท้ที่จริงแล้ว ยาพิษนั้นจะเป็นโอสถวิเศษกันแน่?
แน่นอนว่าก็ยังมีอีกบางกลุ่มที่ไม่เชื่อว่าเย่หยวนจะลงมือทำด้วยตนเอง แต่เชื่อว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือเย่ฮาน เพื่อต้องการจะล้มคฤหาสน์ดวงดาวเขาจึงยืมมือของลูกชายในการทำให้แผนสำเร็จ
แต่เมื่อคิดดีๆแล้วสำหรับเรื่องนี้ กลับทำให้พวกเขารู้สึกว่ามันไม่ใช่เลย
หากเย่ฮานมีความสามารถขนาดที่จะล้มได้จริงๆ พวกเขาคงไม่สู้กันยาวนานขนาดนี้หรอก?
การแข่งขันระหว่างสองตระกูลคงไม่ยาวนานแบบนี้แน่นอน ฉะนั้นข้อสันนิษฐานนี้จึงตกไป
แต่ทฤษฎีนี้ก็ยังคงเป็นข้อถกเถียงกันในโรงเตี๊ยมเมื่อผู้คนมาพบปะกันภายในรัฐฉิน
แต่เดิมเย่หยวนก็เป็นที่รู้จักของผู้คนอยู่แล้ว และตอนนี้ก็กลายเป็นว่าเขายิ่งดังเข้าไปใหญ่
“ฮ่าๆๆ...เป็นการเอาคืนนี่สนุกจริงๆ แม้เหตุการณ์ในวันนี้จะส่งผลอย่างมากต่อคฤหาสน์ดวงดาว แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงขนาดนั้น เจ้าสองพ่อลูกตระกูลหวังจะต้องมาแก้แค้นในไม่ช้าก็เร็ว เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะทำให้พวกนั้นรู้ว่าการเอาคืนที่แท้จริงเป็นเช่นไร”
เสียงอันเยือกเย็นของเย่หยวนดังขึ้นในทันใดเมื่อกล่าวถึงพวกเขา
หลังจากที่ได้ร่างกายนี้มา ฉิงหยุนซียังมีหน้าที่จักต้องแก้แค้นให้แก่พ่อของเขาและยังต้องช่วยกำจัดตระกูลคู่อริรายนี้อีกด้วย นอกจากนี้การกระทำของคู่พ่อลูกตระกูลหวังมันก็ทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ในตอนนี้ความแข็งแกร่งของเย่หยวนยังอ่อนแอเกินไป อย่างมากก็ทำได้แค่ก่อกวนหวังตงไห่เล็กๆน้อยๆ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น ในอนาคตเมื่อเขาแข็งแกร่งพอเขาจะกำจัดพ่อลูกคู่นี้ทิ้งซะ
ถ้าสำหรับคนอื่นอาจเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับเย่หยวนนั้นสองพ่อลูกตระกูลหวังก็เป็นแค่เพียงเศษฝุ่นบนเส้นทางแห่งการแก้แค้นที่แสนไร้ค่า เพียงว่าเขาจะต้องใช้เวลานิดหน่อย
“นั้นสินายน้อย หวังตงไห่คงโกรธแค้นท่านอย่างมากและต้องมาแก้แค้นในสักวันหนึ่ง ดังนั้นนายน้อย...ท่านจะต้องฝึกปรือให้หนักและข้าก็เชื่อว่าท่านต้องทำได้แน่นอน”
ลู่เอ๋อศรัทธาในตัวเย่หยวนอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ
“ฮ่าๆ นายน้อยของเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน โอ้…ใช่แล้วลู่เอ๋อ ดูทรงเจ้าแล้วก็ไม่เลวเลย ไฉนไม่มาลองฝึกศิลปะการต่อสู้ดูล่ะ?”
หลังจากที่อยู่ในห้องมาตลอดทั้งวัน จนในที่สุดก็มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันกับลู่เอ๋อ และในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าพลังปราณในร่างกายของลู่เอ๋อนั้นแทบไม่มีเลย หรือเรียกอีกอย่างว่า ลู่เอ๋อเป็นเพียงคนธรรมดาๆคนหนึ่งก็ได้ แต่เย่หยวนยังคงรู้สึกได้ถึงพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมที่เร้นแฝงอยู่ในตัวลู่เอ๋อ
เมื่อนางได้ยินคำถามของเย่หยวน การแสดงออกของนางก็ดูเศร้าสร้อยลงทันที
“นายท่านเคยกล่าวว่า ลู่เอ๋อมีเส้นโลหิตเก้าทมิฬอยู่ภายในร่างกายและไม่สามารถฝึกฝนได้ มิเช่นนั้นหากข้าก้าวข้ามขีดจำกัดไปยังอาณาจักรที่สูงขึ้นในอนาคต ลู่เอ๋อจะตายทันที”
“เส้นโลหิตเก้าทมิฬ?”
เย่หยวนถามซ้ำอีกทีเพื่อความแน่ใจ ก่อนที่จะคว้าข้อมือของนางมาทันที
ตอนนี้มือของนางถูกเย่หยวนกุมไว้อยู่ จึงทำให้หัวใจนางเต้นแรงจนไม่เป็นจังหวะพร้อมกับใบหน้าของนางได้เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที ในหัวของนางไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้อยู่กับนายน้อยของนางแบบนี้ไปนานๆก็พอแล้ว
เย่ฮานตระหนักดีถึงอนาคตของลูกตนดี เขาจึงไม่ได้หวังอะไรในตัวลูกชายเขานัก ทว่าตั้งแต่ที่ลูกของเขาโดนวางยาพิษในครั้งนั้น ทุกสิ่งอย่างก็เปลี่ยนไป ลูกของตนมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และยังกลายเป็นคนที่คอยห่วงใยคนรอบข้าง
เย่หยวนได้จับชีพจรตรงข้อมือลู่เอ๋อสักพักหนึ่งจนคิ้วของเขาได้กระตุกขึ้น พร้อมกับค่อยๆคลายมือออกจากนางแช่มช้า
“เอ่อ…นายน้อย ทั้งนายท่านและนายหญิงต่างปฏิบัติต่อลู่เอ๋อเฉกเช่นลูกสาวคนหนึ่งของพวกท่าน ถ้าลู่เอ๋อสามารถฝึกฝนได้พวกท่านคงสอนข้าไปนานแล้ว”
ที่ลู่เอ๋อพูดแบบนี้ออกไป เพราะกลัวว่าเย่หยวนจะเข้าใจเย่ฮานในเรื่องนี้ผิดไป
เย่หยวนค่อยๆวางมือลู่เอ๋อลงพร้อมยิ้มให้
“ลู่เอ๋อผู้ไร้เดียงสาของข้า เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว…แน่นอน พ่อข้าไม่โกหกเจ้า แต่เขาก็วินิจฉัยเจ้าพลาดไป ลู่เอ๋อ...บอกนายน้อยของเจ้ามาสิว่า เจ้าอยากฝึกฝนศิลปะการต่อสู้หรือไม่?”
“แน่นอนสินายน้อย!”
ลู่เอ๋อกล่าวตอบโดยไม่คิดเลย
“ดี! ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป...เจ้าจะต้องฝึกฝนร่วมกับข้า ข้าจะสอนวรยุทธบ่มเพาะพลังที่เหมาะกับความสามารถเจ้า และยังเป็นวรยุทธที่หาฝึกไม่ได้จากรัฐเล็กๆอีกด้วย”
เย่หยวนพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“นะ-นายน้อย ท่านพูดจริงเหรอ?”
เมื่อลู่เอ๋อได้ฟังดังนั้นนางก็ดีใจอย่างมาก แต่ก่อนที่จะพูดอะไรไปมากกว่านั้น จู่ๆนางก็กลับมาเศร้าสร้อยอีกครั้ง
“นายน้อยไม่ต้องมาพูดปลอบลู่เอ๋อหรอก แม้นายท่านเป็นถึงเซียนโอสถก็ยังบอกว่าไม่มีทางเลย”
“ดังนั้นลู่เอ๋อจะฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ได้อย่างไร? แม้ว่าลู่เอ๋ออยากจะฝึกฝนแค่ไหน...แต่ลู่เอ๋อก็ไม่อยากตาย...ลู่เอ๋อยังอยากดูแลและอยู่เคียงข้างนายน้อยแบบนี้ต่อไป”
ความรู้สึกของนางได้ถูกส่งผ่านมายังหัวใจเย่หยวนโดยตรง เขาจึงยกมือและลูบศีรษะของลู่เอ๋อเบาๆและยิ้มให้
“ทำไมนายน้อยของเจ้าจะต้องโกหกล่ะ? พลังปราณในร่างกายเจ้าเป็นอะไรที่แตกต่างแต่พิเศษ แม้เส้นโลหิตเก้าทมิฬของเจ้าจะไม่สมบูรณ์...แต่ก็นับว่าหายากมาก ในการมีเส้นโลหิตเก้าทมิฬในร่างกายแบบนี้”
“ร่างกายนี้ไม่เพียงแค่สามารถเพาะปลูกพลังได้ ไม่ทางกลับกัน...หากเพาะปลูกพลังในร่างกายนี้ มันจะยิ่งทำให้พลังปราณของเจ้าก้าวล้ำกว่าผู้อื่นมาก หากสำนักอื่นๆรู้เขา...พวกเขาจะต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตัวเจ้ากันเลยทีเดียว”
มิใช่ว่าเย่ฮานไม่ต้องการให้ลู่เอ๋อฝึกฝน แต่เป็นเพราะความรู้ของเย่ฮานนั้นไม่สามารถเทียบกับเย่หยวนได้เลย และในความเป็นจริง เส้นโลหิตเก้าทมิฬนั้นเป็นตัวแปรสำคัญในการฝึกวรยุทธ นอกจากนี้คนที่มีมันเรียกได้ว่าน้อยมาก
เส้นโลหิตเก้าทมิฬที่เย่หยวนรู้จักมันแตกต่างจากที่เย่ฮานเข้าใจโดยสิ้นเชิง การที่ในร่างกายมนุษย์ได้มีเส้นโลหิตเก้าทมิฬอยู่ในร่างกายไม่ได้แปลว่าคนๆนั้นจะฝึกฝนไม่ได้ แต่เป็นเพราะพลังปราณชนิดนี้จะต้องอาศัยวรยุทธเฉพาะทางในการบ่มเพาะและเนื่องด้วยสภาพภูมิศาสตร์ที่อาศัยกันอยู่นั้นขาดแคลนทรัพยากรต่างๆที่จำเป็นอย่างมาก ดังนั้นคนในแถบนี้จึงไม่มีใครที่มีเส้นโลหิตเก้าทมิฬสามารถเพาะปลูกพลังได้เลยสักคน
หากปราศจากวรยุทธการเพาะปลูกที่เหมาะสม เส้นโลหิตเก้าทมิฬก็เป็นเพียงพลังปราศขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น
แท้จริงแล้วร่างกายของผู้มีเส้นโลหิตเก้าทมิฬมันจะจุติบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์
และบังเอิญว่าในความทรงจำของเย่หยวนก็ยังมีวรยุทธที่เหมาะสมกับลู่เอ๋ออยู่
มันคือวรยุทธการบ่มเพาะของจอมราชันเหมันต์ เพราะภายในกายจอมราชันเหมันต์ก็มีเส้นโลหิตเก้าทมิฬเหมือนกับลู่เอ๋อเช่นกัน
ในขณะนี้ลู่เอ๋อมองอย่างไม่เชื่อเท่าไหร่
“นายน้อย...สิ่งที่ท่านกล่าวไปเป็นความจริงอย่างนั้นรึ? ท่านไม่ได้โกหกลู่เอ๋อใช่ไหม?”
“แน่นอน เส้นโลหิตเก้าทมิฬเป็นสิ่งที่หายากยิ่ง และหากมีวรยุทธที่เหมาะสมกับมันมันจะยิ่งทวีความเร็วในการพัฒนาขึ้นไปอีก ข้าจะสอนวรยุทธปราณเหมันต์ลวงสวรรค์ และหากนำมาผนวกเข้ากับความเฉลียวฉลาดของเจ้า ลู่เอ๋อ...ในอนาคตเจ้าจะเหนือยิ่งกว่าข้าซะอีก”
เย่หยวนกล่าวอย่างนุ่มนวล
หลังจากที่ลู่เอ๋อได้ยินดังนั้น สีหน้าของนางก็ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาในทันที
“ฮิๆ ข้าไม่ได้ต้องการเหนือไปกว่านายน้อยเลยสักนิด ขอเพียงมีพลังมากพอที่จะอยู่เคียงข้างท่านได้ก็พอแล้ว ในอดีต...ท่านมักถูกกลั่นแกล้งอยู่บ่อยๆ เพื่อที่จะปกป้องจากคนพวกนั้นได้ ดังนั้นนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมลู่เอ๋อถึงอยากจะฝึกฝน แต่ลู่เอ๋อกลัวว่าการที่ท่านมาฝึกให้ข้าแบบนี้… และข้าอาจไม่มีอะไรคืบหน้าเลย ลู่เอ๋อกลัวว่าจะเป็นภาระให้นายน้อย...”
เมื่อเย่หยวนรู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของลู่เอ๋อ ว่านางต้องหารฝึกฝนเพื่อปกป้องตัวเขาเอง เขาก็รู้สึกว่าตนเองช่างอ่อนแอ เย่หยวนได้ปฎิญาณกับตนเองว่า…จะต้องแข็งแกร่งขึ้นภายในระยะเวลาเร็วที่สุด แม้ในชีวิตก่อนหน้าเขาจะไม่สามารถปกป้องคนที่เขารักได้ แต่ในครั้งนี้จะต่างออกไป!
“เอาล่ะ…ลู่เอ๋อของข้า น้ำร้อนได้ที่แล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ...ข้าขอเวลาแช่อ่างสมุนไพรนี้สักหน่อย”
เย่หยวนกล่าว
เมื่อลู่เอ๋อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความสงสัย
“นายน้อย…หากท่านอาบคนเดียวมันอาจจะเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้แบบในอดีตอีก ตั้งแต่ตอนนั้นพวกเราก็แช่อ่างสมุนไพรด้วยกันตลอดมิใช่รึ? ทำไมจู่ๆวันนี้ท่านถึงกลายเป็นคนขี้อายไปได้?”
หัวใจของเย่หยวนเต้นแรงขึ้นๆ แท้ที่จริงแล้วเย่หยวนไม่ต้องการให้หญิงสาวมาแช่น้ำร่วมอ่างเดียวกับเขา แต่หากเขายังปฏิเสธอยู่แบบนี้...ลู่เอ๋ออาจจะสงสัยก็เป็นได้
“ขะ-เข้าใจแล้ว งั้น...เข้ามาด้วยกันสิ...” เย่หยวนพูดออกไปอย่างเขินๆ
เมื่อลู่เอ๋อได้ยินดังนั้น นางก็ดีใจอย่างมากพร้อมปลดเสื้อผ้าแพรพรรณออก
……………………………