บทที่ 8 ความแตก

ตอนที่ 8 ความแตก

เมื่อตาเฒ่าหลี่กลับถึงเรือน ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว

เฉียนซื่อนั่งป้อนข้าวให้หลานชายตรงธรณีประตู นางมองข้างนอกเป็นพักๆ อย่างร้อนใจ

“ทำไมปู่เจ้ายังไม่กลับมาอีก”

เฉียนซื่อกล่าวงึมงำ

ออกไปตั้งแต่เช้า หรือว่าไก่ตัวเมียขายไม่ออก

“ท่านปู่!”

หลานชายอายุสามขวบชี้ไปที่ลุงหลี่ผู้อิดโรยในความมืด

เฉียนซื่ออุ้มหลานชายเข้าด้านในและให้ลูกสะใภ้ป้อนอาหารแทน ส่วนตัวเองเดินออกไปต้อนรับตาเฒ่าหลี่

“ทำไมกลับดึกป่านนี้ ไก่ขายออกไปหรือยัง” นางมองเกวียนวัว

“ขายแล้ว” ตาเฒ่าหลี่ตอบ

“แล้วข้าวของของเพื่อนบ้านล่ะ” นางถามต่อ

“ซื้อแล้ว เอาไปให้หมดแล้ว” ตาเฒ่าหลี่ตอบ

เฉียนซื่อมองด้วยสายตาประหลาดใจ “ข้าว่าท่านแปลกไป มีอะไรหรือ”

เพียงนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ตาเฒ่าหลี่ก็เกิดความรู้สึกซับซ้อนกล่าวไม่ถูกขึ้นภายในใจ “วันนี้ข้า…กับเจ้าตุ้ยนุ้ยกลับมาด้วยกัน”

เฉียนซื่อตกใจสะอึก “นังเด็กนั่นมันรีดไถเงินท่านใช่หรือไหม!”

“ไม่ใช่ นางไม่ได้รีดไถเงินข้า”

“นางนั่งเกวียนของท่านโดยไม่จ่ายเงินใช่หรือไม่!”

“ก็ไม่ใช่” ตาเฒ่าหลี่เปิดถุงใส่เงินออกมา เขาเคยนับแล้ว เงินอีแปะข้างในไม่ได้หายไปสักแดงเดียว แต่ยังเกินมาตั้งสิบเหรียญ “นางให้เงินข้า”

เฉียนซื่ออ้าปากค้าง

ตาเฒ่าหลี่กล่าวต่อ “นางยังช่วยข้าไล่อันธพาลในเมืองอีกด้วย”

เฉียนซื่อเป็นใบ้ไปแล้ว

เรือนตระกูลซู

น้ำตาของซูเสียวเสี่ยวไหลพรากๆ

นางไม่ได้อยากร้องไห้ แต่เป็นเพราะสัญชาตญาณของร่างนี้

เส้นประสาทสัมผัสของร่างนี้ไม่เพียงรับรู้ได้มากกว่าปกติ แม้แต่ต่อมน้ำตาก็ยังทำงานเก่งเป็นพิเศษ เก่งชนิดที่ว่าไม่สามารถควบคุมได้

เมื่อชาติก่อนตอนที่อยู่ในกองทัพ นางเป็นคนที่โดดเด่นในทุกด้าน สมรรถนะของร่างกาย การยิงปืน การสู้ด้วยมือเปล่า แทบไม่มีด้านไหนที่ไม่ใช่ที่หนึ่ง

นางรู้สึกเสมอว่าเป็นเพราะตัวเองขยันมากพอ แต่ตอนนี้ดูแล้ว นางก็ขยันจริง แต่สมรรถภาพทางกายและยีนที่แข็งแกร่งนั้นมีมาแต่กำเนิดต่างหาก

รอจนร่างกายนี้ร้องไห้พอแล้ว ซูเสียวเสี่ยวหยิบเตี่ยนฝู[footnoteRef:1]ออกมาฆ่าเชื้อตรงบาดแผล จากนั้นก็เดินไปยังห้องครัว [1: เตี่ยนฝู คือ ยาฆ่าเชื้อเบตาดีน]

ซูเฉิงกับซูเอ้อร์โก่วก่อไฟในครัว ต้มน้ำร้อน อาบน้ำสระผมให้เด็กน้อยทั้งสามคน

ประตูปิดสนิทแน่นหนาจึงทำให้ไม่ได้ยินเสียงจากด้านนอก

ตอนที่ซูเสียวเสี่ยวผลักประตูเข้าไป ซูเฉิงกำลังอบรมสั่งสอนเด็กน้อยสามคนด้วยสีหน้าเข้มขรึม

“ต่อจากนี้ไป เจ้าชื่อซูต้าหู่! เจ้าชื่อซูเอ้อร์หู่! เจ้าชื่อซูเสียวหู่!”

เด็กน้อยสามคนเปลือยกายนั่งอยู่ในอ่างไม้ บนหัวมีจุกกลมเหมือนลูกชิ้นเปียกๆ กำลังแหงนหน้าขึ้นมองซูเฉิงด้วยสีหน้างุนงง

ซูเอ้อร์โก่วนั่งยองๆ อยู่หลังเตากำลังเติมฟืนเข้าไปและย่างมันเทศ

แสงไฟกับลมพัดสาดเข้าพร้อมกันจนซูเฉิงรู้สึกเย็นวาบ พอหันหน้าไปก็กล่าวขึ้นอย่างดีใจ “ต้ายา! เจ้ากลับมาแล้วหรือ”

เขาก็รู้สึกดีใจมากเมื่อเห็นหน้าลูกสาว

เด็กน้อยสามคนก็หันมองซูเสียวเสี่ยว ท่าทางมึนๆ งงๆ ดูน่ารักเป็นพิเศษ

“พี่!” ซูเอ้อร์โก่วขานเรียก

สายตาของซูเสียวเสี่ยวกราดมองสภาพยุ่งเหยิงของห้องครัว

เยี่ยมมาก ไม่เห็นเพียงวันเดียว ที่แห่งนี้ก็กลายเป็นฉากอุบัติเหตุรถชนครั้งใหญ่อีกแล้ว…

ต่อจากนี้พวกนายห้ามเข้ามาห้องครัวอีกเด็ดขาด!

“ท่านพ่อ เอ้อร์โก่ว”

เมื่อเป็นสมาชิกในครอบครัวก็ย่อมต้องมีการทักทาย

นางปิดประตู ในห้องอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง

ซูเฉิงใช้ขาเกี่ยวเก้าอี้ตัวเล็กมาให้ลูกสาวนั่ง

ซูเสียวเสี่ยวนั่งลง “ท่านพ่อ เมื่อครู่นี้ท่านตั้งชื่อให้พวกเขาหรือเจ้าคะ”

ซูเฉิงตอบ “ใช่ ซูต้าหู่ ซูเอ้อร์หู่ ซูเสียวหู่ เป็นอย่างไร ชื่อที่ข้าตั้งให้ไพเราะหรือไม่”

เพียงนึกถึงชื่อของตัวเองกับชื่อของซูเอ้อร์โก่ว ซูเสียวเสี่ยวก็แทบจะไม่ตั้งความหวังกับการตั้งชื่อของซูเฉิงแล้ว

ซูเสียวเสี่ยวเอ่ยถาม “ท่านพ่อไม่รู้สึกว่าฟังแล้วเหมือนอยู่ลำดับเดียวกันกับข้าและเอ้อร์โก่วหรือเจ้าคะ”

ซูเฉิงตอบ “เหมือนรึ”

ช่างเถอะ อยากเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะ ยังไงก็เป็นแค่ชื่อเล่นเท่านั้น

พอนึกอะไรบางอย่างได้ ซูเสียวเสี่ยวจึงถามอีกครั้ง “แล้วท่านพ่อรู้ได้อย่างไรว่าใครคือคนโต คนรองและคนเล็กสุด[footnoteRef:2]” [2: ซูต้าหู่ (苏大虎)สามารถแปลชื่อเป็นภาษาไทยได้ว่า ซูเสือใหญ่(พี่ใหญ่สุด) ซูเอ้อร์หู่ (苏二虎)สามารถแปลชื่อเป็นภาษาไทยได้ว่า ซูเสือรอง (พี่คนรอง) และซูเสียวหู่(苏小虎)สามารถแปลชื่อเป็นภาษาไทยได้ว่า ซูเสือเล็ก (น้องเล็กสุด) ดังนั้นดูจากชื่อจึงสามารถรู้ได้ว่าใครเป็นลูกคนโต คนรอง และคนเล็ก ]

ซูเฉิงปล่อยผมจุกของพวกเขาออกแล้วชี้ไปยังศีรษะตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ “หนึ่งขวัญ สองขวัญ สามขวัญ คนโต คนรอง คนเล็ก!”

ซูเสียวเสี่ยว “…”

พ่อซูอาบน้ำให้เด็กน้อยต่อ ส่วนซูเสียวเสี่ยวไปเปลี่ยนยาให้กับเว่ยถิงที่ห้องของเขา

บาดแผลดีขึ้น นางเย็บแผลสวยมาก เพียงแต่ยังมีไข้เล็กน้อยและร่างกายยังค่อนข้างอ่อนแอ

จัดการบาดแผลหนักสองจุดเสร็จ ซูเสียวเสี่ยวก็ทายาแก้ปวดแก้อักเสบที่แผลเล็กบริเวณอื่นๆ ต่อ

“เฮ้อ เหนื่อยจัง”

ซูเสียวเสี่ยวนั่งลงที่ขอบเตียง

ทำงานตั้งแต่เช้า ไปซื้อของอีกครึ่งค่อนวันแล้วยังต้องต่อสู้อีกตลอดทาง ร่างกายอ่อนล้าอย่างรุนแรง

“ซี้ด…”

เว่ยถิงสูดหายใจ

ซูเสียวเสี่ยวอุทาน “ฟื้นแล้วหรือ”

เว่ยถิงลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตาฉายแววระแวดระวัง

ซูเสียวเสี่ยวแค่นเสียงขึ้นจมูก “ระวังใครรึ ตอนนี้เจ้าก็เหมือนปลาที่อยู่บนเขียงเท่านั้น บีบเจ้าให้ตายยังง่ายกว่าบีบมดให้ตายเสียอีก”

เว่ยถิงกำหมัดแน่นพร้อมกับหลับตาลง

ซูเสียวเสี่ยวเห็นถ้วยข้าวกับตะเกียบตรงเก้าอี้ นี่มันแป้งเทศนึ่งที่นางเอามาให้ก่อนออกไป ตอนนี้เหลือแค่ครึ่งชิ้นแล้ว

“เจ้าตื่นขึ้นมาตอนกลางวันรึ” นางเอ่ยถาม

เว่ยถิงแค่ตื่นเสียที่ไหนกัน

เขายังได้พูดคุยกับคนในครอบครัวของนางอย่างลึกซึ้งอีกด้วย

เขารู้แล้วว่าเด็กสามคนก็อยู่ที่นี่ด้วย เมื่อวานเขาถามว่าเด็กๆ อยู่ที่ไหน แต่ผู้หญิงคนนี้กลับโกหกบอกว่าไม่รู้เรื่อง

ทำให้เขาเป็นห่วงอยู่นาน

“พ่อข้ารู้หรือยัง” ซูเสียวเสี่ยวเอ่ยถาม

เว่ยถิงส่งสายตาที่ดูเหมือนกำลังมองคนโง่ให้นาง

ซูเสียวเสี่ยวส่งเสียงไอเบาๆ “รู้แล้วสินะ แล้วเขาคุยอะไรกับเจ้าบ้าง”

เว่ยถิงส่งสายตาเย็นชา “เขาบอกข้าว่ามีคนซุ่มทำร้ายข้า เขาเป็นคนขับไล่คนพวกนั้นแล้วช่วยข้ากับลูกไว้ ให้ข้าตอบแทนด้วยการเป็นลูกเขยของตระกูลซู”

“แค่กๆๆ!” ซูเสียวเสี่ยวสำลัก “แล้วเจ้าคิดเห็นอย่างไร”

เว่ยถิงเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าคนที่ซุ่มทำร้ายข้าด้านหลังก็คือพ่อของเจ้าหรืออย่างไร”

เขาไม่เห็นหน้า แต่เขาได้ยินเสียงของอีกฝ่ายตั้งแต่ก่อนหมดสติ

“อยากให้ข้ารับโจรเป็นเมีย นับโจรเป็นพ่อ ฝันไปซะเถอะ!”

เอ่อ…ก็ค่อนข้างกระอักกระอ่วนจริงๆ

ซูเสียวเสี่ยวเกาหัวอย่างแรง

เว่ยถิงแค่นเสียงเย็นชา

ทันใดนั้น มืออ้วนๆ ของซูเสียวเสี่ยวก็พุ่งไปหาเขา

“จะทำอะไร” เขาถามอย่างระวังตัว

ซูเสียวเสี่ยวเชิดคางเล็กๆ สองชั้นขึ้นแล้วเหลือบมองอย่างผู้สูงส่งกว่า

“ถึงแม้พ่อข้าจะจับตัวเจ้ามา แต่ข้าเป็นคนรักษาบาดแผลให้เจ้าก็เป็นอันว่าเราเสมอกัน ในเมื่อเจ้าไม่คิดจะใช้ร่างกายตอบแทน ถ้าเช่นนั้นก็ต้องคิดบัญชีระหว่างเราให้ชัดเจน”

“ค่าอาหาร ค่าเรือนพัก ค่ารักษา ค่าดูแล วันละยี่สิบตำลึง หนึ่งเดือนข้าคิดเจ้าห้าร้อยตำลึง! ค่าฝากเลี้ยงบุตรหนึ่งร้อยตำลึง เด็กสามคนก็สามร้อยตำลึง และต้องจ่ายทันที!”

แอ๊ด…

ประตูถูกเปิดออก

ซูเฉิงเดินเข้ามา “ต้ายา เด็กๆ อาบน้ำเสร็จแล้ว…อ้าว ลูกเขยฟื้นแล้วหรือ”

ซูเสียวเสี่ยว ลูกเขยอะไรเล่า ความแตกหมดแล้วเนี่ย

เว่ยถิงมองซูเฉิงพร้อมขยับริมฝีปากขึ้นอย่างเย็นเยือก “ท่านพ่อ ข้าหิวแล้วขอรับ”

ซูเสียวเสี่ยว “…!!!”