‘ได้โปรดข้าฆ่าที... ท่านเทพ ข้าไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ... ฮือ...’
เสียงคร่ำครวญของปีศาจสาวที่ดังไปทั่วเรือนนับเป็นเรื่องแปลกใหม่ของเหล่ายมทูต บางตนถึงกับมาลอบดูนางด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ภายใต้บรรยากาศเยียบเย็น เหมันต์ร่วงหล่นเป็นละอองสาย มันได้รับอิทธิพลจากหมอกแห่งความตาย สถานที่แห่งนี้ไม่เคยปรากฏสิ่งมีชีวิต ไม่มีแม้กระทั่งต้นไม้ใบหญ้าหรือแมลงตัวเล็ก ๆ จะมีผีเสื้อสีอำพันทอแสงอร่ามงามได้อย่างไร
ถิงถิงชะโงกคอมองหาดวงไฟยมทูต เพื่อที่นางจะสังเกตว่าย่ำเข้ารุ่งอรุณเมื่อใด นั่นเป็นช่วงที่ยมทูตเดินทางกลับมาจากการเก็บดวงวิญญาณ
นางไม่เคยประสบพบเหตุการณ์เช่นนี้ ไยทิวากรลาลับชั่วนิจนิรันดร์ ทั่วทุกแห่งหนในนครมืดมิดไร้ซึ่งแสงดารา เลวร้ายที่สุดคือปีกของนางต้องการแสง!
‘เทพใจดำ หลอกใช้ปีศาจ ข้าทำงานแทบตาย ไม่มีข้าวให้กินสักเม็ด ชาอร่อย ๆ ก็ไม่มีให้ข้า’
นางเฝ้ามองหาเทพมรณา หลังจากที่เขาเข้ามาพบนางเมื่อวานก่อน เผื่อเขาจะพานางออกไปดื่มด่ำพลังวิญญาณ นางแสร้งร้องไห้ประหนึ่งนางบาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ หวังให้เขาได้ยินเสียงนาง เทพใจดำหลอกใช้นาง เทพผู้นี้บ้าอำนาจไร้เมตตาธรรม ผิดวิสัยเทพ นางบริภาษว่าเขาผ่านเวหาเยือกเย็น ทั้งที่ปีศาจก็ใช่ว่าจะมีเมตตาแม้สักตนหนึ่ง…
ปีศาจอสูรมักเข่นฆ่าพวกเดียวกัน หากบาดหมางผิดใจไม่เป็นครอบครัวอีกแล้วละก็ แม้กระทั่งบิดามารดาอาจสังหารบุตร ละทิ้งลูกน้อยให้กำพร้า พวกเขาหิวกระหายในพลังวิญญาณ โปรดปรานการทะเลาะวิวาท การเข่นฆ่า บางกลุ่มเป็นมิตรต่อกันเพราะผลประโยชน์เช่นตระกูลผีเสื้อเหมยเตี๋ย รักษาสมาชิกในครอบครัวเผื่อแผ่ขยายอาณาเขต ปรองดองกับอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งก็เพื่อความอยู่รอดของตน
ปีศาจอสูรไม่มีจิตใจเมตตาปรานี
กับยมทูตจะไปต่างอะไร?
นางได้ยินมาว่ายมทูตไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่สื่อสารกับผู้ใดนอกเสียจากยมทูตด้วยกัน ต่อให้เทพและปีศาจสู้รบกันจนทุกภพภูมิแหลกสลาย พวกเขามีความคิดเพียงเรื่องเดียวคือรวบรวมดวงวิญญาณ
‘ให้ตายสิน่าถิงถิง ไม่น่าตามท่านเทพมาเลย!’
นัยน์ตาสีอำพันมองผ่านประตูไม้บานเลื่อนสลักลายท้องนภา บริเวณลานกว้างกลางเรือนสี่ประสาน เหมาะสำหรับการวางยุทธศาสตร์การรบของเมืองใหญ่ กลุ่มเมฆาหยินหยางกลับคืนร่างบุรุษสูงสง่า
หัวใจปีศาจสาวเต้นระรัวแรงเพียงพบบุรุษเทพรูปงามปานหยกสลัก เขาสวมเกราะสีนิลสนิทใต้อาภรณ์สีเดียวกัน แสงแห่งหยางเปล่งประกายเหนือกองทัพยมทูตกลางท้องนภากว้างใหญ่ แลดูองอาจประหนึ่งแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพราชาสวรรค์
ครู่หนึ่งนางฉุกใจได้ว่าเขาอาจเป็นทั้งเทพและปีศาจ ในเมื่อเขาใช้เวทหยินหยางร่วมกัน รอบอาภรณ์ลายเมฆาปรากฏกลุ่มหมอกควันหยินหยาง สีขาวและดำลอยสลับกันไปดูคล้ายเถ้าควัน
กระทั่งใบหน้ากระดูกเอี้ยวมองมา นางเบิกตากว้างมองรูกลวงบริเวณเบ้าตา มิใช่ใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษเทพผู้ซึ่งนางเคยพบ ปีกผีเสื้อขยับว่องไว บินหายเข้าห้องนอน นางซ่อนเร้นกายในผ้าห่มหนาบนฟูก
น่ากลัวชะมัด!
“หีบอาภรณ์ของเจ้าในวันวิวาห์ ข้าหยิบติดมือมา หวังว่าข้าคงไม่ต้องหาเครื่องประดับให้เจ้า...”
“ละ... แล้ว... ข้าจะสวมอาภรณ์งดงามไปเพื่ออะไร?”
กว่านางจะตอบผ่านผ้าห่มหนาคลุมกายมิดชิด โผล่พ้นเพียงเรือนผมดำขลับ กลุ่มเมฆาทึบทะมึนเข้ามาในห้องพักของนางอย่างไม่ใคร่เกรงใจ เขาเจรจาด้วยน้ำเสียงสุขุม แจ้งข้อความสำคัญว่านางอยู่ในสถานะผู้พำนักอาศัยในนครมรณา นางเป็นปีศาจสตรี ก็ควรที่จะอยู่แต่ในเรือน ไม่ไปที่ไหนไกล
“ข้าได้ยินจากท่านลุงว่าเจ้าเป็นปีศาจรักสวยรักงาม ข้าจึงมาบอกเจ้าว่านครมรณาไม่มีสิ่งใดให้เจ้าชื่นชม อาภรณ์ชุดใหม่ของเจ้า เครื่องประดับของเจ้าก็จะไม่มี”
‘ท่านลุงหรือ?’ นางกลอกตาไปมา ตอบอย่างขลาดกลัว “อ้อ... ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
คิดในแง่ดี อย่างน้อยเทพมรณาอุตส่าห์มาบอกนางเรื่องนี้ ถึงนั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับนาง ไม่นานนักเขากลับคืนร่างบุรุษเทพ เลิกคิ้วขึ้นกล่าว
“เจ้าทำงานเพื่อแลกกับการมีชีวิต การที่ข้าคอยดูวันตายของเจ้าก็นับเป็นบุญคุณแล้ว เจ้าจำเป็นต้องมีอาภรณ์สวยงามด้วยหรือ?”
“หามิได้เลย ท่านกำลังเข้าใจข้าผิด ถึงข้าเป็นพวกรักสวยรักงามอย่างไร ข้าระงับความอยากมีอยากได้ของตนมาโดยตลอด ข้าไม่เคยได้ใช้ของใหม่ อาภรณ์สีสันสดใสในหีบของข้าเป็นของเหลือใช้จากพี่สาว”
ปีศาจน้อยสารภาพว่านางไม่มีปัญญาไปต่อสู้แย่งชิงของใคร นางไม่ชอบลักขโมยด้วย มีบ้างที่นางจะออกไปท่องเที่ยว จับจ่ายใช้สอยซื้อของสวยงามด้วยการแลกพลังวิญญาณ ก่อนที่นางจะกลับมาคุดคู้บนฟูกในเรือนนอนเยี่ยงนักโทษ ท่านแม่คอยต่อว่านางขยันสร้างปัญหา
“จริงของเจ้า ข้ามีงานมากมายต้องสะสาง พรุ่งนี้เจ้าลุกขึ้นมาทำงานของเจ้า นี่เป็นคำสั่ง”
“เจ้าค่ะ” นางก้มหน้าตอบในผ้าห่มโดยไม่มีข้อโต้แย้ง กลุ่มเมฆาหายไปในเวหา
เรือนกายอ่อนล้าบาดเจ็บสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นของเจ้านครมรณา นัยน์ตาสีชาดยังฝังติดในหัวของนาง รู้สึกเหน็บหนาวไปถึงขั้วกระดูก
‘จำเรื่องที่ข้ากำลังจะบอกเจ้าให้ดีนะถิงถิง… เทพในเทวโลกล้วนเป็นผู้มีเมตตาธรรม รู้จักเห็นอกเห็นใจ จะมีเพียงบางเทพ เป็นเทพที่ออกจะไร้อัธยาศัย แต่เทพผู้นั้นมีเมตตาอยู่มากโข หนึ่งในเทพผู้เสียสละเพื่อดวงวิญญาณ มีทั้งความเป็นเทพและมาร’
คำพูดมีนัยผุดวาบเข้ามาในหัว ‘แม่เฒ่าเมิ่งเฉียนเป่ย’ เทพธิดาอาวุโส นักทำนายแห่งเทวโลกเคยบอกกับนาง ไม่แน่ใจว่านี่คือหนึ่งในคำทำนายของท่านหรือไม่
ยามนี้นางคิดอยากไปจากที่นี่ แต่นางไม่รู้จะไปที่ใด นางจะออกไปอย่างไร
หากนางกลับเรือนผีเสื้อราตรี นางคงต้องโทษสถานหนัก มารดาจะออกคำสั่งคุมขังนางเอาไว้ในห้องใต้ดิน ไม่ให้เห็นแสงตะวันสักสามสิบราตรี เพื่ออบรมบ่มนิสัยดื้อรั้นของนาง ก่อนส่งตัวนางไปให้จิ้งจอกเงิน
ผลร้ายที่ตามมาเมื่อปีศาจแห่งแมลงอยู่ในที่มืดนาน ๆ ปีกอันงดงามจะแห้งเหี่ยวและสลายไป แต่นางก็ผลัดมันขึ้นมาใหม่ได้เช่นกัน อาจต้องใช้เวลาสักระยะ
สามพันปีก่อนเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ นางหนีไปเที่ยวซุกซนถึงเทวโลกชั้นน้ำ ซ่อนเร้นกายอยู่หลังพุ่มไม้ในแดนเซียน ลอบดูเทพธิดาและสาวรับใช้ในสวนบุปผาหลากสีสันตระการตาบนท้องนภาสีคราม เป็นภาพแสนงดงามราวกับว่าเป็นห้วงฝัน นางนึกริษยา หยิบผลไม้ของพวกเขามากินลูกหนึ่ง
หากด้วยความดีจากก้นบึ้งของจิตใจนางยังหลงเหลืออยู่มาก นางเลือกที่จะหันหลังให้ดินแดนแห่งนั้น ไม่หยิบสิ่งใดไปมากกว่าผลสีแดงสุกลูกเดียว
คืนนั้นพี่รองพี่ใหญ่ได้ยินเรื่องราวของนางที่พูดไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ด้วยความที่นางมักเล่าให้พวกพี่ ๆ ฟังว่านางไปไหนมา
ปีศาจผีเสื้อล้วนโปรดปรานพฤกษชาติ สมบัติอันสวยงาม แสงอรุณรอนและแสงจันทรา ปีศาจราตรีส่วนใหญ่เป็นผู้ละโมบโลภมาก
ทั้งพี่รองพี่ใหญ่และญาติสตรีจึงชักชวนกันไปขโมยของในตำหนักเซียนเจียวหั่ว ฟาดพลังปีศาจใส่เทพธิดาอย่างไม่กลัวเกรง เหล่าบุรุษเทพไม่อยู่เรือน สบโอกาสปีศาจได้สร้างความวุ่นวายในแดนเทพ ขโมยผ้าถักทอด้วยเวทเซียนสวยงามจับตาของเทพธิดากลับมาบางส่วน เครื่องประดับสองหีบ จากนั้นก็โยนความผิดทั้งหมดให้น้องเล็ก
มารดาไม่เคยฟังเสียงนางอยู่แล้ว นางถูกจองจำในห้องใต้ดินหนึ่งพันราตรี ปีกของนางหายไป แต่นางก็ผลัดมันขึ้นมาใหม่ ใช้เวลาหลายร้อยปี
‘เห็นจะต้องอยู่ที่นี่ต่อไป มีทางเลือกมากเสียที่ไหนล่ะถิงถิง ขืนกลับไปมีแต่ตายกับตาย ลบความจำอะไรของท่านเทพ เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหนกัน’
เรื่องเวทลบเลือนความจำของยมทูต จะใช้ได้ผลกับปีศาจระดับท่านปู่นางหรือ? เมื่อไรท่านปู่จำความได้คงรื้อฟื้นพลังให้จิ้งจอกเก้าหางอาวุโสกับปีศาจผีเสื้อตนอื่น
ตาย ๆ ยังไงนางก็ตายแน่