ตอนที่ 9 อบอุ่นใจ
เกียรติของเจ้าอยู่ที่ใดเว่ยถิง
พูดจาเสียดิบดีว่าไม่แต่งโจรเป็นเมีย ไม่รับโจรเป็นพ่อ
พริบตาเดียวเหตุใดถึงเป็นคนกลับกลอกแบบนี้เล่า
ซูเสียวเสี่ยวหมดคำพูด
ซูเฉิงพอใจในคำว่าพ่อมากถึงมากที่สุดและยังขานรับอย่างสบายๆ “หิวแล้วหรือ ได้ เดี๋ยวข้าไปทำอาหารให้นะ”
“เดี๋ยวก่อน…” ซูเสียวเสี่ยวอยากรั้งไว้ก่อนแต่ซูเฉิงหันหลังเดินออกไปแล้ว
หลังจากซูเฉิงไปห้องครัวแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเว่ยถิงก็หายไปทันที ความเย็นชาที่ดูห่างเหินเป็นพันลี้เข้ามาแทนที่
หน้ากลมๆ ของซูเสียวเสี่ยวพลันบึ้งตึง “นี่เจ้าตั้งใจนี่”
เว่ยถิงมองด้วยแววตาเย็นชาแวบหนึ่ง “ไม่เช่นนั้นเล่า เจ้านึกว่าข้ายอมเป็นสามีให้เจ้าด้วยความเต็มใจงั้นรึ”
ซูเสียวเสี่ยวกัดฟันกรามดังกรอด “ถ้าเจ้าไม่เต็มใจที่จะเป็น ข้าก็ไม่เต็มใจที่จะรับหรอก ข้าจะส่งเจ้าไปให้ทางการ จะคอยดูว่าเจ้าจะเก่งได้อีกสักเท่าไหร่”
เว่ยถิงกล่าวอย่างสุขุม “เขารู้กันทั้งหมู่บ้านว่าข้ากับเจ้าแต่งงานกันแล้ว ถ้าข้าเข้าไปที่ว่าการท้องถิ่น เจ้าไม่กลัวว่าพวกเจ้าจะติดร่างแหไปด้วยรึไง”
อะไรกันเนี่ย แม้กระทั่งเรื่องแต่งงานก็พูดกับเขาแล้วด้วยเหรอ
ซูเสียวเสี่ยวตอบอย่างโมโห “ข้าไม่กลัวหรอกนะ เจ้าออกไปสืบดูก็ได้ ความกล้าหาญของซูต้ายามีมากจนน่าตกใจหรือไม่”
เว่ยถิงเหลือบตาขึ้นอย่างเย่อหยิ่งแต่สง่างาม “เป็นเช่นนั้นจริงรึ แล้วคนขี้แยที่แอบร้องไห้จนแทบหายใจไม่ทันอยู่ในห้องนอนเมื่อครู่นี้คือใครกัน”
ซูเสียวเสี่ยว “…”
ซูเสียวเสี่ยวปฏิเสธอย่างมั่นใจ “ไม่ใช่ข้า ข้าไม่ได้ร้อง”
เว่ยถิงหัวเราะเยาะ “ใช่ ไม่ใช่เจ้าหรอก เสียงสุนัขร้องน่ะ”
ซูเสียวเสี่ยวอยากกัดเขาให้ตาย
ช้าก่อน เจ้าหมอนี่ได้ยินนางร้องไห้ก็หมายความว่าเขาตื่นตั้งนานแล้วสิ
เมื่อครู่นี้ นางทั้งเปลี่ยนยาให้เขา วัดอุณหภูมิร่างกายให้เขา แต่เขาทำตัวเหมือนคนแกล้งตายตลอดเวลาอย่างนั้นเหรอ
ดีมาก ทำแบบนี้กับฉัน ก็อย่ามาโทษตอนที่ฉันเอาคืนก็แล้วกัน
ทำฉันหน้าแตกใช่ไหม
มาสิ ทำด้วยกันเลย
ซูเสียวเสี่ยวที่เหมือนปลาปักเป้าทอดตัวน้อยเมื่อหนึ่งวินาทีก่อน พลันเผยรอยยิ้มที่น่ารักมีเสน่ห์ออกมา “เจ้านึกว่าข้าชื่นชมในความรูปงามของเจ้าใช่หรือไม่”
เว่ยถิงยิ้มประชด “หรือว่าไม่ใช่”
“เหอะๆ” ซูเสียวเสี่ยวเดินกลับไปหยิบกระจกทองแดงในห้องตัวเองแล้วนำมาวางตรงหน้าเขา
เว่ยถิงไม่เข้าใจในสิ่งที่นางทำนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่ก็มองเข้าไปในกระจกโดยไม่รู้ตัว
จากนั้น เขาพลันสะดุ้งตกใจ
สีหน้าเหมือนถูกฟ้าผ่าของคนบางคนทำให้ซูเสียวเสี่ยวรู้สึกสะใจมาก
ทิ้งระเบิดเสร็จ…เอ่อไม่ใช่ ทิ้งยาไว้เสร็จแล้ว นางก็เดินออกห้องไปอย่างสบายใจ แต่ยังไม่เว้นทำท่าดึงเอวกางเกงอย่างอดไม่ได้
…
ซูเสียวเสี่ยวไปที่ห้องครัวเป็นนัยว่านางจะทำอาหารเย็นเอง
นางทนดูต่อไปไม่ได้จริงๆ ที่ซูเฉิงกับซูเอ้อร์โก่วทำห้องครัวที่นางทำความสะอาดอย่างเหน็ดเหนื่อยต้องเละเทะอีก
พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้ว่าอะไร กระทั่งสามารถพูดได้ว่าออกจะเห็นด้วยด้วยซ้ำ
เดิมที พวกเขารักลูกสาว (พี่สาว) มาก ตั้งแต่ได้กินฝีมือซูเสียวเสี่ยวแล้วกลับมากินฝีมือซูเฉิงอีกครั้งก็รู้สึกแทบกลืนอาหารไม่ลง
โดยเฉพาะตอนกลางวันที่ซูเสียวเสี่ยวไม่อยู่ คนทั้งเรือนต้องกินอาหารฝีมือซูเฉิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…
รสชาติอาหารนั้น สุดจะทนจริงๆ
ซูเสียวเสี่ยวทำหมูสามชั้นตุ๋นหนึ่งหม้อ เต้าหู้ไส้หมูหนึ่งชาม ไข่ตุ๋นถ้วยใหญ่หนึ่งถ้วย ไข่ตุ๋นถ้วยเล็กสามถ้วย ผัดผักกาดขาวอีกหนึ่งจานใหญ่แล้วยังยำหัวไชเท้าซอยอีกเล็กน้อย
กับข้าวที่วางอยู่เต็มโต๊ะทำให้ซูเอ้อร์โก่วมองตาค้างและพูดตะกุกตะกัก “ครอบ ครอบครัวเราจะฉลองปีใหม่กันแล้วหรือ”
ไม่สิ ฉลองปีใหม่ก็ไม่เคยมีของดีเช่นนี้
เด็กน้อยสามคนแทบอดใจไม่ไหวแล้ว พากันยืนล้อมโต๊ะน้ำลายไหล
พวกเขากินข้าวกันในห้องครัว
หนึ่งเพราะอากาศอบอุ่น สองเพราะโต๊ะในครัวเป็นโต๊ะเตี้ย เด็กน้อยสามคนจะได้เอื้อมถึงเวลานั่งลงที่เก้าอี้
อาหารของเว่ยถิงต้องรสจืด ซูเสียวเสี่ยงจึงต้มโจ๊กหมูผัดกาดขาวให้เขาโดยเฉพาะ และให้เอ้อร์โก่วจื่อยกไข่ตุ๋นไปให้เขาอีกหนึ่งถ้วย
พอเอ้อร์โก่วจื่อกลับมา ทุกคนถึงเริ่มกินข้าว
แต่เมื่อซูเฉิงกับซูเอ้อร์โก่วมองเต้าหู้ไส้หมูชามนั้น จู่ๆ ก็ไม่กล้าขยับตะเกียบกัน
พวกเขาเคยกินที่เรือนของญาติครั้งหนึ่ง ต้องเรียกว่ารสชาตินั้นแย่มาก
“ทำไมไม่กินกันหรือเจ้าคะ” ซูเสียวเสี่ยวมองสองคนนั้นด้วยแววตาประหลาดใจ
เด็กน้อยสามคนกินไม่ได้เพราะเผ็ดเกินไป แต่สองคนนี้ชอบกินอาหารรสจัดมิใช่หรือ
ซูเอ้อร์โก่วฝืนคีบขึ้นมา ลังเลครู่หนึ่งก็วางลงในถ้วยของซูเฉิง “ท่านพ่อ ท่านกินก่อน”
มุมปากของซูเฉิงกระตุก เขาคีบไส้หมูขึ้นมาแล้ววางในถ้วยซูเอ้อร์โก่ว “เจ้ากินเลยๆ”
“ท่านพี่กิน” ซูเอ้อร์โก่วคีบขึ้นมาใส่ถ้วยซูเสียวเสี่ยว
ซูเสียวเสี่ยวตอบกลับ “ข้าลดน้ำหนักอยู่ ข้ากินสิ่งนี้ไม่ได้”
เงียบไปครู่หนึ่ง นางมองซูเฉิงด้วยสีหน้าประหลาดใจ ”ท่านพ่อ อย่าบอกนะว่าท่านไม่กล้ากิน”
ซูเฉิงตอบกลับงึมๆ งำๆ “ไม่ ไม่ ไม่กล้าได้ไงกันเล่า”
ซูเสียวเสี่ยวตอบกลับเสียงอ้อน “ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าท่านไม่รักข้าแล้ว”
ซูเฉิงตัวสั่นไปทั้งตัว
“ฮ่าๆ”
ซูเสียวเสี่ยวรู้สึกขำในปฏิกิริยาของซูเฉิงจนแทบหงายหลัง
ซูเอ้อร์โก่วมองพี่สาวด้วยสีหน้างุนงง หรือว่าพี่สาวของเขาป่วยอาการหนักจริงๆ ล้มหัวฟาดจนสมองใช้การไม่ได้อะไรแบบนั้น
ซูเสียวเสี่ยวกินข้าวต่ออย่างพึงพอใจ
ครอบครัวนี้ตลกจัง
ชาติที่แล้วนางเกิดในครอบครัวที่เข้มงวดมาก แม่เป็นนักธุรกิจหญิง พ่อเป็นศาสตราจารย์ทำงานวิจัย คนหนึ่งมีการประชุมที่ไม่มีวันประชุมเสร็จ ส่วนอีกคนหนึ่งมีงานวิจัยที่ไม่มีวันทำเสร็จ
ภายในบ้านเหน็บหนาวรกร้าง เห็นเพียงแต่เลขากับแม่บ้านอยู่เสมอ
นางคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนที่เข้มงวดจริงจัง
ปรากฏว่า นางเองก็มีอารมณ์ขันเหมือนกัน
สุดท้ายแล้ว ซูเฉิงกับซูเอ้อร์โก่วก็ยอมกิน แถมเมื่อกินไปแล้วก็หยุดกินไม่ได้ แม้แต่ไส้หมูชิ้นสุดท้ายก็ไม่มีใครยอมยกให้ใคร
ซูเสียวเสี่ยวจึงคีบไปอย่างไร้ความปรานี
“เจ้าลดน้ำหนักอยู่มิใช่รึ”
ทั้งคู่มองนางด้วยความคับแค้นใจ
ซูเสียวเสี่ยวกางมือออก “ข้าลดมาทั้งวันแล้ว ให้รางวัลกับตัวเองเล็กน้อยเท่านั้น พรุ่งนี้ค่อยลดต่อเจ้าค่ะ”
แล้วนางก็กินหมูสามชั้นตุ๋นที่เหลืออีกครึ่งจานตามไปด้วย
ซูเฉิง “…”
ซูเอ้อร์โก่ว “…”
…
กินข้าวเย็นเสร็จ ซูเสียวเสี่ยวนำเนื้อหมูกับเครื่องในมาล้างทำความสะอาด ทาเกลือ และตากไว้บนราวตากที่อยู่ด้านหลัง
สำหรับเงินที่ซื้อของได้มากมายขนาดนี้มาจากไหน ซูเสียวเสี่ยวไม่ได้ปิดบัง และยังเล่าเรื่องที่ให้เหอถงเซิงคืนเงินสินสอดด้วย
“ยังเหลืออีกสิบห้าตำลึง มีสัญญากู้ยืมเงินแล้วว่าต้องคืนภายในสามวัน”
ซูเอ้อร์โก่วช่วยนางตากเนื้อพร้อมกล่าวน้ำเสียงเย็นชา “นับว่ายังฉลาด ถ้ามันกล้าเบี้ยวหนี้อีก ข้าจะตามไปจัดการมันให้ตายถึงเรือน”
ซูเสียวเสี่ยวล้างมือแล้วนำเสื้อผ้าที่ซื้อจากในเมืองออกมา
นางไม่รู้เรื่องงานเย็บปักถักร้อย ผ้าที่ซื้อมาเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปทั้งหมด ต้องลองสวมดูก่อน ถ้าไม่พอดีพรุ่งนี้ค่อยนำไปแก้หรือเปลี่ยนในเมือง
“ท่านพ่ออยู่ด้านในหรือไม่เจ้าคะ” ซูเสียวเสี่ยวเคาะประตู
“ข้าอยู่” ซูเฉิงตอบ
ซูเสียวเสี่ยวผลักประตูเดินเข้าไป ซูเฉิงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้พับตัวเล็ก มีตะเกียงน้ำมันส่องแสงสลัว เขากำลังเย็บเสื้อนวมของซูเอ้อร์โก่วอย่างงุ่มง่าม
แม่ของร่างเดิมเสียชีวิตเร็ว ซูเฉิงจึงต้องทำหน้าที่ทั้งพ่อกับแม่พร้อมกัน เมื่อเสื้อผ้าในเรือนขาดหรือเสียหาย เขาก็เป็นคนเย็บ
ต่อให้เย็บได้ไม่ดีและกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งหมู่บ้านก็ตาม
“มีอะไรหรือ ต้ายา” ซูเฉิงเอ่ยถาม
ซูเสียวเสี่ยวมองตุ่มตาปลาจากการใช้เข็มบนนิ้วหยาบๆ ของซูเฉิงพลางกล่าว “เอ้อร์โก่วโตแล้ว เสื้อนวมตัวนี้ก็เล็กไปแล้ว ไม่ต้องปะแล้วเจ้าค่ะ ข้าซื้อตัวใหม่ให้เขาแล้วเจ้าค่ะ”
“หา…อ่อ” ซูเฉิงประหลาดใจมาก
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูต้ายาซื้อเสื้อผ้าให้ซูเอ้อร์โก่ว
เมื่อก่อนเวลานางไปตลาด นางจะซื้อของกินหรือชาดทาปากกับแป้งน้ำให้แต่ตัวเอง
ซูเฉิงนึกว่านางมาเพื่อพูดเรื่องนี้จึงวางเสื้อผ้าเอ้อร์โก่วไว้ข้างๆ แล้วหยิบเสื้อนวมตัวเก่าของตัวเองขึ้นมา
เสื้อนวมของเขามีรอยขาดเยอะที่สุด
“ของท่านก็ไม่ต้องปะแล้วเหมือนกัน” ซูเสียวเสี่ยวกล่าว
ซูเฉิงตะลึงงัน
ซูเสียวเสี่ยวกล่าว “ไม่ใช่ของราคาแพงมากหรอกเจ้าค่ะ ไว้ข้ามีเงินแล้ว ข้าค่อยซื้อที่ดีกว่านี้ให้นะเจ้าคะ”
ซูเฉิงมองบุตรสาวยื่นเสื้อนวมใหม่เอี่ยมมาให้แล้วตาก็แดงก่ำในทันใด