ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

บทที่ 2 มุ่งหน้าสู่ฟาร์มปลา

คราวนี้ฉินสือโอวโมโหจริงๆ เจ้าของห้องเช่าทำเกินไปแล้ว ให้ตายสิ เขาควรจะโดนสักหมัดจริงๆ นะ!

แต่แล้วหางตาของฉินสือโอวก็เหลือบไปเห็นเออร์บักที่ยื่นถือกระเป๋าเอกสารอยู่ เขาจึงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาทันที เขานึกถึงฉากที่มักจะปรากฏในซีรีส์ฝรั่งและหนังฮอลลีวูดที่เมื่อเกิดเรื่องขึ้นมาทนายก็จะเป็นคนจัดการเรื่องทุกอย่างให้

ดังนั้นฉินสือโอวจึงเลิกโมโหแล้วเดินไปบอกเออร์บักเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่ดีของเจ้าของห้องเช่าอยู่สองสามประโยคแล้วจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “คุณทนายครับ ที่เหลือผมฝากคุณด้วยนะ ทำให้พวกคนเลวรู้ถึงพลังของกฎหมายสักหน่อย”

เออร์บักได้ยินดังนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของเขาขึ้นมาถ่ายภาพข้าวของที่วางอยู่หน้าประตูและประตูห้องที่ถูกล็อกเอาไว้สามสี่รูปดัง ‘แชะ! แชะ! แชะ!’

เออร์บักอ่านสัญญาห้องเช่าที่ฉินสือโอวยื่นให้แล้วจึงหันไปพูดกับเจ้าของห้องเช่า “สวัสดีครับ ผมเป็นทนายความของคุณฉินสือโอว ผมคิดว่าสิ่งที่คุณทำเป็นการละเมิดสิทธิลูกความของผมและผมจะฟ้องร้องดำเนินคดีกับคุณ พวกเราไปเจอกันที่ศาล XX ก็แล้วกันนะครับ”

ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าของห้องเช่าเห็นฉินสือโอว เออร์บักและหลี่ซิ่นยืนอยู่ด้วยกัน เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย เพราะที่ตรงนี้คือทางเดิน เขาจึงคิดว่าสองคนนี้แค่เดินมาทางเดียวกับฉินสือโอวก็เท่านั้น

แต่ตอนนี้เมื่อเออร์บักเดินเข้าไปรัวภาษาอังกฤษใส่เจ้าของห้องเช่า ถึงแม้เจ้าของห้องเช่าจะฟังไม่ออกแต่ก็พอจะคาดเดาสถานการณ์ได้

และถึงเจ้าของห้องเช่าจะฟังไม่ออกแต่ก็ยังมีคนที่ฟังออกอยู่ หลี่ซิ่นเดินเข้าไปหาพวกเขาพร้อมยื่นบัตรผู้พิพากษาของตัวเองไปให้เขาและแนะนำตัว “ผมหลี่ซิ่น เป็นผู้พิพากษาศาลประชาชนกลางครับ ส่วนชาวแคนาดาท่านนี้เป็นทนายความ ตอนนี้เขากำลังจะฟ้องร้องคุณเนื่องจากคุณละเมิดข้อตกลงการเช่าของลูกความเขา”

เมื่อได้ยินดังนั้นเจ้าของห้องเช่าก็กลัวจนฉี่จะราด เขาไม่คิดว่าหลี่ซิ่นกับเออร์บักกำลังขู่เขา ไม่ต้องพูดถึงบัตรผู้พิพากษาของหลี่ซิ่นที่มีตราสัญลักษณ์ประจำชาติจีนสีแดงดวงใหญ่ประทับอยู่ แต่เพียงมองจากภาพภาพลักษณ์ภายนอกของเขา เช่นทรงผมที่ถูกจัดทรงมาอย่างพิถีพิถัน ชุดสูทที่สวมใส่เรียบไร้รอยยับและกระเป๋าเอกสารที่อยู่ในมือของเขา มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นคนระดับสูงที่ทำงานได้เงินเดือนละมากๆ ซึ่งไม่ใช่คนที่ประชาชนตาดำๆ หาเช้ากินค่ำอย่างเขาจะไปหาเรื่องด้วยได้

พอเห็นเจ้าของห้องเช่านิ่งงันด้วยความกลัว ฉินสือโอวก็รู้สึกราวกับได้ดื่มน้ำบ๊วยเปรี้ยวๆ เย็นๆ มันช่างสดชื่นไปถึงวิญญาณจริงๆ

จากนั้นเออร์บักก็หยิบสมุดเล่มเล็กๆ ออกมา มันคือบัตรประจำตัวทนายความของเขา หลังจากที่ยื่นให้เจ้าของห้องเช่าดูแล้วเขาก็หมุนตัวเดินออกมา จากนั้นหลี่ซิ่นก็เดินเข้าไปแล้วทิ้งประโยคสุดท้ายเอาไว้ “รอรับหมายเรียกจากศาลได้เลยครับ”

เจ้าของห้องกลัวจนฉี่จะราดจริงๆ เขารีบพุ่งไปดึงเออร์บักไว้ เออร์บักขมวดคิ้วสีเทาเข้าหากัน เจ้าของห้องเช่าที่กลัวจนตัวสั่นจึงรีบปล่อยมือพร้อมทำหน้าราวกับจะร้องไห้แล้วพูดออกมา “ยะ ยะ อย่าฟ้องผมเลยนะครับ คือ..มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด! แค่เข้าใจผิดกันเฉยๆ ครับ!”

ฉินสือโอวกอดอกมองดูอยู่เงียบๆ อย่างเย็นชา แต่ภายในใจของเขานั้นแสนจะสะใจ คนรวยนี่ดีจริงๆ มีเรื่องอะไรก็มีลูกน้องคอยสะสางให้โดยไม่ต้องจัดการด้วยตัวเอง

หลังจากเจ้าของห้องเช่าถูกทนายฝรั่งเออร์บักกับผู้พิพากษาหลี่ซิ่นขู่จนตกใจกลัว เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องร้อง เมื่อหลี่ซินอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเออร์บักและฉินฉือโอวเสร็จเขาจึงรีบเดินมายิ้มให้ฉินสือโอวแล้วพูดออกมาอย่างขอลุแก่โทษ

“เสี่ยวฉิน ยะ...อย่าทำแบบนี้เลยนะ ปล่อยพี่ชายคนนี้ไปเถอะ... ไม่ใช่สิ ปล่อยไอ้โง่อย่างฉันไปเถอะ นายเป็นคนใหญ่คนโตมีอำนาจมากมาย อย่าถือสาคนธรรมดาโง่ๆ อย่างฉันเลยนะ ช่วยพูดกับทนายความของนายให้หน่อยสิว่าเรื่องเล็กแค่นี้พวกเราตกลงกันเองได้ ไม่ต้องถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลหรอก!”

ฉินสือโอวมองไปยังคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่ถูกทิ้งอยู่บนพื้นแล้วถามขึ้นมา “จะตกลงกันเองยังไงล่ะ?”

“ฉันจะคืนเงินประกันห้องให้นาย นี่ไง...” เจ้าของห้องกัดฟันพูด

ฉินสือโอวมองไปยังคอมพิวเตอร์ที่อยู่บนพื้นแล้วยกยิ้มเย็นขึ้นมา

เจ้าของห้องเช่ายิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มน่าเกลียดราวกับร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อแล้วพูดต่อ “แล้วฉันก็จะให้เงินชดเชยอีกห้าพันหยวนด้วย นายจะได้เอาไปซื้อคอมพ์ใหม่!”

แต่ไหนแต่ไรฉินสือโอวก็ไม่ใช่คนดีอะไรขนาดนั้น เงินพวกนั้นก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการ ดังนั้นพอเจ้าของห้องเช่าคืนเงินให้เขา เขาก็ไม่เอาเรื่องอีกฝ่ายและให้เออร์บักลบรูปพวกนั้นออกจากโทรศัพท์ด้วย

พอถึงตอนเที่ยงเขาก็ใช้เงินที่เพิ่งได้มาเลี้ยงข้าวเออร์บักกับหลี่ซิ่น หลังจากนั้นเขาก็กลับไปเก็บของแล้วนั่งรถบัสกลับบ้านเกิดเพื่อเตรียมตัวไปจัดการเรื่องที่แคนาดา

การไปแคนาดาครั้งนี้ เขาต้องเตรียมเอกสารจำนวนมากเพื่อจะรับมรดก รวมไปถึงหนังสือรับรองความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับฉินหงเต๋อผู้เป็นปู่รองของเขา และเอกสารที่ว่านี้ต้องได้รับตราประทับจากระดับหมู่บ้านไปจนถึงระดับจังหวัด นอกจากนี้ยังต้องทำหนังสือเดินทางอีกด้วย

จู่ๆ ลูกชายก็กลับบ้านมาแถมยังบอกว่าตัวเองต้องเดินทางไปต่างประเทศจึงทำให้พ่อแม่ของเขาตกใจมาก ดีที่ฉินสือโอวยังไม่ได้บอกเรื่องที่ตัวเองถูกไล่ออกจากบริษัท เขาจึงอ้างเหตุผลว่าบริษัทส่งตัวไปอบรมที่ต่างประเทศ

ใช้เวลาในการเตรียมตัวไปสี่วันเต็มๆ ในที่สุดฉินสือโอวก็ทำตามขั้นตอนทั้งหมดที่เออร์บักแนะนำจนเสร็จ หลังจากนั้นพวกเขาก็นั่งรถไปปักกิ่งและเตรียมตัวบินไปยังแคนาดาเพื่อเริ่มต้นชีวิตของการเป็นทายาทเศรษฐีคนใหม่

เมื่อเดินทางมาถึงสถานีขนส่งปักกิ่งใต้ ทันทีที่ฉินสือโอวเดินออกมา เขาก็เห็นชายหนุ่มตาโตคิวเข้มยืนอยู่ด้านหน้าผู้คนที่มารอรับพร้อมชูป้ายกระดาษขนาดใหญ่ที่เขียนว่า ‘ขอต้อนรับไอ้สัตว์สู่เมืองหลวง’ เอาไว้ในมือ

ชายหนุ่มคิวเข้มตาโตก็คือเหมาเหว่ยหลง รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยของฉินสือโอว ตอนนี้เขาทำงานอยู่ที่กรมสรรพากร และที่ฉินสือโอวได้เข้าทำงานในบริษัทปิโตรเลียมก็เพราะเส้นสายของเขาคนนี้นี่แหละ

ฉินโซ่ว เป็นฉายาของฉินสือโอว เมื่ออ่านชื่อของเขาด้วยสำเนียงภาษาถิ่นมันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ถ้าอ่านเร็วๆด้วยสำเนียงภาษากลาง มันจะฟังดูไม่ต่างจากคำว่า ‘ฉินโซ่ว’ ที่แปลว่า ‘ไอ้สัตว์’ เลย เพราะฉะนั้นฉายานี้จึงติดตัวเขามาตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ

พอถึงที่จอดรถ เหมาเหว่ยหลงก็เดินไปเปิดประตูรถจี๊ปคันหนึ่ง ฉินสือโอวถีบล้อรถไปสองสามทีแล้วพูดขึ้น

“คันนี้ไม่เลวเลยนี่”

เหมาเหว่ยหลงพยักหน้า แล้วพูดพลางถอนหายใจออกมา “นี่รถเพื่อนฉัน ส่วนรถฉันน่ะเหรอ อยู่ฉางอันโน้น ค่าขนย้ายรถสี่หมื่นแปด! ฉันต้องขอร้องอ้อนวอนแทบตายกว่าจะแคะเงินออกมาจากปากพ่อของฉันได้ ตอนแรกที่ฉันบอกพ่อว่าฉันอยากได้บัมเบิ้ลบี [footnoteRef:1] แต่ปรากฏว่าตกเย็นพ่อฉันแม่งไปสถาบันวิจัยแมลงแล้วเอาผึ้งบัมเบิ้ลบีตัวนึงกลับมา! เอาผึ้งที่บินได้จริงๆ กลับมาเลยนะ!” [1: รถChevrolet รุ่น Camaro สีเหลืองจากเรื่องภาพยนตร์ Transformers]

พอถึงโรงแรมและวางสัมภาระเรียบร้อย เหมาเหว่ยหลงก็พูดขึ้นมา “เพื่อนของพวกเราทำงานอยู่ที่นี่เยอะนะ เอาไง นัดรวมตัวกันสักหน่อยไหม?”

มีเวลากระชั้นชิดเกินไป เขาต้องขึ้นเครื่องคืนนี้แล้ว ถ้านัดกินข้าวกันคงไปขึ้นเครื่องไม่ทันแน่นอน ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงปฏิเสธออกไปอย่างเสียดาย

ห้าทุ่มคืนนั้นเหมาเหว่ยหลงก็เป็นคนพาทั้งสองไปส่งที่สนามบินอีกเช่นเคย เขาบ่นไปตลอดทางว่าชีวิตในเมืองหลวงนั้นทั้งเร่งรีบและแสนจะน่าเบื่อ

แต่ระหว่างนั้นเหมาเหว่ยหลงก็ทำเรื่องหนึ่งสำเร็จ เขาให้เลขาของพ่อค้นหาข้อมูลของเออร์บักจากกระทรวงการต่างประเทศ และการค้นหาก็ทำให้พวกเขาทั้งสองถึงกับพูดไม่ออกกันเลยทีเดียว

‘เออร์บัก ทนายความชาวยิวที่มีชื่อเสียงในแคนาดา เขาสำเร็จการศึกษาด้านกฎหมายแพ่งจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันในสหรัฐอเมริกาต่อด้วยมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดในสหราชอาณาจักร ปี1970 เป็นรองเอกอัครราชทูตประจำประเทศจีนหลังจากที่แคนาดากับจีนสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกันแล้ว ปี 1987 และ 1989 ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศาลรัฐนิวฟันด์แลนด์ เคยเป็นทนายตัวแทนประเทศแคนาดาในคณะผู้แทนสหประชาชาติ ก่อนที่จะเกษียณอายุเขาทำงานให้กับฟาสเกนส์-มาติโน สำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียงที่สุดในแคนาดาหรือที่รู้จักกันในชื่อสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์…’

เมื่อตัวตนของเออร์บักได้รับการยืนยัน ฉินสือโอวก็วางใจที่จะเดินทางไปยังแคนาดาเพื่อรับมรดกของตัวเอง

นี่เป็นการนั่งเครื่องบินครั้งแรกของฉินสือโอว เออร์บักซื้อตั๋วปักกิ่งไปยังเซนต์จอห์นซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐนิวฟันด์แลนด์และลาบราดอร์โดยพวกเขาแวะจะเปลี่ยนเครื่องที่โทรอนโต และราคาค่าตั๋วเที่ยวนี้ก็อยู่ที่ห้าหมื่นหยวนเลยทีเดียว!

ค่ำคืนนั้นท้องฟ้ามืดสลัว สภาพอากาศในเมืองหลวงนั้นขึ้นชื่อว่าเลวร้ายมาก ระหว่างทางฉินสือโอวมองไม่เห็นดวงดาวซักดวงและคิดว่าฝนกำลังจะตกด้วยซ้ำ แต่เหมาเหว่ยหลงก็บอกกับเขาว่ามันคือสีปกติของท้องฟ้าในเมืองหลวง

สนามบินสว่างไสวด้วยแสงจากหลอดไฟแอลอีดี เครื่องบินผลัดกันขึ้นหลงไม่หยุดหย่อน เครื่องบินลำใหญ่มากมายจอดอยู่บนลานบิน บางลำถูกทาสีเป็นรูปก้อนเมฆสีส้มจนดูสวยงามยากจะหาอะไรมาเปรียบ

……………………………………….