1.บทที่ 1 พินัยกรรมจากแคนาดา
เดือนเมษายน ณ เมืองไหเต่า ซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่
7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไปยังคงนอนไม่หลับ เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองเหม่อไปยังนอกหน้าต่าง
เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมาเรื่อยๆ
มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่านี้ หลังจากที่เขาเรียนจบ ด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา เขาจึงก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคล ที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าในแผนกบุคคลด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา
ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็แผนกบุคคลมีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง เธอสวยมาก ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นดึงดูดสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า
เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิมก็เดาได้ไม่ยาก ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด
เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิงก่อนหน้านี้แค่ปัญหาหึงหวง แต่พอเมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวมีการลงไม้ลงมือทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงกันเรื่องมันก็เลยยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นทายาทเศรษฐีให้ติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่ฝ่ายแผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป
การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นความผิดร้ายที่ร้ายแรงมากเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต เพราะนอกจากฉินสือโอวไม่เพียงจะต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัทแล้ว แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!
จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร เพราะที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้วเขาชดใช้ให้บริษัทไปจนแทบจะไม่มีเงินเหลือติดบัญชีแล้ว
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือที่เดือนนี้เขายังต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ
ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้อง ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!
ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบ หน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องแสนโหดก็จะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะอยู่ค่อนไปตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง เพราะฉะดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านและที่ดินมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน
ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนก็อยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือตอนนี้แค่สามร้อยหยวนเขายังมีไม่มีถึงเลย!
ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็งว่า
“ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันถ้าวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็เก็บของไสหัวออกไปซะ!”
ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว
ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด
เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนั่งนอนลงอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าที่เหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องว่างเปล่าสำหรับเรื่องในอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน
อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่
ในตอนนั้นเองที่จู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังเสียดบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา
“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวันไง พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?
ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูด้วยความโกรธออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของนอกจากจะได้พบกับเจ้าของห้องเช่ามีแล้ว ยังมีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย
เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอวเขา ตำรวจเขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมาจึงถามว่า
“คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”
ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อว่า
“ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”
พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที
“คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับผมและห้องของผมนะครับ”
ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาหรือว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้ เขาจึงได้แต่คิดแล้วเดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ
พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที
เมื่อเข้าไปในห้อง เขาก็กวาดตามองไปรอบ ๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา
สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือ หนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทมีคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะราวๆไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขานั้นเกลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน
เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาข้างหน้าทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น
“คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”
ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกไม่รู้ว่าพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตายต้องการอะไรกันแน่ เมื่อพอเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งและแนะนำตัวเองทันที
หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ผู้ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดว่าขึ้น
“สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ที่มีชื่อเสียงจากประเทศแคนาดาคุณเออร์บัก ชาร์คแมนครับ”
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดคนที่เหมือนผีฝรั่งน่าเกรงขามก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษว่า
“สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อคนนี้ไหมครับ”
เมื่อขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว
“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือลุงปู่รองคนที่สองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่พ่อผม”
เออร์บักพยักหน้า แล้วถามอีกว่า
“ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีครามน้ำเงินเล็กๆ อันหนึ่งที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”
ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีครามน้ำเงินออกมา
เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อว่า
“ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”
หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ ชั่วอึดใจต่อมาเดียวแก้วคริสตัทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว
เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้ว แล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันไใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับสีเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา
ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดนั้นมีเวทมนตร์พลังวิเศษแบบนี้
เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า
“คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ...”
เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดว่าออกมา
“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอวผู้เป็น หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีราคาประเมินโดยธนาคารแคนาดาตามมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาโดยประมาณอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือซึ่งก็คือคือ 233,100,000 หยวนครับ! "
หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆว่า
“นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ?” คุณลุงปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”
เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวไปแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวต้องเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น
ฉินสือโอวลงนามในจดหมายเอกสารตอบรับยินยอมรับมรดก ภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง
พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขา พวกจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์
เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกกระแทกประตูดัง ‘ปังกริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา
“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”
พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงท่าทีสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่าต่อ
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เอาเก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันไม่สามารถปล่อยห้องเช่าให้กับคนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”
ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที
……………………………………….